31 ก.ค. เวลา 23:00 • ธุรกิจ

การบินไทยฟื้นชีพ พลิกวิกฤตเทคออฟแข็งแกร่ง กางแผนลงทุน 5 ปี 1.7 แสนล้าน

การออกจากแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย และเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนหลักทรัพย์ ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพลิกวิกฤตของการบินไทย ก้าวสู่โอกาสทางธุรกิจที่จะกลับมาผงาดอย่างเข้มแข็งกว่าในอดีต จนวันนี้การบินไทยมีกระแสเงินสดในมือมากถึง 125,000 ล้านบาท พร้อมทุ่ม 1.7 แสนล้านบาทขยายธุรกิจ จัดหาฝูงบินใหม่
  • การบินไทยจากวิกฤตปรับสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
การบินไทยที่ก่อตั้งเมื่อ 65 ปีที่แล้ว เคยเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ประสบปัญหาการขาดทุนมาตั้งแต่ ในช่วง 7 ปีก่อนโควิดแล้ว การบินไทยขาดทุนอย่างต่อเนื่อง เมื่อโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก สะสมขาดทุนนับแสนล้านบาท ซึ่งจริงๆถ้าไม่เกิดโควิดในช่วงไตรมาสแรกปี 2563 ทุนของบริษัทก็ติดลบอยู่แล้ว แต่พอเกิดโควิดขึ้นมาทุนก็ยิ่งติดลบซ้ำเติมปัญหาที่ประสบอยู่ก่อนหน้านั้น
รัฐบาลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้กระทรวงการคลังขายหุ้น 3% ให้กองทุนวายุภักษ์ เพื่อให้การบินไทยพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ และยื่นขอเข้าแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายในเดือนพฤษภาคม 2563
ศาลล้มละลายกลางอนุมัติให้ดำเนินการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 ภายใต้การดำเนินการโดยคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ แผนฟื้นฟูฉบับแรกที่วางเป้าหมายให้มีเงินใหม่เข้ามา 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 25,000 ล้านบาทจากภาครัฐ และอีก 25,000 ล้านบาทจากสถาบันการเงิน
แต่ปรากฏว่าภาครัฐก็อิดๆออดๆ ธนาคารก็ตั้งเงื่อนไขที่สูงมาก เมื่อเงินสนับสนุนไม่เป็นไปตามแผนฟื้นฟู ทำให้ผู้บริหารจึงต้องปรับโครงสร้างองค์กรธุรกิจอย่างเข้มงวด ลดจำนวนพนักงานจาก 35,000 คน เหลือ 22,800 คน ในไตรมาส 1/2568 ลดค่าใช้จ่ายลดฝูงบินที่ไม่มีความจําเป็น ดําเนินการหลายอย่าง รวมทั้งปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาด
ประกอบกับสถานการณ์โควิดเริ่มซา ความต้องการเงิน 50,000 ล้านบาทก็ไม่จำเป็น เพราะลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะมาก จึงมีการแก้ไขแผนฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งศาลเห็นชอบในวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ลดความสําคัญของเงินกู้ แต่ว่ามีสาระสําคัญคือให้มีการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้หุ้นกู้และสถาบันการเงิน 24.5% แปลงหนี้เป็นทุนของกระทรวงการคลังของหนี้กระทรวงการคลัง 100% แล้วให้มีการออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งการปรับโครงสร้างทุนแล้วเสร็จ
ทำให้ส่วนทุนของการบินไทยกลับมาเป็นบวก จนออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ มีอิบิด้า กว่า 40,000 ล้านบาท เหลือขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำการบินไทยกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้
  • การบินไทยสถานะการเงินแกร่ง
สถานะทางการเงินของการบินไทยในวันนี้มีความแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเดิมมาก สะท้อนจากความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 การบินไทย มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รวมถึงมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร (EBIT Margin) 22.1%
ขณะที่ในไตรมาสที่ 1/68 มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% กำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท
อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เท่ากับ 83.3% และ อัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) เท่ากับ 2.91 ใกล้เคียงกับปีก่อน
การบินไทยประสบความสำเร็จจากการแปลงหนี้และดอกเบี้ยตั้งพักของเจ้าหนี้เป็นทุนกว่า 53,453 ล้านบาท และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการฟื้นฟูกิจการและพนักงานของบริษัทฯกว่า 22,987 ล้านบาท ในปี 2567 ที่ผ่านมา
ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กลับเป็นบวกที่ 55,439 ล้านบาท จากเดิมที่ติดลบเป็นจำนวน 43,142 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E Ratio) เหลือเพียง 2.2 เท่า ในไตรมาส 1/68 จาก 12.5 เท่า ในปี 2562
อันเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง โดยไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการลดยอดหนี้ลง (Hair Cut) ในส่วนหนี้เงินต้นของเจ้าหนี้ทางการเงินและเจ้าหนี้การค้า ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของการบินไทย มูลหนี้ราว 9.5 หมื่นล้านบาท รวมดอกเบี้ย โดยมีกำหนดคืนหนี้ชัดเจนแล้วตามแผนฟื้นฟูกิจการจนถึงปี 2579
สำหรับเงินสด ก่อนเข้าฟื้นฟูกิจการ การบินไทยมีอยู่ 2.2 หมื่นล้านบาท และในไตรมาส 1/68 กระแสเงินสดเพิ่มเป็น 1.25 แสนล้านบาท เพียงพอต่อการลงทุนในช่วง 3 ปีนี้
ในส่วนค่าใช้จ่ายของบริษัท ในปี 67 จำนวน 1.4 แสนล้านบาทเป็นค่าน้ำมัน 34% ค่าซ่อมบำรุง 14% ค่าเช่าเครื่องบิน 10% และ 12% ค่าใช้จ่ายพนักงาน กลยุทธ์การควบคุมค่าใช้จ่ายจะจัดการฝูงบินเป็นแบบ Network จะมีผลต่อการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งเครื่องบินใหม่จะใช้น้ำมันน้อยลง ลดปัญหากับสิ่งแวดล้อม และเมื่อแบบเครื่องบินลดลงก็จะช่วยลดค่าซ่อมบำรุง
ส่วนค่าใช้จ่ายพนักงาน โดยเฉพาะกัปตันและลูกเรือ โดยกำหนดค่าใช้จ่ายพนักงานไม่เกิน 13% ของรายได้จากการขนส่ง ส่วนค่าเช่าเครื่องบินซึ่งยังได้อัตราแบบ Covid Rate ที่จะส่งผลต่อไปถึงอนาคต
  • ขยายฝูงบินเดินหน้าชิงมาร์เก็ตแชร์
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก่อนโควิดการบินไทยมีเครื่องบิน 103 ลำ ปัจจุบันนับจากไตรมาสแรก ปี 2568 การบินไทยมีเครื่องบินทั้งหมด 78 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินลำตัว 58 ลํา ลำตัวแคบ 20 ลำ เบินไป 63 เดสติเนชั่น ซึ่งก็ยังต่ำกว่าที่การบินไทยเคยปฏิบัติการบินอยู่
ชาย เอี่ยมศิริ
การบินไทยมีรายได้ถึงสิ้นปีที่แล้ว ประมาณ 183,000 ล้านบาท หลักๆมาจากการขนส่งผู้โดยสารประมาณ 85% ที่เหลือก็จะเป็นคาร์โก้และไปรณีย์ภัณฑ์ 17,000 ล้านบาท หรือประมาณ 9-10% ที่เหลืออีก 11% ก็จะเป็นรายได้เสริมจากธุรกิจการบิน และมีกำไรจากการจากการดําเนินงานอยู่ประมาณ 21,000 ล้านบาท
แม้การบินไทยจะมีรายได้ 1.8 แสนล้านบาท แต่มาร์เก็ตแชร์ของการบินไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 26% ซึ่งการบินไทยมีเป้าหมายเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ส่วนนี้ขึ้นมาเป็น 35% ในปี 2572
โดยในระยะยาว มีเป้าหมายจะลดแบบเครื่องบินเหลือ 4 แบบ เครื่องยนต์ เหลือ 5 แบบ นักบิน 3 กลุ่มนักบิน จากก่อนโควิดมีเครื่องบินมากถึง 8 แบบ เครื่องยนต์ 9 แบบ และนักบิน 5 กลุ่มนักบิน
ปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพียงการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 แต่เป็นแรงขับเคลื่อนที่มาจากโครงสร้างหลากหลายด้านและการวางกลยุทธ์ระยะยาวอย่างชัดเจน ได้แก่ การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มความโปร่งใสในทุกกระบวนการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบได้
การปรับโครงสร้างฝูงบินและจำนวนเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพโดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีเครื่องบินจำนวน 150 ลำในปี 76 ซึ่งลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 แบบก่อนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการเหลือเพียง 4 แบบ และลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 9 แบบเหลือ 5 แบบส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แผนการจัดหาเครื่องบินของการบินไทย
ทั้งนี้ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ การบินไทยยังไม่ได้รับมอบเครื่องบินใหม่ที่สั่งซื้อไป 45 ลำ และออพชั่นซื้อเพิ่ม 35 ลำ (เริ่มทยอยเข้ามาปลายปี 2570) บริษัทได้นำเครื่องบินเก่าที่ยังไม่ปลดประจำการคือ เครื่องบิน B777-200ER 4 ลำ และ A330 5 ลำ มาสร้างรายได้ไปก่อนที่เครื่องบินใหม่เข้ามา แล้วค่อยปลดประจำการ
โดยในปี 2576 ฝูงบินของการบินไทยจะเหลือเครื่องบิน 4 แบบ รวมจำนวน 150 ลำ เป็นลำตัวกว้าง 98 ลำ คือ B777-300ER มี 17 ลำ A350-900 มี 17 ลำ B787(Family) จำนวน 64 ลำ ส่วนลำตัวแคบ จะมี A320/A321 (NEO) จำนวน 52 ลำ นอกจากนี้ บริษัทเช่าเครื่องบิน A321 NEO เพิ่มเติม โดยในปลายปีนี้จะรับมอบ จำนวน 2 ลำ และในปี 69 อีก 15 ลำ จะทำให้ในปลายปี 69 จะมีเครื่องบิน A321 NEO ทั้งหมด 17 ลำ
