31 ก.ค. เวลา 01:07 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Superman: Legacy

ความสับสน ความหวังและความบางเบา
แม้ Superman: Legacy จะเปิดตัวอย่างแข็งแกร่งในอเมริกาด้วยรายได้ 125 ล้านเหรียญ แต่เมื่อมองออกไปยังตลาดต่างประเทศ กลับพบว่ารายได้ยังไม่ถึง 100 ล้านเหรียญในช่วงสัปดาห์แรก ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าความเป็น “ซูเปอร์ฮีโร่อเมริกัน” ของซูเปอร์แมนอาจไม่ได้ขลังหรือทรงพลังเท่าเดิมในสายตาผู้ชมทั่วโลกอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ความเป็น “อเมริกันจ๋า” เริ่มไม่เป็นที่ต้อนรับนัก จากกระแสต่อต้านอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการเมืองที่สหรัฐฯ มีต่อโลกมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่ยังไม่นับรวมกับต้นทุนการสร้างมหาศาลถึง 225 ล้านเหรียญ และค่าโปรโมตอีกราว 200 ล้านเหรียญ ทำให้หนังเรื่องนี้ต้องทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 550 ล้านเหรียญถึงจะรอดตัวแบบก้มหน้ารับชะตา แต่ถ้าอยากมีกำไรชัดเจน ต้องไปให้ถึงราว 700 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่สูงลิบในยุคที่คนดูเริ่มอิ่มตัวกับจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่
เพราะอย่างCaptain America: Brave New Worldทำรายได้ทั่วโลกสูงถึง 415 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มีรายงานว่าต้องใช้เงินอย่างน้อย 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะคุ้มทุน หากรวมต้นทุนทางการตลาดเข้าไปด้วย
แต่เมื่อย้อนกลับไปยังจุดตั้งต้นของโปรเจกต์ เจมส์ กัน ก็ไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้ออกมาแบบเล่นง่ายๆ เขาตั้งใจจะคืนชีวิตให้ซูเปอร์แมนในฐานะ "ฮีโร่ของความหวัง" มากกว่าจะทำให้เขากลายเป็นผู้คร่ำเคร่งแบกโลกเหมือนเวอร์ชันก่อนๆ ที่เคยทำให้ภาพลักษณ์ของคลาร์ก เคนต์ดูหม่นหมองและหนักหน่วงเกินไป
สิ่งที่หนังเวอร์ชั่นนี้ขาดหายไปคือความรู้สึกที่เรียกว่า sense of wonder ซึ่งเป็นอารมณ์ของการตื่นตะลึงแบบเด็กๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่และงดงามเกินกว่าความเป็นจริง เป็นสิ่งที่หนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างซูเปอร์แมนในยุค 70  เคยทำได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ cgi ในยุคนี้มันทำได้ทุกอย่างก็จริง แต่มันทำให้มนต์ขลังของหนังแนวนี้หายไปด้วย คนบินได้ สัตว์ประหลาด การต่อสู้แบบถล่มเมืองกลายเป็นเรื่องปกติที่เราไม่ว้าวอีกแล้ว
อย่างไรก็ดี ซูเปอร์แมนในฉบับนี้ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปเป็นสุภาพบุรุษจากยุคทอง แบบคริสโตเฟอร์ รีฟ เต็มร้อย หรือกลับไปสู่ภาพลักษณ์ของพระเจ้าผู้โดดเดี่ยวแบบเวอร์ชันของแซ็ค สไนเดอร์ เขาคือคนดีที่เติบโตมากับโลกสมัยใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ข่าวลวง ความแตกแยก และความเหนื่อยล้าทางศีลธรรม จนตัวเขาเองก็อยู่ในจุดที่สับสน
ความสับสนของซูเปอร์แมนอย่างชัดเจนส่งมาจากเนื้อเรื่อง เขาไม่แน่ใจในคำสั่งเสียของบิดามารดาที่ส่งเข้ามาโลกเพื่ออะไร ขนาดที่เขาถูกเลี้ยงดูมาจากครอบครัวชาวไร่ในแคนซัส ทำให้เขาเป็นมนุษย์สองโลก ไม่ได้ว่าความเป็นเลกาซี่ของหนังตอนนี้มันก็คือบทสะท้อนความเป็นมนุษย์สองโลก ความไม่มั่นใจในอะไรสักอย่าง เหมือนกับสภาวะที่โลกปัจจุบันเป็นอยู่
ต้องยอมรับว่าในบางจังหวะหนังทำได้อย่างที่เจมส์ กันหวัง มันไม่ได้หม่นจนเกินไป ไม่ได้แบกโลกจนหมดอารมณ์ ซูเปอร์แมนในเวอร์ชันนี้ยังพกความใสซื่อไว้มากพอจะทำให้เรายิ้มได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในโหมดย้อมใจตัวเองตลอดเวลาเหมือนเวอร์ชั่นของแซ็ค ชไนเดอร์
อย่างไรก็ดี ถึงจะมีอารมณ์ของความหวัง ความดี และกลิ่นอายคลาสสิก แต่หนังก็ยังสะดุดเพราะความ “ฉาบฉวย” ที่เจืออยู่หลายจุด ทั้งการเร่งเร้าเรื่องราวแบบวิดีโอเกม บทสนทนาบางช่วงที่ขาดน้ำหนัก และความพยายามจะทำให้ทุกอย่าง “เจ๋ง” จนล้นมือ แต่มันไม่น่าเชื่อถือเลย
โดยเฉพาะชื่อประเทศสมมุติ 2 ประเทศที่หลุดโลกมากๆ มันยิ่งทำให้มันห่างไกลจากผู้ชมเกินไป ประเทศสมมุติที่ซูเปอร์แมนต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม มีชื่อฟังดูหลุดมาจากนิยาย  Boravia กับ Jarhanpur  แทนที่จะเข้ากับสถานการณ์จริงในโลก จนเหมือนจะเป็นความพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นการเมือง แต่กลับทำให้เรื่องราวขาดน้ำหนัก
ยิ่งไปกว่านั้น หลายฉากก็มีความรุนแรงเกินที่คาดไว้สำหรับหนังที่อยากกลับไปสู่ความไร้เดียงสา
แต่โชคยังดีที่หนังมีตัวขโมยซีนอย่าง “Superdog” หรือคริปโต หมาน้อยพลังเทพที่เรียกเสียงฮาและความเอ็นดูได้แทบทุกครั้งที่โผล่มา เขาไม่ได้เป็นแค่สีสัน แต่กลายเป็นหัวใจดวงน้อยๆ ที่ช่วยประคองผู้ชมเอาไว้รอเพื่อที่เจ้าหมาน้อยจะออกสู่หน้าจอ
สุดท้ายแล้ว Superman: Legacy อาจไม่ใช่ชัยชนะของดีซีในแง่ตัวเลขรายได้หรือเสียงวิจารณ์ แต่ก็เป็นอีกก้าวที่แสดงให้เห็นว่าเจมส์ กันพยายามคืนความอบอุ่นให้กับตำนานซูเปอร์ฮีโร่ที่โลกเคยรัก แม้มันจะยังสะดุดขาตัวเอง แต่ก็พอจะเรียกว่าเป็นการล้มอย่างมีความหวัง โดยมีหมาพลังเทพคอยอยู่เคียงข้าง
Superman ผู้แบกอุดมคติแบบ “อเมริกันจ๋า” ไว้บนบ่าก็ไม่อาจต้านกระแสโลกที่เปลี่ยนไปได้อีกต่อไปแล้ว ฮีโร่ที่เคยบินสูงในยุคสงครามเย็น อาจต้องยอมรับความจริงว่าในปี 2025 นี้ ไม่มีคลื่นลมไหนจะพยุงผ้าคลุมแดงของเขาให้โบกสะบัดได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
6/10
โฆษณา