1 ส.ค. เวลา 10:24 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ อย่ามองแค่ 'ภาพสวยๆ' จากดีลในวันนี้ เพราะนี่อาจเป็น 'โดมิโน่ตัวแรก' ที่จะล้มทับเศรษฐกิจในระยะยาว

สวัสดีค่ะทุกคน... เคยนั่งดูหนังดีๆ แล้วรู้สึกว่ามีฉากหนึ่งที่ดูสงบสุขเกินจริงไหมคะ? ฉากที่ตัวละครทุกตัวกำลังเฉลิมฉลอง หัวเราะร่าเริง แต่คนดูอย่างเรารู้...ว่าพายุลูกใหญ่ที่สุดกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า... ความรู้สึกแบบนั้นแหละค่ะ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนเวทีเศรษฐกิจโลกในตอนนี้
ภาพผู้นำจากนานาประเทศที่บินไปวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเจรจาต่อรอง แล้วกลับออกมาพร้อมรอยยิ้มและ "ดีลภาษีพิเศษ" จากโดนัลด์ ทรัมป์ มันคือฉากงานเลี้ยงที่ดูสวยงาม แต่หลายคนอาจยังไม่ได้ยินเสียงกระซิบที่น่าขนลุกอยู่หลังม่าน ว่านี่ไม่ใช่งานเลี้ยง...
แต่มันคือการคัดเลือกผู้รอดชีวิตในเกมระเบียบโลกใหม่ที่ทรัมป์เป็นผู้เขียนกติกาแต่เพียงผู้เดียว‼️
วันนี้ เราจะมาฉีกบทละครที่สวยหรูนั้นทิ้ง แล้วมองลึกลงไปถึงเบื้องหลังที่ดราม่าและเชือดเฉือนกว่าที่เราเห็นภาพกันในวันนี้ค่ะ
🎯 กลยุทธ์ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" ในโลกศตวรรษที่ 21
สิ่งที่ทรัมป์ทำ ไม่ใช่แค่การประกาศสงครามการค้า แต่เป็นการใช้จิตวิทยาขั้นสูงเพื่อทุบ "พันธมิตร" ทางการค้าเดิมๆ ให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ลองนึกภาพตามนะคะ...
แทนที่จะเผชิญหน้ากับกลุ่มก้อนที่แข็งแกร่งอย่างสหภาพยุโรป (EU) หรือกลุ่มอาเซียน (ASEAN) ทรัมป์เลือกที่จะไม่เจรจากับกลุ่ม แต่เรียก "เข้าพบทีละคน" สร้างบรรยากาศที่แต่ละประเทศต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ดีลที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเท่านั้น ทำให้จากเพื่อนบ้านที่เคยร่วมมือกัน กลายเป็นคู่แข่งที่ต้องชิงดีชิงเด่นกันเอง
โครงสร้างภาษีแบบขั้นบันได (Tiered Tariffs) ที่ออกมาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันมหาศาล ประเทศที่เคยจับมือกัน อาจจะต้องหันมาห้ำหั่นกันเองเพื่อแย่งออเดอร์เข้าสหรัฐฯ ที่มีจำกัด นี่คือกลยุทธ์ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" (Divide and Conquer) ที่สมบูรณ์แบบที่สุด และมันกำลังได้ผลอย่างน่ากลัว
🥇ผู้ชนะที่แท้จริง: อเมริกาในวันที่โลกต้องยอมสยบ
ในขณะที่ทั้งโลกกำลังวุ่นวายกับการแข่งขันกันเอง มีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์และมองภาพทั้งหมดพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
1️⃣ โดนัลด์ ทรัมป์: เขาไม่ได้แค่ได้หน้าในทางการเมือง แต่เขากำลังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะประธานาธิบดีที่ "เอาอเมริกากลับคืนมา" ได้สำเร็จตามคำสัญญา เขาคือผู้กำกับละครโรงใหญ่นี้ และทุกฉากก็ดำเนินไปตามบทที่เขาวางไว้ทุกประการ
2️⃣ คลังสมบัติของสหรัฐฯ: ลองจินตนาการถึง "สึนามิแห่งภาษี" ที่กำลังซัดเข้าฝั่งอเมริกาดูสิคะ เงินจำนวนมหาศาลที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนกำลังจะไหลเข้าคลังหลวงของสหรัฐฯ มากพอที่จะพลิกสถานะจากการขาดดุลงบประมาณมหาศาล กลายเป็นเกินดุลได้ในพริบตา นี่คือการ "ปล้น" ทั้งโลกอย่างซึ่งๆ หน้า
3️⃣ ปรากฏการณ์ "สูบ" การลงทุนครั้งประวัติศาสตร์: ดีลเหล่านี้ไม่ได้มีแค่เรื่องภาษี แต่มันคือ "ตั๋วเชิญ" ที่บังคับให้บริษัททั่วโลกต้องย้ายฐานการผลิตเข้าไปตั้งในแผ่นดินอเมริกา เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีและเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกระเป๋าหนักที่สุดในโลก เรากำลังจะได้เห็นโรงงานมากมายในเอเชียและยุโรปถูกทิ้งร้าง แล้วไปผุดขึ้นใหม่ในโอไฮโอ มิชิแกน หรือเท็กซัส เป็นการดึงเม็ดเงินลงทุนระดับล้านล้านดอลลาร์ ที่จะสร้างงานและเทคโนโลยีให้สหรัฐฯ อย่างมหาศาลไปอีกหลายทศวรรษ
