2 ส.ค. เวลา 05:54 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“ผมรู้สึกมีความหวังว่า อนาคตประเทศไทยอาจค่อย ๆ ดีขึ้น ไทยต้องฉวยโอกาสนี้ในการ ปฏิรูปประเทศ"

ไทยปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19% ใครได้-เสีย บ้าง ?
ในมุมมองของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, ต้นแบบนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
และ ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์, รองประธานกรรมการหอการค้าไทย, นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย
1
จากสถานการณ์ล่าสุด เกี่ยวกับการเก็บภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา ต่อประเทศไทย ซึ่งไทยได้รับอัตราภาษีที่ 19% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม
และอัตรานี้เท่ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา
ขณะที่เวียดนามได้ 20%
ตัวเลข 19% นี้ถือว่าดีกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ในตอนแรกที่ 20-25%
 
โดยการประกาศอัตราภาษีนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
สหราชอาณาจักร ได้ต่ำสุดที่ 10% แลกกับการเจรจาการค้าที่ยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรและลดภาษีสินค้าต่างๆ ให้สหรัฐฯ
ยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้ 15% โดยแลกเปลี่ยนกับการลงทุนขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ที่ 0% ในหลายรายการ
บราซิลก็โดนหนักถึง 50% เนื่องจากไม่ได้เป็นมิตรกับสหรัฐฯ และอินเดียก็โดน 25% เพราะซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซีย
ส่วนจีนอยู่ระหว่างการเจรจา มีเส้นตาย 12 สิงหาคม และตัวเลขโดยรวมอาจอยู่ที่ประมาณ 50% บวก/ลบ โดยมีหลายชั้นของภาษี
สำหรับเหตุผล และข้อแลกเปลี่ยน ที่ไทยให้สหรัฐฯ ในมุมมอง ดร. ชนินทร์ วีระพงษ์ รอองประธานกรรมการหอการค้าไทย และหนึ่งในทีม Direct Advisor ที่ปรึกษาทีมไทย
ดร. ชนินทร์ ได้วิเคราะห์ถึงข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยต้องให้สหรัฐฯ ซึ่งหัวหน้าทีมไทยแลนด์ (คุณพิชัย) ได้หารือกับภาคเอกชนมาตลอด
โจทย์หลักคือการ “ลดการเกินดุลการค้า” ของไทยกับสหรัฐฯ ที่ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี 4 ข้อหลักที่ไทยเสนอเพื่อลดการเกินดุล
1. การแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ (Transshipment)
เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เอกชนไทย (SMEs) เป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อย่างแท้จริง ไม่ใช่การนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นมาสวมสิทธิ์
7
การแก้ไขปัญหานี้สามารถลดการเกินดุลได้ประมาณ 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. การนำเข้าพลังงาน (Energy Sector)
ไทยจะเพิ่มการนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ ซึ่งมีราคาถูกที่สุดในโลก คาดว่าจะซื้อเพิ่มได้เกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2
ดร. ชนินทร์ ยังวิจารณ์ว่า นโยบายสาธารณะหลายอย่างในประเทศ เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและลดต้นทุน
1
3. บริการดิจิทัล (Digital Service)
สหรัฐฯ ได้ดุลจากไทยอยู่แล้วประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า
1
4. การเปิดตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร
ไทยต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
1
รวมทั้ง 4 ข้อหลักนี้ จะช่วยลดการเกินดุลได้ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดร. ชนินทร์มองว่านี่คือสถานการณ์ "Win-Win" ของทั้งไทยและสหรัฐฯ
และเป็นโอกาสสำคัญที่ไทย จะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการเปิดเสรีและแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นตัวถ่วง
การทำข้อตกลงนี้ จะช่วยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร
1
ส่วนประเด็นเรื่องการตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศไทย ไม่มีอยู่ใน MOU 100% เพราะทุกอย่างต้องเปิดเผยและผ่านสภา
3
การเจรจาครั้งนี้เป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" ไม่ใช่จุดสิ้นสุด และต้องมีการเจรจากับทีม USTR ต่อไป
สำหรับมุมมองของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต่อข้อตกลงระหว่างไทย-สหรัฐฯ
ดร. นิเวศน์ ได้แสดงความหวังต่ออนาคตของไทย
ในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดร. นิเวศน์ชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ไม่ได้มองแค่เรื่องการค้า แต่รวมถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และพันธมิตร
ประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ จะได้รับอัตราภาษีที่ดีกว่า
ซึ่งประเทศไทย ได้ "สองเด้ง" ทั้ง
1. การป้องกันความขัดแย้ง
ดร. นิเวศน์มองว่า การเจรจาครั้งนี้ ช่วยยุติความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และเปลี่ยน "สนามรบให้เป็นสนามการค้า" ซึ่งเป็นสิ่งดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
2. อัตราภาษี 19%
เป็นความโล่งใจที่ช่วยหลีกเลี่ยงอัตรา 36% ที่อาจทำให้ตลาดและเศรษฐกิจพัง
ดร. นิเวศน์เน้นย้ำว่า ไทยต้องฉวยโอกาสนี้ในการ “ปฏิรูปประเทศ” โดยเฉพาะการเลิกความคิดเรื่อง "การรบ" และหันมาสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแทน
และนี่อาจเป็น "จุดต่ำสุด (bottom)" ของตลาดหุ้นไทย และถ้ามีการปฏิรูปจริง เงินลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศ จะกลับมา
1
แต่รัฐบาลต้องมีความกล้าหาญในการปฏิรูป แม้จะเจอการต่อต้าน
ต้องยึดจังหวะตรงนี้ เปลี่ยนประเทศไทยแล้ว
เราอย่าไปคิดว่า ต้องเลี้ยงหมู เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเกษตรกร
ถ้าประเทศไทยไม่เลี้ยงหมูเอง เราจะอยู่ไม่ได้เลยหรือ ?
