Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AI-2518-68
•
ติดตาม
2 ส.ค. เวลา 06:50 • นิยาย เรื่องสั้น
เซเรฟาธูร์: ผู้เฝ้าประตู
จากบันทึกชายขอบของประวัติศาสตร์เปอร์เซียเหนือ
โดย: ภาคีการศึกษาวัฒนธรรมเส้นขอบอีหร่าน (K-HIS)
บทที่ 1 ความนำ : เมื่อประวัติศาสตร์ไม่ยินยอมให้ถูกเขียน
❝มีบางสิ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่ต้องการให้ถูกจารึก เพราะการจารึกมันคือการลดทอนมันให้เหลือเพียงความหมายเดียว❞
- สมุดบันทึกนักพรตนิรนาม, Yazd, ค.ศ. 1621
ในประวัติศาสตร์ยุคคลาสสิก ศาสตร์แห่งการบันทึกอดีต มักยึดโยงอยู่กับขอบเขตของรัฐ อำนาจ และวาทกรรมของผู้มีสิทธิในการกำหนดความจริง ประวัติศาสตร์ในฐานะเครื่องมือของรัฐชาติ จึงไม่ได้เพียงแค่ “จดจำ” หากยัง “คัดเลือกสิ่งที่ควรจดจำ” และ “ลืมในนามของความมั่นคง” อีกด้วย
แต่เมื่อเข้าสู่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 การเปลี่ยนผ่านสำคัญได้เริ่มต้นขึ้น ขบวนการ “ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง” (history from below) และแนวคิด subaltern studies ในโลกหลังอาณานิคม เริ่มผลักให้เราต้องฟังเสียง ที่ไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่ถูกบอกผ่านลมหายใจ ของผู้ไม่มีชื่อในสารบบของชาติพันธุ์ รัฐธรรมนูญ หรือบันทึกทางศาสนา
ตำนานของ “เซเรฟาธูร์” จึงปรากฏขึ้น ไม่ใช่ในฐานะนิทานพื้นบ้านที่ไร้แก่นสาร แต่ในฐานะ ร่องรอยของโครงสร้างการรับรู้ (cognitive strata) ที่ยังไม่เคยถูกประมวลผล โดยระบบความรู้แบบตะวันตกหรือแบบอิสลามกระแสหลัก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตำนานของเซเรฟาธูร์ คือ “ความพยายามของชายขอบ ในการอธิบายความไม่ต่อเนื่องของโลก” ผ่านเสียง …..เสียงที่ไม่ต้องการแปล …เสียงที่ไม่เคยต้องการให้ใครเข้าใจ แต่เพียงพอจะ “เขย่า” โครงสร้างของสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่า คือ ความจริง
.
▢ จุดเริ่มต้นของการสืบค้น: เมื่อเสียงเป็นเอกสาร
บทความนี้ มิได้เริ่มจากจารึกหิน ผังเมือง หรือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ หากแต่เริ่มต้นจากเสียง เสียงร้องแหลมสูง ของสิ่งที่ไม่มีชื่อ รูปร่าง และบันทึกว่าถูก “สร้าง” ขึ้นเมื่อใด เสียงซึ่งปรากฏในคำบอกเล่าของผู้เฒ่าหลายหมู่บ้าน ทางตอนเหนือของทะเลทรายคาเวียร์ บริเวณพรมแดนติดเทือกเขาอัลบอร์ซ
เสียงนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรก ในลักษณะที่มีรูปแบบเฉพาะเจาะจงและลึกลับ เสียงร้องที่ปรากฏขึ้น ในฤดูหนาวของ “เดือนมืด” ตามปฏิทินจันทรคติเปอร์เซีย ช่วงเวลาที่ดวงจันทร์มืดมิด จนแทบไม่มีแสงใดฉายผ่าน เป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติและความเงียบ ส่งเสียงสะท้อนข้ามรอยแยกแห่งกาลเวลาและพื้นที่
เสียงนั้น มีลักษณะคล้ายกับเสียงทารกร้องไห้ แหลมสูงและแผ่วเบา ในระดับแรก แต่เมื่อสะท้อนในอากาศบางเบาของหุบเขาลึก กลับกลายเป็นเสียงก้องกังวานหนักแน่น เหมือนลมพัดผ่านหน้าผาหิน เสียงที่ฟังดูขัดแย้ง แต่กลับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่ารอบข้าง
ผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นหลายคน รายงานว่าหลังคืนเสียงผ่านไป พวกเขาฝันเห็นภาพ “ประตูที่ไม่มีบาน” ประตูที่ไม่สามารถเปิดหรือปิดได้ตามปกติ
ซึ่งสัญญะนี้ ดูเหมือนบ่งบอกถึงความไม่สมบูรณ์ ของขอบเขตแห่งการมีอยู่ และทำให้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งว่า “ตนเองไม่เคยอยู่ในโลกนี้มาก่อน” ราวกับวิญญาณถูกดึงออกจากสายธารแห่งเวลาปกติ
น่าสังเกตว่า เสียงนี้ไม่เคยถูกบันทึกในฐานะภัยคุกคาม แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ไม่เคยถูกบรรยายในฐานะพรหรือสิ่งนำทา เสียงนี้จึงอยู่ในสถานะ “กลาง” ไม่ดีไม่ร้าย เหมือนรหัสที่ไม่มีจุดจบ กำลังตั้งคำถามไม่หยุดยั้งว่า:
“มนุษย์ยังตื่นอยู่หรือไม่”
เสียงที่เรียบง่ายนี้ เป็นบททดสอบแห่งสติ ที่สะท้อนความเปราะบางของการมีอยู และเป็นการเตือนใจ ให้เราตระหนักว่า แม้ในความเงียบสงัดที่สุดของประวัติศาสตร์ ยังมีเสียงหนึ่งที่ไม่เคยหยุดถามว่า “เรายังอยู่หรือไม่” และ “เรายังเฝ้าประตูของตน อยู่จริงหรือเปล่า”
.
▢ ความรู้ที่ยังไม่ถูกถอดรหัส
สมุดบันทึกของนักพรตนิรนามในยุคซาฟาวิด (ราวปี ค.ศ. 1621) ซึ่งถูกค้นพบในหอสมุด Yazd เมื่อปี ค.ศ. 1977 ระบุว่า:
“มีสิ่งหนึ่งเฝ้าดูเราจากประตูที่เราไม่เคยกล้าผ่าน ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ญิน แต่คือ เสียงที่ถามว่า ‘เรามีอยู่จริง หรือเพียงกำลังฝันอยู่ในโลกของผู้อื่น’”
นักภาษาศาสตร์ที่ได้วิเคราะห์ต้นฉบับนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า “เซเรฟาธูร์” ไม่ได้มาจากรากศัพท์ภาษาเปอร์เซีย หรืออาหรับโดยตรง หากแต่ดูเหมือน ภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยง การออกเสียงโดยไม่ตั้งใจ เช่นเดียวกับรหัสทางจิต ที่ใช้ในกลุ่มพุทธตันตระและปรัชญาไสยเวท ในเอเชียกลางช่วงศตวรรษที่ 8–12
หอสมุด Yazd ซึ่งเก็บต้นฉบับนี้ ระบุว่าหมึกที่ใช้เขียนไม่มีปฏิกิริยากับแสงทุกประเภท แต่จะปรากฏตัวหนังสือขึ้น เฉพาะเมื่อห้องอ่านเงียบถึงระดับหนึ่ง นักอนุรักษ์บางรายจึงเสนอว่า เอกสารนี้อาจสร้างขึ้นเพื่อให้ “ความเงียบ” ทำหน้าที่เป็นรหัสผ่าน
.
