1 ส.ค. เวลา 03:55 • ข่าวรอบโลก

🇹🇭 ข่าวดีของผู้ส่งออกไทย

ทรัมป์ปรับลดภาษีนำเข้าของไทยเหลือ 19% ท่ามกลางคลื่นนโยบายการค้าใหม่
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเดินหน้านโยบาย “ภาษีตอบโต้” หรือ Reciprocal Tariffs เพื่อปรับสมดุลการค้าระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (31 กรกฎาคม 2025) เพื่อประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ครอบคลุมกว่า 92 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดมา ซึ่งในรายชื่อดังกล่าว ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการปรับภาษีในรอบใหม่นี้ด้วย
คำสั่งใหม่ระบุว่าสินค้านำเข้าจาก “ทุกประเทศบนโลก” จะต้องถูกเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% หากไม่มีข้อตกลงพิเศษ หรือไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่กำหนดอัตราเฉพาะเพิ่มเติม ซึ่งในกลุ่ม “92 ประเทศพิเศษ” ที่ถูกระบุไว้ในภาคผนวกนั้น จะถูกจัดเก็บภาษีสูงกว่าค่าเฉลี่ยพื้นฐาน โดยเฉพาะในกรณีของบางประเทศที่มีปัญหาทางการทูตหรือมีความไม่สมดุลทางการค้าที่ชัดเจน เช่น ซีเรีย ที่ถูกเก็บในอัตราสูงสุด 41%
ประเทศไทยเอง เดิมทีในเดือนเมษายน 2025 ได้ถูกจัดให้ต้องชำระภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ที่อัตราสูงถึง 36% ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนภาษีในระดับสูงสุดกลุ่มต้น ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ในคำสั่งปรับปรุงล่าสุด ทรัมป์ได้ประกาศปรับลดภาษีนำเข้าจากประเทศไทยลงเหลือ 19% นับเป็นข่าวดีของผู้ส่งออกไทยในช่วงที่ตลาดสหรัฐยังคงมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างการส่งออกของประเทศ
สิ่งที่น่าสนใจคือ การปรับลดอัตรานี้ไม่ใช่การคืนกลับไปสู่จุดเดิมก่อนนโยบายภาษีตอบโต้เริ่มต้น แต่เป็นการลดจากอัตรา “บทลงโทษ” ที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ กล่าวคือ การที่ไทยได้ลดจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นการ “ผ่อนแรงกดดัน” มากกว่าการให้สิทธิพิเศษโดยตรง ต่างจากบางประเทศ เช่น หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ 10% หรือประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ได้ตกลงร่วมกันให้มีการเก็บภาษี 15% เท่ากันทั้งกลุ่ม
สำหรับประเทศอื่นในภูมิภาคที่ได้รับการผ่อนผันเช่นกัน ได้แก่ เวียดนาม (ลดจาก 46% เหลือ 20%) อินโดนีเซีย (จาก 32% เหลือ 19%) และกัมพูชา (จาก 49% เหลือ 19%) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขยับตำแหน่งทางการค้าในระดับภูมิภาคเพื่อแข่งขันในตลาดสหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกัน ประเทศอย่างฟิลิปปินส์กลับถูกเพิ่มภาษีจาก 17% เป็น 19% แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีหลังจากผู้นำประเทศเพิ่งเยือนทำเนียบขาวไปเมื่อไม่นานมานี้ กรณีนี้สะท้อนว่า ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำ และจุดยืนเชิงการเมืองยังคงมีอิทธิพลต่อรูปแบบนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์
สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องจับตาคือ “รายละเอียดในระดับสินค้ารายกลุ่ม” ซึ่งยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่ามีสินค้าใดที่ได้รับยกเว้น หรือยังคงถูกเก็บภาษีในอัตราเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างจากประเทศบราซิลที่แม้จะได้อัตราภาษีพื้นฐาน 10% แต่สินค้ากลุ่มกาแฟยังถูกเก็บภาษีเพิ่ม 40% ทำให้เกิดผลกระทบอย่างหนักในกลุ่มเกษตรกรและอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
ประเทศไทยเองควรเร่งทำข้อตกลงการค้าเสริม (bilateral agreements) เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในสินค้าหลัก เช่น ผลไม้แปรรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยางพารา ซึ่งมีมูลค่าส่งออกสูงในตลาดสหรัฐฯ
แม้อัตราภาษี 19% จะยังไม่ใช่ระดับที่แข่งขันได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเทียบกับบางประเทศพันธมิตร แต่ก็ถือเป็นการ “คลายล็อก” ที่น่าจับตา เพราะหากเจรจาเพิ่มเติมได้สำเร็จในปลายปีนี้ ไทยอาจสามารถต่อรองเพื่อให้ได้อัตราใกล้เคียงกับระดับ 10% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในภาคการส่งออกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากวิกฤตซัพพลายเชนที่ผ่านมา
สำหรับภาคเอกชนไทย การติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดจะเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนเชิงรุกต่อการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างราคา ต้นทุน หรือกระทั่งการจับมือกับพันธมิตรในประเทศที่ได้สิทธิภาษีต่ำกว่า เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูล: The Guardian, WSJ, Investopedia, Nation Thailand
อัปเดตล่าสุด: 1 สิงหาคม 2025
โฆษณา