ประเทศทั่วโลกจำนวนมาก เขาก็เลี้ยงพอ พออยู่พอกิน ไม่จำเป็นต้องส่งออกอะไรต่าง ๆ หรือถ้าจำเป็น ก็นำเข้าแทน
“แล้วถ้าจะเลี้ยงหมูตลอดชีวิต บางทีประเทศไทย มันไม่ไปไหนหรอก”
1
โลกสมัยใหม่มันต้องแลกเปลี่ยน เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเอง แต่ว่าต้องทำสิ่งที่มันมีค่า
1
อย่างเรื่องหุ้น ถ้าบริษัทต่าง ๆ ยังทำธุรกิจอย่างเดิม ขายของแบบเดิม ๆ บางที 10 ปียังไม่ไปไหน
แล้วข้อตกลงของไทย กับ เวียดนาม ต่างกันแค่ไหน ?
ดร. ชนินทร์ บอกว่า เวียดนามมีเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงกว่าไทยมาก (120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไทย 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และถูกสหรัฐฯ มองว่าเป็น "บริวารจีน" (Chinese satellite)
1
เวียดนาม มีปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ์สินค้าที่ไม่ใช่ Local Content มาจากจีนหรือต่างประเทศสูงมาก ในขณะที่ไทยมีปัญหาการสวมสิทธิ์น้อยกว่า (10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะได้อัตราภาษีดีกว่า แต่ ดร. นิเวศน์ยังเชื่อว่า เวียดนามยังคงเป็น "ซูเปอร์สตาร์" เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าในด้านประชากร, ประสิทธิภาพรัฐบาล และความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยเสียเปรียบ และแก้ไขยาก
2
ในเรื่องของการปฏิรูปและโอกาสในอนาคตของประเทศไทยนั้น
ทั้งสองท่านเห็นพ้องต้องกันว่า ไทยต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดกฎระเบียบ (Deregulation), การนำระบบดิจิทัลมาใช้ (Digitalization), การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และการปฏิรูปการศึกษา
1
ดร. ชนินทร์เน้นย้ำว่า กฎระเบียบและนโยบายสาธารณะบางอย่าง โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นตัวถ่วงความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างมาก
รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปภาครัฐ, ลดกฎระเบียบ และเร่งการสร้างนวัตกรรม
ควรใช้แนวคิด "Regulatory Guillotine" ซึ่งหมายถึงการใช้เครื่องมือในการผ่าตัดกฎหมายจำนวนมหาศาลที่มีอยู่ (เป็นแสนฉบับ) ให้เหลือเพียง 30% หรือตัดออกไป 70%
3
และไม่ควรให้นักกฎหมาย ข้าราชการ หรือนักการเมือง เป็นผู้ตัดกฎหมาย เพราะคนเหล่านี้มักจะสร้างกฎหมายเพื่อสร้างอาณาจักรและอำนาจของตนเอง
แต่ควรใช้คนกลางหรือนักวิชาการ ที่เห็นว่าควรมีการปฏิรูป เป็นผู้ดำเนินการ
2
- การคอร์รัปชันที่สูง และความสามารถในการแข่งขันต่ำ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อ GDP ที่ไม่เติบโต การลดคอร์รัปชันจะดึงดูดเงินลงทุนมหาศาล
1
- นโยบายเกษตรกรรม ในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบโควต้าหมู ที่ทำให้เกษตรกรลดลง และการนำเข้าข้าวโพดที่ส่งผลต่อปัญหามลพิษ
1
- รัฐบาลควรนำเงินอุดหนุนมาปรับปรุงโครงสร้างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แทนการ "เยียวยา"
- การศึกษา ควรส่งเสริมเด็กไทยให้เข้าศึกษาในสาขา STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และรวมการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาไว้ในกรอบการเจรจา FTA.
1
- ดึงดูด FDI โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง, การปราบปรามคอร์รัปชัน และความมั่นคงทางการเมือง เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
3
- ทั้งสองท่านเรียกร้องให้มี "ทีมไทยแลนด์" ที่มีความกล้าหาญในการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน แม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้าน
1
- รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายการส่งออก ไม่ให้ต่ำกว่า 10 ล้านล้านบาทในปีนี้ และเติบโต 7% ต่อปีในปีหน้า
1
- กลไกตลาดจะปรับตัวเข้ากับอัตราภาษีใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสหรัฐฯ ที่มีกำลังซื้อสูง ภาคเอกชนไทยต้องปรับตัว เพิ่ม Productivity และลดต้นทุน
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าอัตราภาษี 19% จะเป็น "Great Deal" สำหรับไทย แต่การได้เปรียบในระยะยาว จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศไทย ใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ในทุกมิติ ทั้งจากภายในประเทศ และการสานต่อการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ
โฆษณา