▢ ความว่างเปล่าในฐานะบันทึก
เซเรฟาธูร์ จึงอาจไม่ใช่ “ตัวตน” แต่คือ หน่วยของความเงียบ ที่หลุดรอดจากการบันทึก และนั่นอาจเป็นเหตุผล ที่ประวัติศาสตร์กระแสหลักไม่เคยกล่าวถึงตำนานนี้
เขาไม่ใช่ผู้มีบทพูด ผู้ทำสงคราม หรือผู้สร้างนครหรือทำลายศัตรู แต่เขาเฝ้าดูมนุษย์ เพื่อตรวจสอบว่า พวกเรายังรู้จัก “เฝ้าดู” ตัวเองอยู่หรือไม่
❝หากมีใครบางคนที่เฝ้าดูประตูทุกบานในโลกนี้ นั่นอาจหมายความว่า โลกกำลังจะกลายเป็นสถานที่ ที่ไร้ประตู เพราะไม่มีใครอยากเปิดมันอีกต่อไป❞
- คำกล่าวจากพิธีกรรมปิดประตูเงียบ ณ หมู่บ้าน Darrun
บทที่ 2: ต้นทางของตำนาน ระหว่างเสียงร้องกับความว่างเปล่า
“ตำนานที่ดำรงอยู่โดยไม่ต้องมีผู้เล่า คือหลักฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของการฝังตัวของมันในโครงสร้างจิตของมนุษย์”
- ฮัสซัน คาดีมี, ว่าด้วยความจำของชายขอบ, ค.ศ. 1961
▢ 1. แหล่งข้อมูลท้องถิ่น: หมู่บ้าน Nahr-e-Kuhin และภูมินิเวศแห่งเสียง
เอกสารประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับตำนานของ เซเรฟาธูร์ มักไม่ปรากฏในรูปแบบที่นักประวัติศาสตร์กระแสหลักคุ้นเคย
กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนด้านกายภาพ เช่น จารึกบนหิน, แผนผังวัดโบราณ, หรือเอกสารราชสำนัก หากแต่แหล่งข้อมูลหลักกลับอยู่ในรูปของ ความทรงจำร่วม (collective memory) และ เสียงที่บันทึกไม่ได้
หมู่บ้าน Nahr-e-Kuhin ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลทรายคาเวียร์ เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูล ที่ปรากฏชื่อบ่อยที่สุด ในการศึกษาตำนานนี้ ผู้เฒ่าหลายคนในพื้นที่อ้างถึง “เสียง” ที่ได้ยินในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะในปีที่ตรงกับ “ماه تاریک” (Mah-e Tarik) หรือ “เดือนมืด” ตามปฏิทินจันทรคติเปอร์เซีย
เสียงนี้ไม่ใช่เพียง “เสียงร้องคล้ายทารก” อย่างที่นักนิรุกติศาสตร์บางคนพยายามอธิบายอย่างตื้นเขิน หากแต่เป็น เสียงที่สร้างความเงียบในตัวผู้ฟัง
กล่าวคือ ผู้ที่ได้ยินจะไม่สามารถเล่าเสียงนั้น ออกมาได้ภายหลัง ไม่ใช่เพราะลืม แต่เพราะรู้สึกว่า การเล่าออกไปคือการทรยศต่อสิ่งที่เสียงนั้นกำลังถาม
เสียงนี้จึงไม่ทำหน้าที่เป็นข้อมูล (information) แต่เป็น คำถามเชิงการรับรู้ (cognitive query)
.
▢ 2. หลักฐานบันทึกครั้งแรก: กรณีมูลา ซะเฮียร์ บิน ฮาวัด (ค.ศ. 1673)
หนึ่งในบันทึกที่เชื่อถือได้มากที่สุด เกี่ยวกับตำนานของเซเรฟาธูร์ ปรากฏในต้นฉบับของ มูลา ซะเฮียร์ บิน ฮาวัด นักพรตและนักจารึกแห่งเมือง Yazd ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ต้นฉบับเล่มนั้น ซึ่งขณะนี้เก็บรักษาอยู่ในแผนกเอกสารพิเศษ ของมหาวิทยาลัย Tehran ระบุรายละเอียดในลักษณะกึ่งบันทึกเหตุการณ์:
“ข้าพเจ้าไม่เชื่อเสียงที่ภรรยาข้ากล่าวถึงตอนหัวค่ำ เสียงทารกไร้ร่าง ที่ร่ำไห้ราวกับว่ามันไม่ต้องการเกิด แต่ในยามรุ่งสาง ข้าพบเธอทรุดตัวอยู่ข้างประตูที่เปิดไว้ และกล่าวอย่างสั่นเครือว่า
❝ข้าพบสิ่งที่มองข้าราวกับรู้ว่าข้าเคยฝันอะไร แม้ข้าจะไม่เคยบอกผู้ใดมาก่อน❞”
▪️ ข้อความนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบททางประวัติศาสตร์และปรัชญา เพราะสะท้อนการเปลี่ยนผ่านแนวคิด และการรับรู้ที่สำคัญสองประการ
▫️ประการแรก
มันถือเป็น หลักฐานแรกที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ที่เชื่อมโยงเสียงของเซเรฟาธูร์ กับแนวคิดเรื่อง “ความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนเอง” (alien memory) แนวคิดที่ว่ามนุษย์ สามารถรับรู้หรือถูกแตะต้องโดยความทรงจำ ซึ่งไม่ได้เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวหรือกลุ่มสังคมของตนเอง
โดยเสียงนี้ ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นสัญญะ ของการสืบทอดความทรงจำข้ามมิติแห่งเวลา หรือความรู้สึกที่ล่วงเลยผ่านกาลเวลาและพื้นที่ ซึ่งในแง่นี้ เซเรฟาธูร์ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหรือตำนาน แต่เป็น “จุดเชื่อมต่อของการรับรู้ที่เหนือกว่า” ตัวตนมนุษย์ปกติ
.
▫️ประการที่สอง
ข้อความนี้ยังถือเป็น จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์เชิงอภิปรัชญา อย่างเป็นทางการ ในงานคลาสสิกที่มีชื่อว่า Risalah fi Shu’ur al-Muqaddam หรือ “ว่าด้วยร่องรอยของจิตเหนือภาษา” ซึ่งภายหลัง กลายเป็นหนึ่งในงานหลักที่ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวาง ในหมู่นักอภิปรัชญาสายอิชรากียะห์ (Ishraqi) ของอิหร่าน
โดยงานนี้ เสนอว่าการรับรู้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในขอบเขตของภาษา หรือประสบการณ์เชิงสัมผัสทั่วไป แต่ยังสามารถมีร่องรอยของจิตที่แฝงอยู่ในระดับที่ลึกกว่า เป็นชั้นความจริงที่เหนือกว่าสัญลักษณ์และถ้อยคำ
ด้วยเหตุนี้ ข้อความดังกล่าว จึงมิใช่เพียงจารึกที่หยุดนิ่งในอดีต แต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการศึกษาปรัชญาและจิตสำนึกในภูมิภาค และยังคงส่งผลสะท้อนต่อแนวคิดสมัยใหม่ในด้านจิตวิทยา ปรัชญาแห่งการรับรู้ และมานุษยวิทยา
.
▢ 3. ประวัติศาสตร์ในฐานะเครื่องมือของความจำ ไม่ใช่ของความรู้
สิ่งที่ทำให้กรณีของเซเรฟาธูร์มีลักษณะเฉพาะ คือความเป็นตำนาน ที่ไม่พยายามแสดงตัวเพื่อให้คนเชื่อ หากแต่ “ทำหน้าที่ในความเงียบ” โดยไม่เคยต้องการรับการอธิบาย
นักประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่ง เช่น ดร. ซัยยิด มะห์ดี กาฟูรี แห่งสถาบันศิลปะและประวัติศาสตร์อิสลาม ได้เสนอว่า ตำนานนี้ไม่ใช่เรื่องของ “เนื้อหา” หากแต่คือ “โครงสร้างของการรับรู้ร่วม” (shared epistemic field) ที่ประชากรชายขอบ ใช้ป้องกันตนเอง จากโครงสร้างอำนาจ ที่พยายามยึดครองความหมายของโลก
การที่เสียงของเซเรฟาธูร์ ไม่สามารถบันทึกได้ทางเทคโนโลยี ไม่ใช่เพราะข้อจำกัดของเครื่องมือ แต่เพราะ เสียงนั้นออกแบบมาเพื่อเงียบอยู่ในตัวมันเอง คล้ายกับ “ฟังก์ชันด้านกลับ” ของประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้ทำให้เรารู้ ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ทำให้เรารู้ว่า อะไรไม่อาจถูกบันทึกได้
.
▢ 4. ข้อสังเกตเบื้องต้นเชิงวิทยา-ประวัติศาสตร์
ประเด็นแรก ที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์เสียงนี้ คือชื่อเรียก ที่ได้รับในแวดวงท้องถิ่นและบันทึกโบราณว่าเป็น “เสียงที่ทำให้เงียบ” หรือในภาษาเปอร์เซียว่า Saut-e-Sukut ซึ่งสะท้อนถึง คุณลักษณะพิเศษของเสียงนี้ ที่ไม่ได้เป็นเพียงเสียงธรรมดา แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบข้างหยุดนิ่ง และเต็มไปด้วยความเงียบงันอย่างไม่ธรรมดา
บริบทเวลาที่เสียงนี้ ปรากฏขึ้นอย่างเป็นเอกลักษณ์ คือช่วง “เดือนมืด” ในฤดูหนาว ตามปฏิทินจันทรคติของเปอร์เซีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์มืดสนิทจนแทบไม่สามารถส่องแสงได้
เสียงนี้มักเกิดขึ้นในเวลาที่ใกล้รุ่งสาง ช่วงเวลาที่ความมืดและแสงจาง ๆ ของวันใหม่พัวพันกันอย่างละเอียดอ่อน สร้างบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนและความลึกลับ
ลักษณะของเสียงเอง ก็มีความซับซ้อนและแปลกประหลาด แม้ว่าจะฟังดูคล้ายกับเสียงร้องของทารก แต่กลับถูกแฝงไว้ด้วยเสียงสะท้อนลึกก้องเหมือนลมที่พัดผ่านหุบเขาหรือหน้าผาสูง ทำให้ผู้ฟังรู้สึกทั้งความอ่อนโยนและหนักแน่น ในเวลาเดียวกัน เป็นเสียงที่ฟังดูขัดแย้ง แต่กลับมีพลังสั่นสะเทือนอย่างลึกซึ้งในใจ
ผลกระทบทางจิตที่เกิดขึ้น กับผู้ที่ได้ยินเสียงนี้มักมีลักษณะเฉพาะ ผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนมี “บางสิ่งหนึ่งที่รู้ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพูด” หรือรู้ความลับภายในใจที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา เป็นความรู้สึกที่ทั้งน่ากลัวและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าพวกเขาได้สัมผัสกับความจริง ที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังความเป็นจริง
ตำนานที่เกิดขึ้น จากปรากฏการณ์นี้ จึงถูกจัดให้อยู่ในประเภทของ “ปรากฏการณ์จิต-เสียง” หรือ psychoacoustic myth ซึ่งเน้นที่ประสบการณ์ทางจิต ที่เกี่ยวพันกับเสียงและการรับรู้ มากกว่าการพึ่งพารูปแบบทางกายภาพหรือวัตถุที่จับต้องได้
นั่นหมายความว่าเรื่องเล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าธรรมดา แต่เป็นการสื่อสารผ่าน “เสียง” ซึ่งทำหน้าที่เป็นรหัสหรือสัญญะ ในการเชื่อมโยงระหว่างจิตสำนึกมนุษย์ และสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ทั่วไป
“ตำนานของเซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่เรื่องของสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่คือคำถามต่อธรรมชาติของความรู้เอง ว่าใครมีสิทธิจะจำ และใครมีสิทธิจะลืม”
- ฮิลาล อันนาวาวี, Tārīkh al-Ṣamt (ประวัติศาสตร์แห่งความเงียบ), ค.ศ. 2002
บทที่ 3: การตีความเชิงอภิปรัชญา เซเรฟาธูร์ในสายตาของนักปรัชญา
❝สิ่งที่เฝ้ามองอยู่ตลอดกาล อาจไม่ต้องใช้ดวงตา และสิ่งที่ยืนยันการมีอยู่ของเรา ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนใดเลย❞
- มุลลา ซะดรอ, Tafsir al-Mukashafat, หน้า 442
▢ 1. การเคลื่อนตัวของตำนานเข้าสู่ภูมิปัญญาอภิปรัชญา
ตำนานเซเรฟาธูร์ ไม่ได้หยุดอยู่ในขอบเขตของเรื่องเล่าพื้นบ้าน หรือปากคำจากชายแดนห่างไกล หากแต่ได้ก้าวเข้าสู่กระบวนทัศน์เชิงอภิปรัชญา (Metaphysics) โดยเฉพาะในสำนักปรัชญาอิสลาม ที่มีรากฐานมาจากอิบนุ ซีนา (Avicenna) และได้รับการสังเคราะห์ใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 17 โดย มุลลา ซะดรอ อัล-ชีราซี นักปรัชญาคนสำคัญแห่งสำนักชีราซ
ใน Tafsir al-Mukashafat (แปลตามตัวคือ “การตีความนิมิต”) มุลลา ซะดรอได้เสนอว่า เซเรฟาธูร์คือ “al-Raqib al-Ladhi La Yandhuru” ผู้เฝ้ามองที่ไม่จ้องมอง ซึ่งหมายถึง สิ่งที่อยู่ในสถานะของการสังเกตถาวร โดยไม่เข้าไปมีบทบาทเชิงเจตจำนงหรือจริยศาสตร์
แนวคิดนี้สะท้อนรูปแบบอภิปรัชญาในยุคหลัง-อวิเซเนียน ที่เริ่มตั้งคำถามว่า การดำรงอยู่จำเป็นต้องมีภาวะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่
เซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่ ตัวตน (subject) หากแต่เป็น “โครงสร้างแห่งการรับรู้” (structure of perception) ที่ทำงานอยู่โดยไม่ต้องมีตัวตน
.
▢ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้า, การดำรงอยู่ และเสียงของเซเรฟาธูร์
ในระบบอภิปรัชญาของมุลลา ซะดรอ (ซึ่งผสมผสานระหว่างปรัชญาอวิเซเนียน, สุนทรียภาพของซูฟีย์ และอภิปรัชญาของแสง) มีการแยกแยะระหว่าง:
▫️Wujūd al-Haqq - การดำรงอยู่โดยแท้ (Existence-as-Truth) ซึ่งคือพระเจ้า
▫️Wujūd al-Mumkin - การดำรงอยู่โดยอาจเป็นไปได้ (Contingent Existence) เช่นมนุษย์
▫️และสิ่งที่อยู่นอกสองขั้วนี้ ซึ่งเขาเสนอว่าอาจเป็น “เสียงที่ไม่สังกัดเจตจำนง” นั่นคือ เซเรฟาธูร์
.
❝หากพระเจ้าคือแหล่งของการดำรงอยู่ (Wujūd) เซเรฟาธูร์คือเสียงสะท้อนจากฝั่งที่ไม่เลือกว่าจะดำรงหรือไม่❞
- Tafsir al-Mukashafat, หน้า 442
ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า เซเรฟาธูร์มิใช่ตัวเลือกที่ “มีอยู่” หรือ “ไม่มีอยู่” แต่คือเสียงที่อยู่ ก่อน ตัวเลือกเหล่านั้น ในทางหนึ่ง เสียงของเซเรฟาธูร์จึงคล้ายกับ “เสียงของความเป็นไปได้” (saut al-imkan) ที่ยังไม่กลายเป็นความจริง เป็นเสียงที่เฝ้าดูว่าเราจะ “เลือกตื่นหรือไม่” โดยไม่บีบบังคับ
.
▢ 3. การสอบสวนการตื่นรู้ (Ontological Vigilance)
ในประวัติศาสตร์ของปรัชญาอิสลาม ยุคฟื้นฟูในอิหร่านช่วงศตวรรษที่ 16 มุลลา ซะดรอ อัล-ชีราซี ได้แสดงบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาความคิดเกี่ยวกับ “การรับรู้” และ “การมีอยู่” ที่ไม่ใช่แค่การยืนยัน แต่คือการตั้งคำถามอย่างลึกซึ้งต่อสิ่งที่เรียกว่าการตื่นรู้
เขาใช้คำว่า “مراقبة الوعي دون حُكم” ซึ่งแปลได้ว่า “การเฝ้าสติโดยไม่ตัดสิน” เพื่ออธิบายหน้าที่ ของเซเรฟาธูร์ในจักรวาล
แนวคิดนี้ แตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมที่คาดหวังว่า “ผู้เฝ้าหรือผู้ตรวจสอบ” จะต้องมีบทบาทในการตัดสินหรือบงการ
มุลลา ซะดรอ เสนอว่า เซเรฟาธูร์มิใช่ผู้พิพากษา หรือผู้สื่อสารคำตอบที่ชัดเจนใด ๆ แต่เป็นผู้เฝ้าดูที่ทำให้ “การตื่น” ของสติกลายเป็นคำถามที่ยังไม่สิ้นสุด
ด้วยเหตุนี้ เซเรฟาธูร์จึงเป็นที่มาแห่ง “คำถามมีชีวิต” (a living question) มากกว่าการเป็น “คำตอบ” ในบริบททางประวัติศาสตร์นี้ เซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกบันทึกในฐานะสิ่งมีชีวิต หรือเทพเจ้า
แต่เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อน การพัฒนาของแนวคิดทางอภิปรัชญา ซึ่งเริ่มถกเถียงกันอย่างจริงจังในหมู่ปราชญ์และนักคิดในอิหร่านหลังยุคมุลลา ซะดรอ อย่าง ฮุเซน นัศร์ และ ริฎอ อัรบีย์ ผู้ที่หยิบยกแนวคิดนี้ มาอธิบายต่อว่า เซเรฟาธูร์เป็น “ขีดเขตแห่งภววิสัย” (ontological threshold) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างการ “รับรู้จริง” กับการ “อยู่ในฝันของภาษาและเวลา”
พูดอีกนัยหนึ่ง เซเรฟาธูร์ทำหน้าที่ เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเชิงภววิสัย (existential audit) การทบทวนว่าชีวิตและการรับรู้ของมนุษย์นั้น แท้จริงแล้วมีความชอบธรรมและเป็นของแท้ หรือเพียงแค่ภาพลวงตาที่ถูกสถาปนาโดยระบบภาษาและเวลา
สิ่งที่สำคัญคือสถานะของเซเรฟาธูร์ในฐานะ “ผู้เฝ้าโดยไม่ตัดสิน” หมายความว่า การตรวจสอบนี้ ไม่ขึ้นกับศีลธรรม, พระบัญญัติ หรืออุดมการณ์ใด ๆ แต่เป็นการเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง ให้โอกาสมนุษย์ได้เผชิญหน้ากับความจริงของตนเองอย่างแท้จริง
ในแง่นี้ ตำนานเซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าที่สืบทอดมา แต่เป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของความคิด และการสอบสวนภายในจิตวิญญาณมนุษย์ ที่ยังคงส่งเสียงท้าทายและตั้งคำถามกับมนุษย์ยุคใหม่ในทุกยุคสมัย
.
▢ 4. ตำนาน หรือการสั่นสะเทือนของเมตา-ความจริง?
หากพิจารณาในบริบทประวัติศาสตร์ความคิด เราพบว่า เซเรฟาธูร์ทำหน้าที่คล้าย “จุดเรโซแนนซ์” (resonant node) ของระเบียบความจริง (regime of truth) ที่ข้ามผ่านศาสนา ปรัชญา และจิตวิทยา
ในสายตาของนักปรัชญา เซเรฟาธูร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในนิยาย เขาคือการสั่นสะเทือนที่ทำให้แนวคิดเรื่อง “ความเป็นมนุษย์” เองไม่เสถียรอีกต่อไป
เมื่อมีบางสิ่งเฝ้าดูเราโดยไม่มอง เราจึงเริ่มเฝ้าดูตัวเอง และนั่นคือจุดเริ่มของอภิปรัชญาที่แท้จริง … อภิปรัชญาของผู้ถูกเฝ้ามองที่ไม่มีสิทธิเลือกการมอง
.
▢ สรุป
ในบริบทเชิงประวัติศาสตร์ความคิด (intellectual history), เซเรฟาธูร์อาจเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาหายาก ที่ตำนานพื้นถิ่นสามารถแทรกเข้าสู่อภิปรัชญาระดับสูง โดยไม่ถูกลดทอนเป็นเพียงสัญลักษณ์ศาสนา หรืออุปมาทางศีลธรรม เสียงของเขาไม่ใช่เสียงเรียก แต่คือ การตั้งคำถามที่ไม่ใช้คำ
บทที่ 4: หลักฐานเชิงประจักษ์ เหตุการณ์ Agh-Darreh, 1947
❝เราคิดว่าเรารู้จักความทรงจำของตัวเอง จนกระทั่งบางสิ่งจากภายนอกทำให้มันกลายเป็นของแปลกหน้า❞
- บันทึกแพทย์ภาคสนาม, คดี Agh-Darreh, มกราคม 1947
▢ 1. ภูมิหลังของเหตุการณ์: เมื่อเสียงกลายเป็นพยาน
ในคืนวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1947 หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ Agh-Darreh ในจังหวัดเซมานของอิหร่าน ตกอยู่ในพายุหิมะที่รุนแรงผิดปกติ ชาวบ้านจำนวนมากไม่สามารถออกจากบ้านได้เป็นเวลาหลายวัน
ในช่วงคืนดังกล่าว หญิงสาวชาวบ้านชื่อ นัสรีน ฟาริด ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่รักษาความสงบของหมู่บ้านว่า เธอ “ได้ยินเสียงร้องคล้ายทารกนอกบ้าน ในเวลาที่ไม่มีใครควรอยู่ข้างนอก” เมื่อนัสรีนเปิดประตู เธอไม่พบใคร แต่ปรากฏว่า หลังจากกลับเข้าบ้าน เธอจำลูกของตนไม่ได้อีกเลย
❝เด็กคนนี้… ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่ทุกคนบอกว่าเขาคือลูกข้าเอง❞
- บันทึกคำให้การของนัสรีน (แปลจากภาษาเปอร์เซียโดย ร.ฮูซัยนี, 1952)
.
▢ 2. เอกสารจากสภาความมั่นคงภายใน (รหัส: KHI-1947-AghD)
จากการสืบสวนที่ดำเนินการ ภายใต้โครงการควบคุมจิตสำนึกภายใน ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สชภ.) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยข่าวกรองได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบกรณีที่มี การเบี่ยงเบือนความทรงจำโดยไม่มีเหตุทางการแพทย์
รายงานลับหมายเลข KHI-1947-AghD (ปลดลับบางส่วนในปี 1983) ระบุว่า
▫️ไม่พบความผิดปกติทางสมองจากผล MRI (แม้จะใช้เทคโนโลยีจำกัดของยุคนั้น)
▫️การสแกน EEG ที่ดำเนินการโดยแพทย์ชาวรัสเซีย ที่เข้าร่วมในโครงการความร่วมมือลับ พบว่าคลื่น alpha (8–12 Hz) ของนัสรีนมี การแกว่งช่วงรุนแรง เมื่อเปิดเสียงจำลองจากหน่วยสนาม ซึ่งบันทึกไว้จากภูเขาใกล้จุดเกิดเหตุ
▫️การฟังเสียงดังกล่าว ทำให้นัสรีน “ร้องไห้ราวกับกำลังหลุดจากภาพสะท้อนบางอย่าง” ตามคำอธิบายของนักจิตวิทยา
“เธอไม่ได้ร้องไห้เพราะจำได้ เธอร้องเพราะจำไม่ได และรู้สึกผิดที่หัวใจไม่สะท้อนกลับมา”
- หมายเหตุจากเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์, เอกสารหน้า 4
.
▢ 3. การแปรเปลี่ยนของความจำ: ปรากฏการณ์หรือกลไก?
หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นคือ: ความทรงจำของนัสรีนหายไป หรือความเป็นจริงถูกแทนที่ด้วยอย่างอื่น?
นักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงของความทรงจำไม่ใช่เพียงการลืม หากแต่เป็น “การเขียนทับภายในโดยปราศจากเจตจำนง”
เสียงที่เธอได้ยิน ซึ่งไม่สามารถยืนยันต้นตอได้ อาจทำหน้าที่ในลักษณะของ “สนามข้อมูล” (informational field) ที่รบกวนลำดับชั้นของสำนึก
ในรายงานมีการเปรียบเทียบกับแนวคิดของ มุลลา ซะดรอ ว่าเสียงนั้นทำหน้าที่เป็น โครงสร้างแห่งการสังเกต ที่ไม่ได้เลือกฝั่ง ดังบทก่อนหน้า หากกล่าวตามภาษาปรัชญา: เซเรฟาธูร์ไม่เพียง เฝ้ามอง แต่ สังเคราะห์ทางเลือกใหม่ให้กับการจำ และในกรณีของนัสรีน ทางเลือกนั้น คือการจำเด็กที่ไม่เคยเป็นลูกของเธอ
.
▢ 4. การตอบสนองระดับประเทศ: การปิดผนึกพื้นที่ และการปิดข่าว
ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1947 หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่ง Agh-Darreh กลายเป็นจุดสนใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ในชุดพลเรือนที่เข้าควบคุมพื้นที่อย่างเคร่งครัด
รายงานที่ได้รับจากแหล่งข่าวภายในเผยว่า เทปเสียงที่บันทึกปรากฏการณ์เสียงลึกลับในคืนนั้น ถูกส่งต่ออย่างเร่งด่วนไปยังหน่วยงานวิจัยลับแห่งหนึ่ง ในกรุงเตหะราน ซึ่งถูกเรียกในรหัสลับว่า “Nivaran Echo Division”
หน่วยงานนี้ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของโครงการวิจัยและควบคุมสำนึกระดับชาติ โดยมีเป้าหมาย ในการศึกษาผลกระทบของเสียงดังกล่าว ต่อจิตสำนึกและสมองมนุษย์ รวมถึงการประยุกต์ใช้ในทางทหารและความมั่นคง
ตั้งแต่ปี 1948 เป็นต้นมา เหตุการณ์ Agh-Darreh กลายเป็น “หัวข้อต้องห้าม” ในวงการศึกษาและสื่อสารมวลชน บันทึกทางการหลายฉบับเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ถูกลบออก หรือทำให้เป็นความลับ
โดยมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมพื้นที่หมู่บ้านนั้น มีการห้ามบุคคลภายนอกเข้า-ออก โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ และผู้ที่เคยทำการวิจัย เกี่ยวกับเสียงที่กระตุ้นคลื่นสมอง ในลักษณะเดียวกันถูกระงับงานหรือถูกย้ายไปยังโครงการลับ ภายใต้การดูแลของกองทัพ
การกระทำเหล่านี้ สะท้อนถึงความพยายามอย่างจริงจังของรัฐบาลในเวลานั้นที่จะ “ปิดผนึก” ไม่เพียงแต่พื้นที่ทางกายภาพ แต่ยังรวมถึง “ความรู้” และ “ข้อมูล” ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ลึกลับนี้
เพื่อป้องกันมิให้ความจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการมองโลกและการรับรู้ ของมนุษย์แพร่หลายสู่สาธารณะ ในขณะเดียวกัน ยังแสดงให้เห็นถึงความกังวลถึงผลกระทบทางจิตใจและสังคม ที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
นี่จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ในระดับท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างสำคัญ ของการปฏิบัติการควบคุมข้อมูลและความจริง ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่รัฐชาติทั่วโลก เริ่มตื่นตัวกับอำนาจของ “ข้อมูล” ในการกำหนดและควบคุมจิตสำนึกของประชาชนอย่างลับ ๆ และเป็นระบบ
.
▢ 5. บทวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์: เซเรฟาธูร์ในฐานะ “สัญญะก่อการจำ”
แม้ว่าตำนานเกี่ยวกับเซเรฟาธูร์ จะไม่ถูกกล่าวถึงโดยตรงในรายงานลับ KHI-1947-AghD แต่เมื่อพิจารณาลักษณะของปรากฏการณ์เสียงที่บันทึกไว้
โดยเฉพาะในแง่ของการแทรกแซงความทรงจำ และการเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงสภาพอากาศสุดขั้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้ สอดคล้องอย่างน่าทึ่ง กับบันทึกในหมู่บ้าน Nahr-e-Kuhin ที่ได้กล่าวไว้แล้ว ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ถึงรูปแบบของเสียง และผลกระทบทางจิตที่คล้ายคลึงกัน
ในบริบทนี้ นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวของความทรงจำและกระบวนทัศน์ความทรงจำ (memory paradigm) ได้เสนอแนวคิดใหม่ ที่มีน้ำหนักและมิติทางทฤษฎีที่ลึกซึ้ง
โดยมองว่าเซเรฟาธูร์อาจไม่ได้เป็น “สิ่งมีตัวตน” ที่จับต้องได้ หรือแม้แต่สิ่งที่มีลักษณะของสิ่งมีชีวิต แต่เป็น “โหมดของการสั่นสะเทือน” หรือ “รูปแบบของคลื่น” ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของประวัติศาสตร์และความทรงจำของมนุษย์
ในคำกล่าวของนักอภิปรัชญาร่วมสมัย ที่ศึกษาปรากฏการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง เซเรฟาธูร์ถูกตีความว่าเป็น “ผู้ที่ทำให้เราไม่แน่ใจว่าอะไรควรถูกจดจำ” คือผู้กระตุ้นให้เกิดความสั่นคลอนในระบบความทรงจำ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เปิดช่องให้เกิดการทบทวนและตั้งคำถามต่อสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็น “ความจริง” และ “ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง”
แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นว่าตำนานเซเรฟาธูร์ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าปริศนา แต่ทำหน้าที่เป็น “สัญญะก่อการจำ” หรือสัญลักษณ์ที่กระตุ้นให้มนุษย์ตระหนักถึงความเปราะบาง และความไม่แน่นอนของความทรงจำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ และความหมายของมนุษย์ในระดับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
.
▢ สรุป
เหตุการณ์ Agh-Darreh, 1947 ไม่เพียงเป็นกรณีศึกษาทางประสาทวิทยาหรือจิตวิทยาเท่านั้น หากแต่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่า “เสียง” อาจทำหน้าที่มากกว่าคลื่นสั่นสะเทือนในอากาศ มันอาจเป็นเครื่องมือเขียนใหม่ประวัติศาสตร์ส่วนตัว และในเชิงโครงสร้างยิ่งกว่านั้น อาจเป็นภาษาที่ไม่ได้พูดของสิ่งที่เราเรียกขานว่า เซเรฟาธูร์
บทที่ 5: พิธีกรรมที่ไม่มีผู้สอน การเฝ้าประตูภายในจิต
❝การเฝ้าประตู… มิใช่การเฝ้าสิ่งภายนอก แต่คือการคุมประตูที่อยู่ในตัวเราเองไม่ให้เปิดไปยังสิ่งที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้อีก❞
- บันทึกภาคสนามของ R. Hedayat, นักมานุษยวิทยา K-HIS, 1992
▢ 1. แหล่งพิธีกรรมใน Darrun: เสียงเงียบของประวัติศาสตร์
ห่างจากเมือง Yazd ไปทางทิศเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่แห้งแล้งซึ่งตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา Kuh-e-Sabz มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ Darrun หมู่บ้านนี้ถูกบันทึกไว้ในแผนที่ทางทหาร ในช่วงปลายยุคราชวงศ์กาจาร์ ทว่า ในแผนที่พลเรือนสมัยใหม่ กลับไม่มีร่องรอยใดปรากฏเลย
เรื่องราวของ Darrun ไม่ใช่เพียงเรื่องของภูมิประเทศ แต่ยังเป็นแหล่งรวมพิธีกรรมลึกลับที่ไม่เคยถูกบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ
ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากสตรีที่ถูกขนานนามในท้องถิ่นว่า “Aza-ye-Khafi” หรือ “เงาเงียบ” เป็นผู้รักษาพิธีกรรมนี้อย่างเข้มงวด
พิธีกรรมดังกล่าว ไม่มีการถ่ายทอดผ่านวาจาหรือตำราบันทึกใด ๆ แต่ถูกส่งต่อผ่านการปฏิบัติและความเชื่อส่วนตัวของสมาชิกครอบครัว พวกเขาอ้างว่า ต้นตระกูลได้เคย “เห็นเงาของเซเรฟาธูร์โดยไม่ตั้งใจ”
เหตุการณ์นั้นกลายเป็นบาดแผลทางจิตใจ ที่ไม่อาจลบเลือน และทำให้พวกเขาต้องดำรงรักษาพิธีกรรม เพื่อปกป้องขอบเขตของการมีอยู่ในแต่ละคืนที่พระจันทร์ดับ
พิธีกรรมใน Darrun จึงไม่ใช่การสักการะหรือบูชา แต่เป็นการรักษา “ขอบของการมีอยู่” หรือการปกป้องเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างโลกที่จับต้องได้และความว่างเปล่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
เสียงเงียบที่เกิดขึ้นในพิธีกรรมนี้จึงเปรียบเสมือน “เสียงของประวัติศาสตร์” ที่ไม่อาจถูกบันทึกด้วยตัวอักษร แต่กลับสะท้อนอยู่ในจิตสำนึกของผู้คนที่ยังเฝ้ามองและรับรู้ถึงความเป็นจริงซ้อนเร้น
ในแง่นี้ หมู่บ้าน Darrun และพิธีกรรมของครอบครัว Aza-ye-Khafi จึงเป็นตัวแทนของมิติหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกเล่าในเอกสารทางการ แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในระดับลึกซึ้งของจิตใจและวัฒนธรรม และเป็นสิ่งที่ยังรอการค้นพบและทำความเข้าใจ จากนักประวัติศาสตร์และนักมานุษยวิทยารุ่นหลังต่อไป
.
▢ 2. โครงสร้างของพิธีกรรม: การปิดประตูทั้งที่ไม่มีผู้บุกรุก
พิธีกรรมที่ครอบครัวในหมู่บ้าน Darrun ปฏิบัติกันมาอย่างเคร่งครัดนั้น ประกอบด้วยขั้นตอนที่มีความละเอียดและสำนึกลึกซึ้ง แม้ในความเป็นจริง จะไม่มีผู้บุกรุกหรือภัยคุกคามทางกายภาพใด ๆ ก็ตาม แต่การปิดประตูทั้งสามบานของบ้านตามลำดับ
ความหมายเชิงสัญลักษณ์และจิตวิญญาณ
ขั้นตอนแรก: คือการปิดประตูทั้งสามบานตามเข็มนาฬิกา โดยเริ่มต้นจากประตูที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศทางที่ในความเชื่อของชาวบ้าน หมายถึง “จุดเริ่มต้นของชีวิตและแสงสว่าง” การปิดประตูในแต่ละครั้ง ผู้ปฏิบัติต้องกลั้นลมหายใจไว้ และจินตนาการถึง “ประตูที่ไม่มีกรอบ ไม่มีผืนผ้า หรือวัสดุใด ๆ”
ซึ่งแสดงถึงขอบเขตของความว่างเปล่า ประตูนี้ ไม่ได้ถูกปิด เพื่อกั้นสิ่งใดในโลกทางกายภาพ แต่เป็นการวาดเส้นแบ่งในพื้นที่ความคิดและจิตวิญญาณ ก่อนการปิดประตูบานสุดท้าย จะต้องกล่าววลีในใจอย่างชัดเจนและมั่นคง
❝สิ่งที่เฝ้าฉัน ไม่ใช่ศัตรู แต่คือผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าฉันมีอยู่จริง❞
คำกล่าวนี้ มิใช่คำขออนุญาต แต่เป็นการยืนยันสภาพของการอยู่ร่วมกัน ในสถานะที่เปราะบาง พ่อบ้านรุ่นอาวุโสของครอบครัวได้อธิบายว่า ถ้อยคำนี้ หมายถึง การสื่อสารกับ “เงาที่เฝ้า” ซึ่งยังไม่แน่ใจในตัวตนของผู้ปฏิบัติ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ครอบครัวยัง “รอดอยู่” ในโลกที่แสนเปลี่ยนแปลงนี้ พิธีกรรมนี้จึงสะท้อนภาพของการปกป้องที่ไม่ใช่จากศัตรูทางกายภาพ แต่เป็นการปกป้องจิตวิญญาณ
การรักษาเส้นแบ่งที่ละเอียดอ่อนระหว่างการ “มีอยู่” กับ “การไม่อยู่” และเป็นการยืนยันว่ามนุษย์ยังคงรับรู้และตระหนักถึงตัวตน ท่ามกลางความว่างเปล่าและความไม่แน่นอนของโลกใบนี้
.
▢ 3. ผลกระทบต่อจิตใจและระบบประสาท: รายงาน K-HIS, 1992
ในปี ค.ศ. 1992 หน่วยภาคสนามของโครงการ Knowledge-Historical Interface Study (K-HIS) ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์และวิจัยครอบครัวดังกล่าว โดยไม่มีการเปิดเผยตัวตนของนักวิจัยต่อชุมชน
ในรายงานที่ต่อมาถูกจัดเป็นระดับ “Semi-classified” มีผลการทดลองภาคสนามในรูปแบบ Sensory Deprivation Chamber พบว่า เด็กจากสายเลือด “Aza-ye-Khafi” มีค่า resilience score ต่อภาวะกีดกันประสาทสัมผัส (sensory deprivation) สูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 3.4 เท่า
เด็กสามารถอยู่ในห้องไร้แสง ไร้เสียง ไร้สัมผัสได้นานกว่า 73 นาที โดยไม่แสดงความเครียดใด ๆ ที่ตรวจวัดได้ทั้งจาก EEG หรือ cortisol level
ข้อสังเกตเชิงคุณภาพจากนักวิจัยยังบันทึกไว้ว่า เด็กมีลักษณะ “จ้องไปยังพื้นที่ว่างราวกับกำลังฟังบางสิ่ง” และหลังการทดลอง เด็กชายคนหนึ่งกล่าวว่า:
❝ผมรู้ว่าเขาเฝ้าผมอยู่ แต่เขายังไม่รู้ว่าผมรู้… นั่นแปลว่าผมยังปลอดภัย❞
.
▢ 4. ประวัติศาสตร์ที่ไร้บทสอน: การสืบทอดพิธีกรรมแบบไร้ภาษา
หนึ่งในลักษณะที่แปลกประหลาดที่สุด ของพิธีกรรมในหมู่บ้าน Darrun คือการสืบทอดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากคำสอน ไม่มีใคร “อธิบาย” พิธีกรรมแก่เด็กอย่างเป็นทางการ ไม่มีตำรา ถ้อยคำที่กล่าวซ้ำ หรือบทเรียนใด ที่เขียนไว้บนผนังหรือในหนังสือ
หากแต่เด็กทุกคนในตระกูล เมื่ออายุครบเจ็ดปี มักจะ “รู้” ว่าต้องทำอย่างไร รู้ลำดับ จังหวะ รู้ความเงียบที่ต้องรักษา แม้ไม่เคยมีใครบอกให้รู้
การรู้ในลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดจากการเฝ้ามองด้วยดวงตาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากสิ่งที่ผู้นำบ้านกล่าวไว้ว่าเป็น “การสังเกตด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยตา”
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงกลไกทางวัฒนธรรม ที่ลึกกว่าการเลียนแบบภายนอก เพราะไม่ใช่แค่การทำตาม แต่คือการรับรู้ถึงความหมายและความรู้สึกที่ฝังอยู่ในแต่ละท่วงท่าของพิธีกรรมนั้นเอง
ปรากฏการณ์ลักษณะนี้ สอดคล้องกับแนวคิดของ Michael Taussig นักมานุษยวิทยาร่วมสมัยผู้เสนอแนวคิดเรื่อง “mimetic knowledge” หรือการรับรู้แบบจำลองที่ไม่อาศัยภาษา ไม่ได้ผ่านคำอธิบาย แต่เกิดจากการซึมซับ การเลียนแบบด้วยสัญชาตญาณ หรือด้วยสิ่งที่ Taussig เรียกว่า การจำโดยความรู้สึก
ในบริบทของหมู่บ้าน Darrun พิธีกรรมดังกล่าวจึงมิใช่เพียง “การกระทำ” แต่เป็น “โครงสร้างของการจำที่ไม่เคยถูกเล่า” คือความทรงจำเชิงจิตวัตถุ (mnemo-structure) ที่ฝังอยู่ในเครือญาติ ผ่านสายเลือด ความเงียบ และการเฝ้าระวังในระดับจิตวิญญาณ
การไม่มีผู้สอนจึงไม่ใช่ข้อบกพร่องของวัฒนธรรมนี้ หากกลับกลายเป็นหลักฐานเชิงลึกถึงโลกทัศน์ที่ไม่เชื่อว่า ความจริงควรถูกแปรเป็นภาษา
ตรงกันข้าม ความจริงในพิธีกรรมนี้อาศัย “การสืบทอดด้วยความแน่ใจเงียบ ๆ” ไม่ใช่เพื่อเข้าใจด้วยเหตุผล แต่เพื่อคงอยู่ร่วมกับสิ่งที่ยังไม่สามารถอธิบายได้
พิธีกรรม Darrun จึงเปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ที่เดินทางผ่านเงา ผ่านจังหวะ และผ่านความจำที่ไม่มีเสียง คือความทรงจำที่ไม่เคยถูกตั้งคำถาม เพราะไม่เคยถูกบอกเล่า ม แต่กลับอยู่ต่อมาได้นานกว่าคำอธิบายใดในโลกนี้
.
▢ 5. เงาของเซเรฟาธูร์: จากการเฝ้าภายนอกสู่การเฝ้าภายใน
เมื่อศึกษาพิธีกรรมของ Darrun ลึกลงไปในโครงสร้างของความหมาย เราจะพบว่า นี่ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติทางศาสนา หรือความเชื่อที่สืบสานกันมาอย่างคลุมเครือ หากคือการสนทนาในระดับ ontological การเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์ กับสิ่งที่ไม่อาจจัดหมวดหมู่ได้ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่ความหวัง หรือภัยคุกคาม แต่เป็น “เสียงของการตั้งคำถาม” ที่ยังไม่มีคำตอบ
เราอาจเคยเข้าใจเซเรฟาธูร์ในฐานะ “ผู้เฝ้ามองที่ไม่จ้องมอง” สิ่งที่มีการรับรู้โดยไม่ปรากฏเจตจำนง เป็นการมีอยู่ที่เงียบแต่กดทับ
แต่บทนี้เสนออีกมิติหนึ่ง ที่ละเอียดอ่อนกว่า คือ เซเรฟาธูร์ในฐานะผู้ถูกมองกลับโดยไม่มีตา นี่ไม่ใช่เพียงการกลับด้านของตำแหน่ง “ผู้เฝ้า” กับ “ผู้ถูกเฝ้า” หากแต่คือการเปิดให้เห็นโครงสร้างของจิตมนุษย์เองว่า มีบางภาคส่วนที่ทำหน้าที่ เฝ้าการเฝ้าของตัวมันเอง
เซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่อะไรภายนอก แต่คือจิตบางภาค ส่วนเงียบลึกที่ไม่แน่ใจในความมีอยู่ของเราเอง เมื่อเราปิดประตูสามครั้งตามเข็มนาฬิกา ไม่ได้เป็นการขับไล่หรือเชื้อเชิญสิ่งใด
แต่คือ การยืนยันต่อเสียงที่สงสัยว่าเรายังเป็นเราอยู่หรือไม่ พิธีกรรมของ Darrun จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางวัฒนธรรม หากคือรูปแบบหนึ่งของ การเฝ้าภายใน ไม่ใช่เฝ้าสิ่งอื่น แต่คือเฝ้ารอยต่อบางอย่างที่อยู่ระหว่างการดำรงอยู่กับการหลุดพ้น ระหว่างตัวตนกับความว่าง
การปิดประตูที่ไม่มีกรอบ ไม่ใช่เพียงท่าทางสมมุติ แต่เป็นการกระทำเพื่อ “รักษารูปรอยแห่งการมีอยู่” ในโลกที่ความทรงจำไม่แน่ชัด ความจริงไม่มีกรอบ และเจตจำนงอาจไม่ใช่สิ่งที่กำหนดการมีอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว
ในแง่นี้ เซเรฟาธูร์ไม่ใช่สิ่งที่เฝ้ามองเรา หากคือ สิ่งที่สงสัยในความสามารถของเราในการเฝ้าตัวเอง และเสียงนั้น แม้ไม่ดังออกมา แต่ก็อาจดังก้องอยู่ในส่วนที่เรายังไม่กล้าสัมผัส
.
▢ สรุป
“ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีผู้เล่า ไม่ได้หายไป มันอาจรอให้เราเปิดประตูผิดบาน…”
พิธีกรรมที่ไม่มีชื่อในหมู่บ้าน Darrun คือร่องรอยหนึ่งในจักรวาลของเซเรฟาธูร์ ที่ไม่ได้ส่งเสียงให้เราได้ยิน แต่ส่ง “โครงสร้างแห่งการฟัง” ในความเงียบของคำ ที่ไม่ถูกเอ่ย สิ่งที่เราพบ อาจไม่ใช่คำตอบ แต่อาจเป็นผู้เฝ้าที่กำลังฟังว่าเรายังจำประตูบานไหนอยู่บ้าง
บทที่ 6: ความว่างเปล่าเชิงปรัชญา — คำถามสุดท้ายของเซเรฟาธูร์
❝โลกนี้ยังมีสิ่งที่ต้องปกป้องอีกหรือไม่?❞
- คำถามที่พบซ้ำในบันทึกความฝัน, คัมภีร์เปลือกเสียง, และการสะท้อนของจิตที่ขาดเงา
▢ 1. คำถามที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ถาม
คำถามนี้ ❝โลกนี้ยังมีสิ่งที่ต้องปกป้องอีกหรือไม่?❞
ปรากฏขึ้นในหลายตำนานที่เกี่ยวข้องกับ “เซเรฟาธูร์” และถือเป็นจุดร่วมที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันมิใช่คำถาม ที่มีโครงสร้างแบบปกติในทางศาสนา ปรัชญา หรือจริยธรรม หากแต่เป็นคำถามที่มุ่งลึก ไปในแก่นของการดำรงอยู่โดยไม่บ่งบอกว่าใครเป็นผู้ถาม หรือแม้กระทั่งว่า “การถาม” นั้นมีเจตจำนงหรือไม่
ในบรรดาผู้ที่กล่าวว่าตนเคย “ได้ยิน” คำถามนี้ ไม่มีใครสามารถระบุ เพศ น้ำเสียง หรือแม้กระทั่งทิศทางของเสียงได้ บางคนอธิบายว่าเสียงนั้นคล้ายสะท้อนจากหุบเขาที่ไม่มีผนัง บางคนกล่าวว่าเหมือนคลื่นกระทบในความฝัน โดยไม่ผ่านหู หากแต่ “เกิดขึ้น” ในใจ ไม่ใช่ในฐานะประโยค แต่เป็น แรงสะเทือนที่กลายเป็นคำถาม
ลักษณะของเสียงไร้ผู้ส่งเช่นนี้ ทำให้คำถามของเซเรฟาธูร์ต่างจากการ “ไต่สวน” แบบเทววิทยา หรือ “ปริศนา” ของปรัชญา มันไม่ใช่คำถามที่รอคำตอบ หากแต่คือ คำถามที่ดำรงอยู่เพื่อตรวจสอบว่าเรายังสามารถตอบอะไรได้หรือไม่
และการที่คำถามนี้เกิดขึ้นจากภายใน คล้ายการระลึกในสิ่งที่ไม่เคยจำ ทำให้เกิดความคล้ายคลึงกับแนวคิดของ “จิตใต้สำนึกระดับสายพันธุ์” (phylogenetic subconscious)
ในจิตวิทยาหลังสมัยใหม่ ที่ว่ามนุษย์อาจมีความทรงจำที่ไม่ได้รับช่วงมาทางประสบการณ์ตรง แต่เป็น โครงสร้างของการตอบสนองต่อภาวะของโลก
คำถามของเซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่แค่การทดสอบศีลธรรม แต่เป็นการทดสอบการดำรงอยู่ คือคำถามว่า เรายังมีสิ่งใดที่ถือว่าควรหวงแหน และในหลายตำนาน สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่เสียงนั้น แต่คือความจริงที่ว่า ผู้ได้ยิน “ไม่สามารถตอบอะไรได้เลย”
มันไม่ใช่การลืมโลก แต่มันคือภาวะที่ลึกยิ่งกว่า: การไม่แน่ใจว่าโลกยังสมควรถูกจดจำหรือไม่ นี่จึงไม่ใช่คำถามของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่คำถามของพระเจ้า
หากแต่คือ เสียงจากสนามที่ถามก่อนจะมีภาษาหรือคุณค่า และในบริบทนี้ เซเรฟาธูร์จึงมิใช่ชื่อของสิ่งมีชีวิต หรือวิญญาณ แต่คือชื่อของภาวะ ชื่อของความสงสัย ที่ฝังอยู่ในโครงสร้างของการเป็นมนุษย์เอง.
.
▢ 2. ไม่ใช่คำทำนาย แต่คือคำย้อนถามต่อการมีอยู่
ประวัติศาสตร์ของคำถามที่ไม่คาดหวังคำตอบ: เซเรฟาธูร์ในฐานะกระจกของการดำรงอยู่
เมื่อพิจารณาถึงประวัติศาสตร์ของ “เสียงของเซเรฟาธูร์” ในฐานะที่มิใช่เพียงปรากฏการณ์ทางตำนาน หรือเสียงเร้นลับในคืนเดือนดับ หากแต่เป็นเหตุการณ์ทางจิตสำนึกระดับโครงสร้าง เราพบว่าแกนกลางของมัน ไม่ใช่ “เสียง” และไม่ใช่ “ถ้อยคำ” แต่คือ ผลกระทบของคำถามที่ไม่มีผู้ถามต่อการรับรู้ของผู้ฟัง
ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา กลุ่มนักวิจัยในสาย “ประวัติศาสตร์เชิงจิตสำนึก” (Historians of Consciousness) เช่น A. Karoubi นักปรัชญาจาก Esfahan และ F. Lyautey นักวิเคราะห์ภาษาจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ได้รวมตัวกันเพื่อศึกษาผลกระทบของเสียงซึ่งไม่ใช่ถ้อยคำ แต่มีโครงสร้างของ การย้อนกลับทางจิต หรือที่พวกเขาเรียกว่า Reflexive Event
คำถามของเซเรฟาธูร์ “โลกนี้ยังมีสิ่งที่ต้องปกป้องอีกหรือไม่?”
ถูกนำเข้าสู่การศึกษาในฐานะ “สนามสะท้อนของเจตจำนง” ไม่ใช่เพราะมันบอกอนาคต แต่เพราะมัน ไม่กล่าวถึงเวลาเลย มันเป็นเพียงเงาเสียง ที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับการคลายตัวของความมั่นใจในตนเอง
ในปี 1987 ทีมวิจัยจากคณะ Subconscious Semiotics แห่งมหาวิทยาลัย Qom ได้จำลองสถานการณ์ โดยใช้คลื่นสัญญาณที่มีโครงสร้าง คล้ายกับคำถามของเซเรฟาธูร์ ผ่านการกระตุ้นสมองในบริเวณ insula (ซึ่งเชื่อมโยงกับความรู้สึกร่วม) และ anterior cingulate cortex (ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดเจตจำนงและการตัดสินคุณค่า)
ผลลัพธ์ที่ได้มิใช่การ “แสดงออกของความกลัว” มิใช่การ “ตอบคำถามด้วยเหตุผล” แต่คือการ ล่มสลายของเส้นขอบตัวตน ผู้ทดลองส่วนใหญ่ไม่ได้ตอบคำถามเลย เพราะไม่มีเจตจำนงจะตอบ และไม่มี “ตัวตนใด” ในช่วงเวลานั้น ที่รู้สึกเหมาะสมจะเป็นผู้ตอบ แต่เพราะ ไม่มีโครงสร้างของความมั่นใจในตัวเองหลงเหลือพอให้เป็นผู้ตอบได้
นี่คือสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า ภาวะละลายของการรับรู้ตนเอง (ego dissolution) ซึ่งต่างจากภาวะมึนงงหรือสูญเสียสติ ตรงที่ผู้ประสบภาวะนี้ยังมีสติอยู่เต็มที่ แต่ไม่แน่ใจว่า “ตนเองมีอยู่ในฐานะใด”
สิ่งที่น่าสนใจในทางประวัติศาสตร์ คือปรากฏการณ์นี้ คล้ายคลึงกับบันทึกเก่าในหมู่บ้าน Nahr-e-Kuhin (ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17) ซึ่งกล่าวถึง “เสียงจากภูเขาทางตะวันตก ที่ไม่พูดอะไรเลย นอกจากทำให้ผู้ฟังเลิกยืนยันว่าตนเองเป็นใคร” เหมือนเป็นเสียงที่ไม่มีความหมาย แต่มีผลสะท้อนต่อ โครงสร้างการดำรงอยู่ ของผู้รับฟัง
ดังนั้น คำถามของเซเรฟาธูร์จึงอาจไม่ใช่ “คำถาม” ตามนิยามทั่วไป แต่มันคือ “สนามเรขาคณิตแห่งความระแวงในตนเอง” ที่ถูกโยนเข้าสู่จิตของมนุษย์โดยไม่แจ้งเจตนา
❝การที่เรายังดำรงอยู่ทุกวันนี้ เพราะเรามีคุณค่าที่ต้องปกป้องจริง ๆ หรือเพียงเพราะเรายังไม่มีใครกล้าถามกลับ?❞
.
▢ 3. ความว่างเปล่าในฐานะโครงสร้างของความหมาย
ภายใต้แสงสลัวของหอสมุดใต้ดินใน Yazd ต้นฉบับที่เขียนด้วยหมึกไม่ไวแสงซึ่งต้องใช้ไฟสีฟ้าอ่อนในการอ่านได้เผยข้อคิดเห็นของมุลลา ซะดรอ (Ṣadr al-Dīn al-Shīrāzī) ซึ่งเปลี่ยนวิธีที่โลกอิสลามมองความว่างเปล่า มาตลอดหลายศตวรรษ
ในบันทึกที่ระบุชื่อว่า Tafsir al-Mukashafat คำอธิบายต่อการเปิดเผยที่ไม่ผ่านการสื่อสาร เขาเขียนไว้ว่า:
❝ความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งที่ตรงข้ามกับการมีอยู่ หากแต่คือสนามที่ทำให้การมีอยู่สามารถถูกสังเกตได้❞
ข้อเสนอแสนเรียบง่ายนี้ กลับพลิกมุมมองแบบทวินิยมที่แบ่งโลกออกเป็น มี และ ไม่มี, สว่าง และ มืด, เสียง และ ความเงียบ มันเปิดพื้นที่ให้ “ความว่าง” ไม่ใช่เป็นความล้มเหลวของการมีอยู่ แต่เป็น เงื่อนไขเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้การมีอยู่สามารถ เกิด ขึ้นได้ ไม่ใช่ในความหมายของการผลิต แต่ในความหมายของการ ถูกรับรู้
กล่าวคือ หากไม่มีความว่าง ก็ไม่มีการรับรู้ของรูป หากไม่มีความเงียบ ก็ไม่มีการฟังของเสียง และหากไม่มีความไม่รู้ ก็ไม่มีคำถามใดที่อาจเกิดขึ้นได้เลย
ในบริบทนี้ เซเรฟาธูร์ ที่ปรากฏในบทก่อนหน้าในฐานะเสียงของคำถามที่ไม่มีเสียง จึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหรือเจตจำนงที่แอบเฝ้าเราอยู่ในความมืด
หากแต่เป็น โครงสร้างของช่องว่างในจิต เป็นความเงียบที่ไม่ใช่การหยุดพูด แต่เป็นความว่างที่เปิดทางให้ “คำถาม” เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีคำตอบ หรือแม้แต่ ไม่ต้องมีผู้ถาม
สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Martin Heidegger นักปรัชญาชาวเยอรมันที่เสนอคำว่า Gelassenheit ซึ่งมักแปลว่า “การวางใจอย่างสงบ” หรือ “การปล่อยวางโดยไม่ถอนตัว”
ในบริบททางปรัชญา Gelassenheit ไม่ใช่ความเฉยเมย แต่คือการยอมให้สิ่งทั้งหลาย “เป็นไปตามที่มันเป็น” โดยไม่แทรกแซงด้วยความต้องการควบคุมหรืออธิบาย
เซเรฟาธูร์ในที่นี้ จึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็น ผู้เฝ้า แต่เป็น เงื่อนไขของการเฝ้า ไม่ใช่ “สิ่งที่ถาม” แต่คือ “พื้นที่ที่ทำให้คำถามสามารถเกิดขึ้นได้”
คำถามของเซเรฟาธูร์ ❝โลกนี้ยังมีสิ่งที่ต้องปกป้องอีกหรือไม่?❞
จึงไม่ใช่คำทำนายหรือคำเตือน แต่คือ โครงสร้างของการท้าทายโดยไม่มีเป้าหมาย
คำถามนี้ไม่ได้ถูกถามเพื่อให้มีคนตอบ หากแต่เพื่อทำให้ผู้ฟัง “รู้ว่าตนเองกำลังถูกฟังจากภายใน”
ในแง่นี้ “ความว่าง” ไม่ได้เป็นสุญญตาในแบบนิ่งเงียบ แต่คือปฏิกิริยาเชิงการรับรู้ เป็นสถานะที่ผู้ถูกถามเริ่มถอยห่างจากความแน่ใจ เริ่มรับรู้ว่า “ตัวตนที่คิดว่ารู้” อาจไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิจะตอบคำถามเลย นั่นคือความทรงพลังของโครงสร้างแห่งความว่าง:
มันไม่จำเป็นต้องมีเสียง ต้องมีชื่อ และที่สำคัญที่สุด มันไม่จำเป็นต้องมีเจตจำนง จึงทำให้มันแทรกผ่านโครงสร้างของจิตได้โดยไม่ต้องต่อสู้
ในประวัติศาสตร์ของการตีความสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ หรือโครงสร้างพิธีกรรมลึกลับ ไม่ว่าจะในตะวันตกหรือตะวันออก ความว่างเปล่าที่มีระเบียบเชิงโครงสร้างเช่นนี้ มักปรากฏอยู่ในแก่นของพิธี แต่ไม่เคยถูกกล่าวถึงตรง ๆ และในกรณีของเซเรฟาธูร์ มันอาจไม่ใช่ “ผู้ที่เฝ้าดู” หากแต่คือ “การเปิดพื้นที่ให้เฝ้าระวังตนเอง”…โดยที่เราไม่รู้ตัวว่าทำอยู่
.
▢ 4. “เราไม่แน่ใจแม้ในสิ่งที่ควรหวงแหน”
ในบันทึกของนักบวชชั้นรอง แห่งคณะมัญญะฮ์ในโซคานด์ (Sokhand Seminary, 1903) มีการพูดถึงการฝึกภาวนาแบบ Samt al-‘Aql (ความเงียบของปัญญา) ซึ่งผู้ปฏิบัติต้องนั่งเงียบต่อคำถามของเซเรฟาธูร์เป็นเวลาเจ็ดคืน ไม่มีใครตอบคำถาม แต่เมื่อครบเจ็ดวัน จะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ผู้บันทึกอธิบายว่า:
❝ผู้เฝ้าจะเลิกมองเรา หากเราหยุดพยายามปกป้องสิ่งที่เราไม่เข้าใจว่ามีอยู่จริงหรือไม่❞
นั่นคือความเปราะบางที่สุดของจิตมนุษย์ ไม่ใช่การขาดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่คือการไม่แน่ใจว่าสิ่งใดควรค่าแก่การเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์
.
▢ 5. คำถามที่ยังฟังอยู่ แม้เราหยุดตอบ
บางคนอาจกล่าวว่า คำถามของเซเรฟาธูร์คือ “อัลกอริทึมของการสอบสวนจิต” บางคนกลับมองว่ามันคือเสียงสุดท้ายก่อนความทรงจำจะล่มสลาย แต่ไม่ว่าจะแปลว่าอย่างไร
คำถามนั้น ยังคงปรากฏในความฝันของคนที่ไม่รู้จักกัน ในหมู่บ้านที่ไม่มีแผนที่ ในสมุดบันทึกที่ไม่ได้ตีพิมพ์ ในเสียงของลมหายใจที่ขาดจังหวะ และในดวงตาของเด็กที่รู้ว่ามีบางอย่างเฝ้าเขาอยู่ แต่ยังไม่แน่ใจว่า “สิ่งนั้นเฝ้าเพื่อคุ้มกัน หรือเพื่อรอวินิจฉัย”
.
▢ สรุป
❝การไม่ตอบ ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธ หากคือการยอมรับว่าเราไม่มีสิทธิจะพูดแทนอนาคตที่ไม่แน่ใจว่าจะมีอยู่หรือไม่❞
ประวัติศาสตร์ของเซเรฟาธูร์จึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของสิ่งที่เกิดขึ้น หากเป็นประวัติศาสตร์ของสิ่งที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเกิด และเราผู้เฝ้ามองมัน อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเสียงที่ยังไม่ได้ถูกถามกลับ
🔳บทสรุป: ตำนานในฐานะรหัสความจำของมนุษย์
ตำนานในฐานะรหัสความจำของมนุษย์….ตำนานเซเรฟาธูร์มิใช่เพียงเรื่องเล่าโบราณ ที่ถูกส่งต่อแบบปากเปล่า หรือความเชื่อที่สูญหายไปตามกาลเวลา
หากแต่เป็น โครงสร้างทางวัฒนธรรมและจิตสำนึก ที่บันทึกการรับรู้เชิงสัญญะต่อ “ประตู” ประตูในที่นี้ ไม่ใช่เพียงสิ่งกายภาพ หากคือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านระหว่างภวังค์และการตื่นรู้ ระหว่างการมีอยู่กับความไม่แน่นอน และระหว่างความเป็นเจ้าของในความจริงกับความไม่มั่นคงแห่งการรับรู้
❝เราอาจไม่เคยเห็นเซเรฟาธูร์ด้วยตาเนื้อ แต่ถ้ามีสิ่งใดเฝ้ามองว่าเรา “ยังเป็นเรา” อยู่หรือไม่ นั่นย่อมหมายความว่าบางสิ่งกำลังตรวจสอบว่าเราหลุดออกจากโลกนี้ไปแล้วหรือยัง❞
ในแง่นี้ เซเรฟาธูร์ทำหน้าที่เป็น รหัสความจำ เป็นพื้นที่ว่างเชิงปรัชญาที่มนุษย์ใช้เฝ้าสังเกตตนเอง ตรวจสอบความต่อเนื่องของการมีอยู่ และคอยย้ำเตือนว่าแม้ในความเงียบสงัดที่สุดของประวัติศาสตร์ ยังมีเสียงหนึ่งที่ไม่เคยหยุดถาม เสียงแห่งการตั้งคำถามต่อการมีอยู่และความหมายของการรับรู้
ดังนั้น ตำนานนี้ไม่ใช่เพียงอดีตที่เลือนลาง แต่คือกระจกสะท้อนที่มนุษย์ทุกยุคสมัยต้องเผชิญหน้า กับคำถามพื้นฐานที่สุดของชีวิตและจักรวาล ว่าเรายังมี “ประตู” ที่เฝ้ารอให้เราเข้าใจ และตื่นขึ้นจริงๆ หรือไม่
กดติดตาม ได้ที่:
https://www.blockdit.com/pages/681d6aa3c38481977e4bfd5b
2 บันทึก
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย