1 ส.ค. เวลา 13:43 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] SWAG - Justin Bieber >>> พ่อคนอยากอวด

-เวลาผ่านไปไวจัด จากที่ได้ยินไอ้หนุ่มพึมพัมคำว่า SWAG ในเพลง Boyfriend เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ใช้คำแสลงนี้ไปเรื่อยจนเป็นภาษาของตัวเองในช่วงวัยที่กำลังค้นหาความรักและตัวตน จนมาถึงปี 2025 เขาก็ยังคงใช้ศัพท์แสลงของ Gen Y มาเป็นชื่ออัลบั้มด้วยบริบทที่เติบใหญ่ ไม่มีแฟชั่นอยู่ในนั้น กลายเป็นพ่อคนอย่างจริงจัง
-และนี่เป็นชุดแรกที่หลุดพ้นเงาจากผู้จัดการคนเก่า Scooter Braun ซึ่งมีผลสำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนอัลบั้มชุดนี้ โดยเฉพาะการเลือกที่จะทำตามใจตัวเองอย่างถึงที่สุด นึกจะปล่อยก็บอกกล่าวล่วงหน้าแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แพลนพีอาร์ที่ไม่ค่อยบอกอะไรมาก และไม่มีแม้กระทั่ง Lead Single ซักเพลง ผมจึงรู้ข้อมูลของอัลบั้มนี้น้อยนิดเหลือเกิน แต่ในใจกลับรู้สึกดีที่รอบนี้ JB กล้าเสี่ยง ไม่กลัวความท้าทายเว้ยเห้ย
-หน้าปกอัลบั้มสุดเรียบ มีแค่ตัวอักษรที่ฟอนท์คล้ายๆแบรนด์น้ำหอมผู้ชาย ภาพโปรโมทมาในคอนเซ็ปท์ภาพประจำวงตระกูล The Biebers โทนขาวดำเรียบง่าย โชว์ความเซ็กซี่พร้อมหน้าพร้อมตากับภรรยา Hailey Bieber และเด็กชายวัย 11 เดือน Jack Blues Bieber ภาพประจำวงตระกูลได้ช่างภาพ Renell Medrano คนเดียวกับที่ถ่ายภาพปกอัลบั้ม Mr.Morale & The Big Steppers ของ Kendrick Lamar เพราะฉะนั้น อย่าไปมีข้อครหาว่าไปก็อปแรงบันดาลใจจากใครมา
-ที่แน่ๆสองอัลบั้มนี้ ต่างสไตล์ ต่างวาระ แต่ดันเป็นคู่ขนานในแง่บริบทที่พูดถึงเรื่องที่คล้ายกันซึ่งก็คือ ประเด็นครอบครัวและหนทางบำบัดสภาวะจิตใจ ในฐานะการเป็นเซเลปบริตี้ที่ผ่านพ้นชีวิตอันแสนหวือหวาพอกัน SWAG ไม่ได้มาทรงขรึมตามเฉดสีอัลบั้ม ไม่ได้ดาร์คข้นคลั่กแบบ Mr.Morale lyrics ก็ไม่ซับซ้อน และไม่ได้นำเสนอ solution เป็นเรื่องเป็นราวมากขนาดนั้น ภายใต้เงื่อนไขการตามใจตัวเองขั้นสุดกลับทำให้ SWAG เริ่มทำตัวสนิทกับผู้ฟังมากกว่าครั้งไหนๆ
-ยอมสูญเสียความเป็น commercial pop ไม่เน้นฮิตเหมือนแต่ก่อนก็จริง แต่เซนส์ป็อปยังคงเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกตั้งแต่ ALL I CAN TAKE ที่เปิดอัลบั้มด้วยการเชื้อเชิญให้รับฟัง อยากให้ enjoy the moment อย่าหนีหายไปไหน ท่อนฮุคติดขี้เล่นให้ความรู้สึกเฟรนด์ลี่มากกว่าดราม่า งงๆหน่อยตอนฟังครั้งแรก แต่ซื้อใจได้ในเวลาต่อมา
-DAISIES เพลงที่ฮิตสุดในอัลบั้ม วัดได้จากการที่เซเลปหรืออินฟลูหลายครชอบเอาไปประกอบ IG story ด้วยความโรแมนติกอันแนบชิดที่บ่งบอกมู้ดสุด minimal ความอคลูสติคที่เราจะได้ฟังหลายบทเพลงต่อจากนี้ DAISIES นอกจากจะแปลว่าดอกเดซี่แล้ว ยังเป็นการเล่นคำ “days see” ในท่อนฮุกที่หมายถึง การนับวันที่จะได้เจอคนรักอีกครั้ง
