31 ก.ค. เวลา 04:22 • หุ้น & เศรษฐกิจ

หุ้นของ Novo Nordisk จะเป็นอย่างไร? วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และทิศทางบริษัทในอนาคต

Novo Nordisk บริษัทสัญชาติเดนมาร์กที่กลายเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของโลกด้านยาโดยเฉพาะโรคเบาหวานและโรคอ้วน กลายเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง Ozempic และ Wegovy ที่ปฏิวัติวงการยารักษาโรคอ้วนและเบาหวาน แต่ในช่วงกลางปี 2025 ราคาหุ้นของ Novo Nordisk (NVO) กลับเผชิญแรงเทขายรุนแรง ทำให้นักลงทุนหลายรายตั้งคำถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?" และ "อนาคตของบริษัทจะเป็นอย่างไร?"
---
จากบริษัทเฉพาะทาง สู่มหาอำนาจแห่งตลาดยา
Novo Nordisk เริ่มต้นในปี 1923 จากการเป็นผู้ผลิตอินซูลิน ก่อนจะเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดยารักษาเบาหวานและขยายไลน์สู่โรคอ้วนซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพใหญ่ที่สุดของโลก ยอดขายของ Wegovy และ Ozempic ผลักดันให้มูลค่าบริษัททะยานแซงหน้าบริษัทยาอื่นๆ ในยุโรป และในบางช่วงเวลา มูลค่าตลาดถึงขั้นแซงหน้า LVMH จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในยุโรป
การเติบโตที่รวดเร็วนี้ทำให้นักลงทุนจำนวนมากมองว่า NVO คือ "หุ้นแห่งอนาคต" โดยเฉพาะในยุคที่สังคมเริ่มตื่นตัวกับโรคอ้วนและแนวคิด "anti-aging" ที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก สุขภาพเมตาบอลิซึม และอายุยืน
แต่เมื่อขึ้นแรง ก็มักจะตามมาด้วยคำถามว่า “สูงเกินไปหรือเปล่า?”
---
ราคาหุ้นที่ร่วง: เกิดอะไรขึ้น?
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 หุ้นของ Novo Nordisk ปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนจากจุดสูงสุด โดยสาเหตุหลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน มีดังนี้:
1. แรงกดดันจากการแข่งขัน
บริษัทยาอย่าง Eli Lilly ซึ่งเป็นคู่แข่งหลัก ได้เปิดตัวยาใหม่ที่ให้ผลใกล้เคียงหรือเหนือกว่าผลิตภัณฑ์ของ Novo Nordisk เช่น Zepbound ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของ Wegovy โดยตรง ด้วยการออกฤทธิ์ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และราคาที่แข่งขันได้
2. ปัญหาด้านซัพพลาย
แม้ความต้องการ Ozempic และ Wegovy จะยังสูงมาก แต่บริษัทกลับประสบปัญหาในการผลิตและกระจายสินค้า โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐและยุโรปบางประเทศที่ผู้ป่วยต้องรอคิวยานานหลายเดือน ส่งผลให้เกิด "Lost Opportunity" ทางรายได้
3. การถูกตรวจสอบด้านการตลาดและจริยธรรม
รัฐบาลในหลายประเทศเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการโฆษณายาลดน้ำหนักที่กระตุ้นความคาดหวังเกินจริง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการใช้เพื่อความงามมากกว่าการรักษาโรค ส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐ (FDA) และยุโรป เริ่มตรวจสอบโฆษณาและการใช้งานที่นอกเหนือจากคำแนะนำทางการแพทย์
4. แรงขายจากกองทุนที่ทำกำไร
หลังจากราคาหุ้นขึ้นมาหลายเท่าตัวในเวลาไม่กี่ปี กองทุนขนาดใหญ่จำนวนมากเริ่มทยอยขายทำกำไร ส่งผลให้เกิดแรงขายในตลาด แม้ตัวธุรกิจจะยังคงเติบโต แต่ราคาหุ้นอาจ “วิ่งนำอนาคตมากเกินไป” แล้ว
---
ปัญหาที่เกิดขึ้นลึกลงไป: ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง
นอกจากแรงกดดันในระยะสั้น ยังมีความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่นักลงทุนต้องจับตามอง:
1. การพึ่งพาผลิตภัณฑ์ไม่กี่ตัว
รายได้ของบริษัทในปัจจุบันขึ้นอยู่กับ Ozempic และ Wegovy เป็นหลัก ซึ่งแม้จะทำยอดขายถล่มทลาย แต่ก็ทำให้พอร์ตผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่หลากหลาย หากยาทั้งสองเกิดปัญหา (เช่น มีผลข้างเคียงในระยะยาว หรือถูกแทนที่ด้วยยาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า) อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างรุนแรง
2. การต่อต้านจากสังคมแพทย์บางกลุ่ม