สำหรับเครื่องบินเก่าลำตัวกว้างแบบ B77-300ER จำนวน 14 ลำ ทำการปรับปรุงที่นั่งและอุปกรณ์ภายในเครื่องบินภายในที่จะให้เหมือนกับเครื่องบินใหม่ B787 ที่จะรับมอบในอนาคต จะทำให้ที่นั่งและอุปกรณ์ภายในเครื่องบินจะปรับโฉมใหม่เหมือนกัน 44 ลำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นอกจากนี้มีแผนปรับปรุงที่นั่งและอุปกรณ์ภายในเครื่องบินของเครื่องบิน 350-900 จำนวน 23 ลำให้เป็นแบบเดียวกันด้วย
ขณะที่แนวโน้มตลาดเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตต่อเนื่องอีก 20 ปี ดังนั้น การบินไทยจะเข้าไปในตลาดที่เคยเสียส่วนแบ่งไป ด้วยการเพิ่มจำนวนเครื่องบินลำตัวแคบเพื่อรุกตลาดเอเชียเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังเน้นกลยุทธ์เพิ่มรายได้จากการขายแบบ Network มากขึ้นจาก Point To Point ในปี 66 บริษัทมีรายได้จากการขายแบบ Net Work เพียง 6% แต่ 5 เดือนแรกของปี 68 เพิ่มมาเป็น 22%
อีกทั้งมีการเพิ่มที่นั่งแบบ Premium Economy ซึ่งปีก่อนมีสัดส่วน 0.5% ทำให้ Yield ดีขึ้น คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 8% ในปี 76 และเพิ่ม Strategic Partner ทั้งในกลุ่ม Stare Alliance และไม่ใช่กลุ่ม Star Alliance ซึ่งปัจจุบันมีข้อตกลงกับ 19 สายการบินแล้ว เพื่อเพิ่มเส้นทางการบิน
อย่างเช่น เตอร์กิช แอร์ไลน์ที่เป็นสายการบินใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งยุโรปและเอเชีย ซึ่งทำให้การบินไทยสามารถแข่งขันกับสายการบินตะวันออกกลางได้ และทำให้การบินไทยมีจุดเชื่อมต่อเข้ายุโรปเพิ่มเติม
การขยายเส้นทางและความถี่ในการบินเพื่อมุ่งสู่การเป็น regional network airline เชื่อมต่อระดับภูมิภาคและระหว่างทวีป การปรับปรุงบริการห้องโดยสารและช่องทางการขายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า
การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งรวมถึงอย่างเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันเพื่อให้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางการขายตรง เป็นต้น
ทั้งหมดเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้การบินไทยพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้การบินไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
  • กางแผนการบินไทย ลงทุน 5 ปี 1.7 แสนล้าน จัดหาเครื่องบินใหม่
การบินไทยไม่เพียงเตรียมนำบริษัทกลับเข้ามาเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ยังมีแผนลงทุนในช่วง 5 ปีนี้กว่า 1.7 แสนล้านบาทในการสร้างรายได้ให้บริษัท
นางสาวเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยมีกระแสเงินสด (Cash Flow) ในมือประมาณ 125,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการลงทุนในปี 2568 – 2570 โดยยังไม่มีแผนกู้เงินใหม่ในระยะใกล้ แต่จะมีการหารือกับธนาคารเพื่อบริหารความเสี่ยงด้านเงินทุนหมุนเวียน
การบินไทยมีแผนการลงทุนระยะ 5 ปีข้างหน้า ที่จะใช้เงินลงทุนสูงประมาณ 170,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายธุรกิจและสร้างกรเติบโตในอนาคต โดยแบ่งจัดสรรเงินลงทุน ดังนี้
1.จัดหาเครื่องบินใหม่ ประมาณ 120,000 ล้านบาท โดยจะทยอยชำระค่าเครื่องบิน
2.ปรับปรุงที่นั่งและภายในเครื่องบิน ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ลงทุนในระบบดิจิทัลต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
3.ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ลงทุนประมาณ 400 ล้านบาทสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงที่สุวรรณภูมิและดอนเมือง และหากได้รับอนุมัติโครงการ MRO ที่อู่ตะเภา จะมีการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมงบลงทุน 5 ปี ดังกล่าว
โดย 2 ปีแรก การบินไทยจะใช้เงินสดของบริษัทเองในการลงทุน Retrofit กับในปลายปี 2568 จะเริ่มทยอยจ่ายค่างวดเครื่องบินใหม่ 1.7 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดหาเงินกู้ระยะยาวจากแหล่งไหน ซึ่งมีทั้งการเช่าซื้อ และ ขายแล้วเช่ากลับ
สำหรับการจัดหาเครื่องบินใหม่ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป บริษัทจะพิจารณาต้นทุนทางการเงินและแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม รวมถึงการกู้เงินระยะยาว โดยมีการพูดคุยกับสถาบันการเงินและผู้ให้เช่าเครื่องบินแล้ว
โฆษณา