-GO BABY เพลงอวยเมียตั้งแต่ verse แรกที่ชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ที่ Hailey ออกแบบเคสไอโฟนแบรนด์ rhode skin ที่มีช่องสอดลิปสติกจนเป็นกระแสฮิตมากๆ ซึ่งต่อมา Justin ก็ขอไอเดียจากเมียเอาไปทำเคสไอโฟนแบรนด์ SKYLRK ของตัวเองบ้าง เปลี่ยนจากช่องสอดลิปสติกมาเป็นสอดแท่งปุ๊นแทน นอกจากจะอวยเมียแล้ว แกยังพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ที่ขึ้นๆลงๆด้วยคำมั่นสัญญาอยู่เคียงข้างให้ได้มากที่สุด บีทเพลงหนักแน่นน่าฟัง ไม่รู้สึกเลี่ยนในความโรแมนติกเลย
เคสไอโฟนแบรนด์ rhode skin ของ Hailey Bieber
-WALKING AWAY เพลงก็ดีในแง่ป็อปอาร์แอนด์บีเอื้อนเอ่ยถึงการไม่ยอมแพ้ง่ายๆกับความสัมพันธ์ที่ไปได้ไกลแล้ว WAY IT IS อีกหนึ่งตัวอย่างบีทเพลงที่มี vibrant โคตรเท่ห์ ฟังครั้งแรกคือชอบเลย ต่อให้ผมเฉยๆกับ Gunna แต่พอแกมาอยู่ในเพลงนี้เสือกมีเสน่ห์เฉยเลย พลังงานเพลงมีดึงดูดมากพอที่จะชูให้เจ้าของเพลงและแขกรับเชิญให้โดดเด่นไปด้วยกันได้ ในเพลงต่อมา FIRST PLACE บีทก็คึกคัก ชวนออกสเต็ปแดนซ์
-ในการตามใจตัวเองเป็นหลักก็ทำให้ SWAG โชว์ความอยากทดลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งไม่ได้ล้ำในแง่ภาคดนตรีอะไรมากมาย แต่เป็นการหาหนทางแตกแขนงสายป็อปที่น่าจะเป็นไปได้ในการต่อยอดชมในอนาคตมากกว่า เราได้เห็นการบิด autotune ที่ชวนระลึกถึง Frank Ocean ยุคอัลบั้ม Blonde ในเพลง YUKON การหยั่งเชิง soul-pop ด้วยความเซฟโซนของอคลูสติคไปก่อนในเพลง DEVOTION ร่วมกับ Dijon
-การเน้นขับเคลื่อนบริบทที่ต้องการสื่อมากกว่าเน้นท่อนฮุกติดหูแบบเพลง BUTTERFLIES ที่แทรกคลิปไวรัลเมื่อต้นปีที่ Justin ด่าพวกปาปารัสซี่ที่รบกวนเวลาส่วนตัวตอนที่เขาและเพื่อนๆอยู่ร้านกาแฟ โดยด่าไปไล่ไปว่า “พวกมึงก็แคร์แต่เงินมากกว่าความเป็นมนุษย์กันทั้งนั้น”
ทั้งนี้การยกผีเสื้อมาเป็นชื่อเพลงก็ต้องการสื่อสัญญะถึงความรู้สึกตื่นเต้นและวิตกกังวลจากความรักในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เจือปนด้วยชื่อเสียงและความกดดันรอบด้านที่อาจทำให้ชีวิตรักแทนที่จะเรียบง่าย แต่ก็ซับซ้อนกว่าเดิม 405 หยอกเย้าชีวิตรักพร้อมมูฟออนไม่มองย้อนกลับเหมือนการขับรถบนถนนทางด่วนสาย405
-DADZ LOVE ถือเป็นหัวใจสำคัญให้กับอัลบั้มนี้เลย เป็นการเล่นคำ That’s love ไปในตัว สื่อถึงนัยยะแห่งความเป็นพ่อคนอย่างตรงตัวไม่อ้อมค้อม ความพิเศษของเพลงนี้นอกจากจะได้ Lil B ผู้เป็น trendsetter ที่ใช้คำว่า SWAG เป็น ad-lib ได้เปลืองจนติดปากตามแล้ว เสียงกลองแซมเปิ้ลที่ได้ยินคลอไปทั้งเพลงมาจากคลิป home video ที่เด็กชาย Justin วัย 2 ขวบโชว์เคาะโต๊ะ โดยแม่ของ Justin ถ่ายเก็บไว้ เป็นการนำร่องรอยสิ่งละอันพันละน้อยเอามาประกอบเป็นความลึกซึ้งแล้วถ่ายทอดให้ทายาทตัวจริงผ่านเพลงนี้