และที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับประเทศอื่นคืออะไรทราบไหมคะ? คือในขณะที่ทุกคนต้องจ่ายค่าผ่านทางราคาแพงเพื่อเข้าบ้านของทรัมป์ สินค้า Made in USA กลับได้พรมแดงปูให้เดินเข้าตลาดของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกแบบฟรีๆ นี่คือความได้เปรียบที่แทบจะเรียกได้ว่า "ปิดเกม"
‼️ต้นทุนที่มองไม่เห็น และบาดแผลที่ส่งต่อกันเป็นทอดๆ
แน่นอนว่าเกมนี้มีราคาที่ต้องจ่าย การขึ้นภาษีพร้อมกันทั้งโลกคือการจงใจสร้าง "ความฝืด" ให้กับระบบเศรษฐกิจโลก (Deadweight Loss) มันคือมูลค่าที่หายไปจากระบบเฉยๆ ไม่มีใครได้ประโยชน์ แต่ทุกคนจนลง... รวมถึงชาวอเมริกันเองที่ต้องซื้อของแพงขึ้น
แต่ต้นทุนภาษีนี้มันเหมือนเชื้อโรคที่มองไม่เห็น มันไม่ได้จบแค่ที่โรงงานผู้ผลิตในจีนหรือเวียดนาม แต่มันจะถูกส่งต่อเป็นทอดๆ ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เหมือนการส่งต่อระเบิดเวลาลูกเล็กๆ ที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ จากโรงงาน > สู่บริษัทเรือขนส่ง > สู่ผู้นำเข้า > สู่โกดังสินค้า > สู่ร้านค้าปลีก และสุดท้าย... มันมาระเบิดใส่มือของผู้บริโภคคนสุดท้าย
ซึ่งภาระภาษีตรงนี้จะถูกแบ่งไม่เท่ากันตามอำนาจในการต่อรองของแต่ละบริษัท ดังนั้นคนแบกรับภาษีจะไม่ใช้คนสหรัฐฯ แต่เพียงผู้เดียวอย่าแน่นอน ⚠️
👨🏻‍⚖️ วันพิพากษา: สมรภูมิ Margin ที่เลือดต้องล้างด้วยเลือด
และนี่คือฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องราวทั้งหมดค่ะ เมื่อต้นทุนสูงขึ้นจนหายใจไม่ออก มันคือ "วันพิพากษา" ที่จะแยกบริษัทและประเทศต่างๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน
👉🏻 กลุ่มผู้ล่า (The Predators): คือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า ควบคุมต้นทุนได้ดีเยี่ยม และมี Margin (กำไรส่วนต่าง) สูงลิ่วเป็นทุนเดิม พวกเขามองวิกฤตนี้เป็น "โอกาสทอง" ในการขยี้คู่แข่งที่อ่อนแอกว่าให้ตายคาสนามรบ พวกเขาสามารถลดราคาสู้ได้โดยที่ยังคงมีกำไรมหาศาล และรอ "ช้อนซื้อ" กิจการของคู่แข่งที่กำลังจะล้มในราคาถูก
👉🏻 กลุ่มผู้ถูกล่า (The Preys): คือบริษัทส่วนใหญ่ของโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่ดำเนินธุรกิจบน Margin บางเฉียบเหมือนกระดาษ พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีเทคโนโลยีโดดเด่น และไม่สามารถลดต้นทุนได้อีกแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญคือภาวะ "Margin Compression" ที่กำไรจะถูกบีบอัดจนแหลกสลาย จากกำไรน้อยนิด > กลายเป็นเท่าทุน > และเข้าสู่ภาวะ "เลือดไหลไม่หยุด" หรือการขาดทุนต่อเนื่อง จนสายป่านขาดและต้องล้มครืนลงไปในที่สุด
เราอาจกำลังจะได้เห็นการล้มละลายครั้งใหญ่ของหลายๆ บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต
🎯 บทสรุป: สงครามการค้าของจริงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
มหรสพการเมืองโลกฉากนี้กำลังจะเดินทางไปยังบทต่อไป รอยยิ้มจอมปลอมจะเริ่มจางหายไป เหลือไว้เพียงความเป็นจริงที่โหดร้ายของสนามรบแห่งการค้า นี่คือยุคของการ "Adapt or Die" ปรับตัวเพื่ออยู่รอด หรือถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา
ในฐานะนักลงทุน นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เวลาของการตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาของการใช้สติและปัญญาในการมองทะลุเกมนี้ให้ออก เพื่อจะเลือกลงเรือให้ถูกลำ เลือกลงทุนในบริษัทที่จะเป็น "ผู้ล่า" ไม่ใช่ "ผู้ถูกล่า" ในระเบียบโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึง
เพราะเมื่อม่านละครปิดฉากลง จะมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้าย... เลือกลงทุนกันให้ถูกต้องนะคะ
โฆษณา