แม้จะมียาที่ช่วยลดน้ำหนักอย่างได้ผล แต่แพทย์บางกลุ่มยังคงตั้งคำถามว่า การใช้ยาเพื่อลดน้ำหนักในระยะยาวจะทำให้เกิดการพึ่งพิงหรือไม่ และการรักษาน้ำหนักควรอยู่ที่พฤติกรรม มากกว่ายา
3. ต้นทุนการผลิตและการขยายกำลังการผลิต
การสร้างโรงงานใหม่เพื่อผลิตยา GLP-1 ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก รวมถึงกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน เมื่ออุปสงค์ยังสูงแต่ซัพพลายจำกัด ก็กลายเป็นดาบสองคม – หากลงทุนมากแต่กระแสความนิยมเปลี่ยนเร็ว ก็อาจทำให้บริษัทมีต้นทุนจม (sunk cost) จำนวนมาก
---
ทิศทางในอนาคตของ Novo Nordisk
แม้จะมีความท้าทาย แต่ Novo Nordisk ยังถือว่าเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีแผนการเติบโตระยะยาวที่น่าสนใจ
1. การขยายตลาดทั่วโลก
บริษัทกำลังรุกตลาดในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกาใต้ ซึ่งยังมีประชากรที่ไม่ได้รับการรักษาโรคอ้วนและเบาหวานจำนวนมาก หากสามารถเจาะตลาดเหล่านี้ได้สำเร็จ รายได้จะมีโอกาสเติบโตอีกมาก
2. การวิจัยยารุ่นใหม่
Novo Nordisk ลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีใหม่ เช่น ยาฉีดรายเดือน ยาเม็ด หรือแม้แต่ยาที่ใช้เทคโนโลยี RNA และยาต้านชรา ซึ่งสามารถเปิดตลาดใหม่ได้ในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มยา “anti-aging” และการฟื้นฟูระบบเมตาบอลิซึมในผู้สูงอายุ
3. การควบรวมกิจการ (M&A)
บริษัทเริ่มลงทุนและเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น Embark Biotech และอื่นๆ เพื่อเสริมทัพผลิตภัณฑ์ในอนาคต ไม่พึ่งพาแค่ GLP-1
---
แล้วนักลงทุนควรทำอย่างไร?
1. ถือลงทุนระยะยาว (Long-term Holding)
แม้ราคาหุ้นจะผันผวนในระยะสั้น แต่หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและการเติบโตของโรคอ้วนทั่วโลก Novo Nordisk ยังถือเป็นผู้นำตลาดที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากสามารถพัฒนายาใหม่หรือขยายตลาดต่างประเทศได้สำเร็จ
2. จับตาข่าวสารอย่างใกล้ชิด
นักลงทุนควรติดตามผลการทดลองยาใหม่ การอนุมัติจาก FDA/EMA และท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแล หากมีการตรวจสอบหรือการเรียกคืนยา อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้น
3. ประเมินความเสี่ยงจากการแข่งขัน
Eli Lilly, Amgen และผู้เล่นรายใหม่ในจีน กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีคล้าย GLP-1 หากมีผู้เล่นรายใหม่ที่ผลิตยาได้มีประสิทธิภาพดีกว่า ราคาถูกกว่า อาจแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
---
ภาพรวมของ Novo Nordisk ในปี 2025
จุดแข็ง: บริษัทมียาที่ครองตลาดและความต้องการยังคงสูง / พื้นฐานการเงินแข็งแกร่ง / มีแผนการเติบโตชัดเจน
จุดอ่อน: พึ่งพาผลิตภัณฑ์ไม่กี่ตัว / ความกังวลเรื่องผลข้างเคียงในระยะยาว / การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
โอกาส: ตลาดใหม่ทั่วโลก / วิจัยยาใหม่และยาขั้นสูง / เทรนด์สุขภาพที่สนับสนุนความต้องการยา
ความเสี่ยง: ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ / การปรับลดความคาดหวังของตลาด / ปัญหาซัพพลายในบางประเทศ
---
Novo Nordisk ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทผลิตยา แต่เป็น “ผู้นำความหวังใหม่” ในยุคที่โรคอ้วนกลายเป็นภัยเงียบของโลก หุ้นของ NVO อาจเผชิญแรงสั่นคลอนระยะสั้นจากการแข่งขันและความคาดหวังของนักลงทุน แต่หากบริษัทสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยนวัตกรรม และการขยายตลาดอย่างมียุทธศาสตร์ หุ้นตัวนี้ยังคงเป็น “อัญมณี” ที่น่าถือลงทุนในพอร์ตระยะยาว
---
หากคุณกำลังมองหาหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตจากเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งต่อปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน Novo Nordisk อาจยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แม้ในวันที่พายุเริ่มพัดแรงก็ตาม
---
#ไม่สนับสนุนการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาและประเมินความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
โฆษณา