-การทดลองที่กล่าวมาข้างต้นถือว่าเวิร์ค แต่ที่ไม่เวิร์คก็มีปนเปเกือบครึ่งอัลบั้มเลยครับ การแทรกด้วย voice memo ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามของ Justin ในการทำให้คนฟังรู้สึกใกล้ชิดเขามากขึ้น treat คนฟังเป็นแขกที่มาเยี่ยมบ้านแล้วเจ้าบ้านอยาก preview เดโม่เพลงใหม่ให้ฟังอย่าง exclusive ซึ่งผมมองว่าไม่จำเป็น เนื่องจากเพลงเหล่านี้ไม่ได้สลักสำคัญต่ออัลบั้มมากนัก
-การให้ Druski มาทำหน้าที่เหมือนนักจัดรายการพอดแคสต์ ในบาง skit ก็ดูดีในแง่ความชิวล์ แต่บาง skit โดยเฉพาะ SOULFUL อื้อหือ…ให้ตายเหอะ นี่คือ skit ที่โคตร cringe ที่สุดเท่าที่ผมฟังมาทั้งชีวิตเลย Your skin is WHITE but your soul is BLACK!!! โอ้มายก็อด กูอยากตีมือทีมโปรดิวซ์เซอร์ ปล่อยผ่านการ approve นี้ไปได้ไงวะ
-ช่วงครึ่งหลังที่ผมรู้สึกเสียดายตรงที่ยังติดความเหยาะแหยะเสียจนมันเริ่มเลื่อนลอย โดยเฉพาะไตเติ้ลแทร็ค SWAG ก็ไม่มีพลังการ represent อัลบั้มได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากพอ ถึงแม้ว่าจะรวบรวม Cash Cobain, Eddie Benjamin มาร่วมลงแขกก็ไม่สามารถ support ได้ดีมากนัก แม้กระทั่ง SWEET SPOT ที่ได้ Sexyy Red มาแจม ด้วยความที่เจ๊แดงดันมี verse ที่ยาวกว่าเจ้าของเพลง เลยทำให้เพลงย้วยมากกว่า catchy แบบรวบรัดอย่างที่ควรจะเป็น
-ไอ้ความเหยาะแหยะที่ยังขาดความลุ่มลึกทางอารมณ์ที่มากพอกลับทำให้คนฟังหลุดโฟกัสได้โดยง่ายในช่วงครึ่งหลัง ไม่ว่าจะเป็นด้านความสุขสมกับชีวิตรักที่ยังคงเร่าร้อน หรือด้านมุมปัญหาของชีวิตชื่อเสียงก็ตาม ด้านขาวและดำเหล่านั้นกลับถูกรับรู้เพียงแค่ผิวเผินอย่างน่าเสียดาย
นั่นเลยทำให้การส่งต่อพลังงานแรงศรัทธาต่อพระเจ้าที่ตัวเองยึดมั่นมาตลอดแทบทุกอัลบั้มจนถึงอัลบั้มนี้ในเพลง FORGIVENESS ที่เป็นการเอาคลิปคัฟเวอร์เพลง Lord, I Lift Your Name on High โดย Marvin Winans กลายเป็นการจบอัลบั้มได้ไม่ขลังและไม่ตราตรึงอย่างซาบซึ้งเท่าที่ควร
-ถ้า SWAG ได้พลังงานและการร้อยเรียง lyrics จากอัลบั้ม Purpose มาช่วยปรับค่าก็จะดีกว่านี้ ผมยังคงให้ Purpose เหนือกว่า SWAG ตรงที่การรักษาความหนักแน่นในเป้าประสงค์ได้แนบเนียนพร้อมๆกับการเป็น hit maker ในเวลาเดียวกัน
-อย่างไรก็ดี การกล้าเสี่ยงที่จะปล่อยผลงานโดยที่ไม่มีกลยุทธ์การตลาดหรือการสร้างสตอรี่โปรโมทมาเจือปนย่อมคงความ rawness ที่กลั่นจากความรู้สึกดิบโดยที่ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอยอะไรมากย่อมเป็นเสน่ห์แห่งความ organic ที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องคะยั้นคะยอเพื่อการแข่งขันหรือทำตามกระแสจนเกร่อ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการทำเพื่อ fix ตัวเองเพื่อปลดเปลื้องความกดดันที่ต้องอยู่บนความคาดหวังของผู้อื่นเสมอไป
โชว์เพื่อให้รู้ว่าเริ่มเอาจริงแล้วเว้ย
Top Tracks: ALL I CAN TAKE, DAISIES, GO BABY, BUTTERFLIES, WAY IT IS, FIRST PLACE, DADZ LOVE
Give 6.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา