Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Book Gossip: เล่มนี้ต้องขยาย
•
ติดตาม
2 ส.ค. เวลา 16:41 • หนังสือ
สถานีต่อไป... มาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่
หายไปนานเนื่องจากชีพจรลงเท้า แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านมาหลายสัปดาห์ กลับมารอบนี้เลยขอแนะนำหนังสือจากสำนักพิมพ์ glow ที่มีชื่อยาวมากอย่าง #สถานีต่อไปมาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่ เป็นหนังสือเล่มไม่หนาแต่เนื้อหาอัดแน่นไปด้วยความอบอุ่นใจ เหมาะกับการอ่านเล่นในวันหยุดพักผ่อน เพราะสามารถอ่านจบได้ในหนึ่งวันแบบสบายๆ
เนื้อเรื่องจะแบ่งออกเป็น 5 ตอน ผ่านตัวละครทั้ง 5 คนที่ได้มีโอกาสไปเยือน "สถานีมาโฮโรชิ" สถานีรถไฟลึกลับที่จะเดินทางไปถึงได้ก็ต่อเมื่อคุณเข้าเงื่อนไขครบทั้ง 3 ข้อเท่านั้น
- ข้อแรก คุณต้องขึ้นรถไฟสายโซบุ และเดินทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำอารากาวะกับแม่น้ำนากางาวะ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสถานีชินโกอิวะกับสถานีฮิราอิ
- ข้อที่สอง ช่วงเวลาที่เดินทางผ่านจุดนั้นจะต้องเป็นตอนกลางคืนของวันที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
- และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ในตอนนั้นคุณจะต้องรู้สึกเสียใจกับเส้นทางที่เคยเลือกอย่างรุนแรง จนอยากย้อนอดีตเพื่อกลับไปแก้ไขมัน
เมื่อมีเงื่อนไขครบถ้วน คุณจะค้นพบว่าตัวเองอยู่บนรถไฟเพียงลำพัง ในขณะที่รถจอดเทียบชานชาลาของสถานีมาโฮโรชิ ที่นั่นคุณสามารถย้อนกลับไป ณ ทางแยกของชีวิตได้อีกครั้ง แน่นอนว่าคุณจะได้รับโอกาสให้ลองใช้ชีวิตในแบบที่สงสัยมาตลอดว่าถ้าเลือกแบบนั้นไปจะเป็นอย่างไร แต่...คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วในโลกความจริงได้ และเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าอยากกลับสู่โลกในปัจจุบันแล้ว คุณก็จะกลับมาบนรถไฟขบวนเดิมอีกครั้ง เสมือนว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปเลยสักนาที
เราตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะว่าภาพรวมของมันทำให้อดนึกถึงหนังสือเรื่อง "ศูนย์รับฝากความเสียใจ" ไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ลองอ่านแล้วก็พบว่าแม้จะมีการดำเนินเรื่องคล้ายคลึงกัน (กฎในการค้นพบสถานที่ก็แตกต่างกันแค่นิดหน่อย 55555) แต่ศูนย์รับฝากความเสียใจนั้นจะมุ่งเน้นไปที่การปล่อยวางความเสียใจและให้อภัยตัวเอง ในขณะที่สถานีมาโฮโรชิจะเล่นกับเรื่องราวของความรู้สึกเสียดายเส้นทางชีวิตอีกสายที่ไม่ได้เลือกเดิน
ถ้าไม่ได้เป็นคนที่รู้อนาคตทุกอย่างก็ไม่มีทางทำได้หรอก แล้วคนแบบนั้นก็ไม่มีจริงสักหน่อย
คนทุกคนล้วนต้องเคยเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหมุดหมายใหญ่ๆที่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิต อย่างตอนเลือกมหาวิทยาลัย/คณะที่อยากเรียน เลือกบริษัทที่ทำงาน หรือเลือกคบใครสักคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิต หรือทางแยกเล็กๆอย่างเลือกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี เลือกว่าจะซื้อของชิ้นนั้นหรือชิ้นนี้ หรือเลือกว่าวันนี้จะกินข้าวกับอะไร
ต่อให้เราจะลังเลแค่ไหน แต่สุดท้ายจะมีแค่ 1 อย่างเท่านั้นที่เราจะเลือกได้ และนั่นย่อมนำมาสู่การตั้งคำถามว่ามันจะเป็นอย่างไรหากเราตัดสินใจเลือกอีกอย่างแทน เส่้นทางชีวิตแบบไหนกันที่ตัวเลือกนั้นจะนำพาเราไป โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางในปัจจุบันของเรามีเรื่องที่ไม่น่าพึงพอใจเกิดขึ้น ความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เลือกอีกตัวเลือกหนึ่งก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนเกิดเป็นความเสียใจในที่สุด
สิ่งเดียวที่เราพอจะทำได้เวลาที่ต้องเผชิญกับทางแยกของชีวิต ก็คือการเอาข้อมูลทั้งหมดเท่าที่มีในมือมาใช้ และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ "ดูเหมือน" ดีที่สุดในขณะนั้น จริงอยู่ว่าวันหนึ่งเราอาจเสียใจที่เลือกทางนี้ แต่จงจำไว้ว่าความเสียใจที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการที่เราเอาความรู้ในอนาคตไปตัดสินเรื่องราวในอดีต ทั้งที่ถ้าย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง แบบไม่ได้มีพลังวิเศษให้จดจำเรื่องราวในโลกปัจจุบันได้ เราก็อาจจะเลือกแบบเดิมเพราะความไม่รู้อยู่ดี
เช่นนั้นแล้วการโบยตีตัวเองซ้ำๆโทษฐานที่ไม่อาจล่วงรู้อนาคตได้ โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่มีอำนาจในการมองเห็นอนาคต มันไม่เป็นการใจร้ายกับตัวเองไปหน่อยหรือ
แทนที่จะนับจำนวนสิ่งที่ไม่มีทางได้มาอีกแล้วในอดีต มานับจำนวนสิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบันดีกว่าไหมคะ
เจ้าหน้าที่สถานีประจำเดือนเมษายน
เมื่อไหร่ที่เริ่มปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดว่า "รู้งี้น่าจะทำแบบนั้น" เราจะมองเห็นแค่ว่าเราสูญเสียอะไรไปบ้างจากการไม่เลือก และมองข้ามไปว่าเราได้อะไรมาบ้างจากการเลือก นั่นเพราะสิ่งที่เรายังไม่สมหวังมักจะก่อให้เกิดแรงดึงดูดได้มากกว่าสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว ความปรารถนาที่ไม่ได้รับการตอบสนองจึงส่งผลต่อความรู้สึกของเราได้รุนแรงกว่าความต้องการที่บรรลุไปแล้ว
และเมื่อมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น เรามักจะมีแนวโน้มเอา "สิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้" ในทางที่เราไม่ได้เลือก มาเทียบกับ "สิ่งที่แย่ที่สุดที่เกิดขึ้น" ในทางที่เราเลือกเสมอ ซึ่งการคิดแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่มากขึ้น จนมองไม่เห็นสิ่งดีๆในเส้นทางปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
เราอาจนึกเจ็บใจว่าถ้าลงทุนในหุ้นตัวนี้ไปตั้งแต่แรก วันนี้จะได้ผลกำไรอย่างงามชนิดที่รวยแบบไม่รู้ตัว แต่ลืมไปว่าเพราะความไม่กล้าลงทุนในตอนนั้น เราจึงไม่ต้องขาดทุนหนักในช่วงขาลงที่ผ่านมา เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงเราคงตัดสินใจขายขาดทุนไปแล้ว ไม่อดทนรอจนมันกลับมามีกำไรเหมือนวันนี้หรอก ในสถานการณ์นี้ เราอาจจะเสียเงินก้อนโต (ที่ยังไม่ใช่ของเรา) ไปเพราะเราไม่เลือก แต่เราสามารถรักษาเงินก้อนที่อาจจะไม่โตมากนัก (ที่เป็นของเราอยู่แล้ว) ไว้ได้เพราะสิ่งที่เราเลือก
ไม่ว่าทางไหนก็มีความเสียใจภายหลังรออยู่และไม่ว่าทางไหนก็มีความสุขรออยู่เช่นกัน
หลังจากย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ต่างก็ได้ค้นพบว่าไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเดินเส้นทางไหน มันก็จะมีเรื่องให้ต้องเสียใจภายหลังอยู่ดี การได้ลองใช้ชีวิตแบบที่ตนไม่ได้เลือก ได้ทำให้พวกเขาตระหนักว่าทุกเส้นทางของชีวิตล้วนมีความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุข คือการที่ตัวเราเองต้องเลิกยึดติดกับอดีต และเรียนรู้ที่จะพอใจกับปัจจุบันขณะ
เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วได้ แต่เรายังคงสามารถเปลี่ยนความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เสมอ ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับทางแยกของชีวิต จงเลือกเส้นทางที่เราคิดแล้วว่าจะเสียใจน้อยที่สุด ก้าวเดินไปอย่างมั่นใจ ยิ้มให้กับทุกเรื่องราวที่เส้นทางนั้นนำเราไปเจอ และภูมิใจอยู่เสมอว่านี่คือชีวิตที่เรามีโอกาสได้ลิขิตเอง
ไปสัมผัสเรื่องการย้อนอดีตที่ชวนน้ำตาซึมกันได้ที่
https://s.shopee.co.th/5feFqccoNx
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย