4 ส.ค. เวลา 00:31 • นิยาย เรื่องสั้น

เบธ-ลิธา (Beth-Litha): หอคอยแห่งผู้ไม่หลับ

ประวัติศาสตร์ลับของความทรงจำที่ไม่หลับใหล
I. เงาในหุบเขาหิน
“ไม่มีประตู แสงใดๆ มีเพียงเงาที่ไม่เคลื่อนที่“
- คำกล่าวพื้นถิ่นจากหมู่บ้าน Otsagabia, ค.ศ. 1937
ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้น Navarra ใกล้พรมแดนฝรั่งเศส ลึกเข้าไปในหุบเขา Irati ที่ปกคลุมด้วยป่าสนดึกดำบรรพ์ มีภูมิประเทศกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ปรากฏชื่อในแผนที่สมัยใหม่ ชาวบ้านเรียกมันด้วยชื่อเก่าแก่ ซึ่งไม่มีที่มาชัดเจนว่า “เบธ-ลิธา” (Beth-Litha) “เงาแห่งลิธา” หรือในบางสำเนียงท้องถิ่น อาจออกเสียงเป็น Beð-Lidar หรือ Bet-Leza
โครงสร้างลึกลับที่พวกเขาเชื่อว่าตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของหุบเขานั้น คือ หอคอยที่ไร้ช่องเปิดใดๆ ไม่มีประตู หน้าต่าง หรือร่องรอยของเครื่องมือสมัยใด แต่กลับทิ้งเงาทอดยาวแม้ในวันที่ไร้แสง
มันเป็นสิ่งปลูกสร้าง ที่ไม่มีใครรู้ว่าถูกสร้างขึ้นโดยใคร เมื่อใด หรือเพื่ออะไร สิ่งที่ทราบเพียงอย่างเดียว คือ มันยังอยู่ตรงนั้น ไม่เคยเคลื่อนไหว และไม่เคยกล่าวอ้างถึงตัวมันเอง
.
▣ เสียงเล่าขานในความเงียบ
การกล่าวถึงเบธ-ลิธา ในแหล่งบันทึกทางประวัติศาสตร์ ปรากฏเพียงร่องรอยกระจัดกระจาย บ้างในรูปของบันทึกนักบวช ที่เดินทางผ่านเทือกเขา ในศตวรรษที่ 11 ซึ่งจดว่า “ทางตะวันตกมีแท่นหินที่พูดด้วยภาษาของผู้หลับฝัน” บ้างอยู่ในตำนานพื้นบ้านที่ชาว Basque ถ่ายทอดแบบมุขปาฐะ ซึ่งอ้างถึง “สิ่งเฝ้าสังเกต” (zainbegira) ซึ่งอยู่ตรงนั้นมาตลอด โดยไม่เคยมีใครกล้าแตะต้อง
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 นักชาติพันธุ์วิทยาหลายคน เริ่มสนใจพื้นที่นี้ เนื่องจากมีรายงานของ ภาวะฝันแทรกซ้อน (Oneiric Confluence Syndrome) ในผู้ที่เข้าใกล้พื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะในรัศมี 500 เมตรจากใจกลางหุบเขา พวกเขาจะเริ่มฝันถึงเหตุการณ์ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตน บางรายพูดภาษาที่ไม่สามารถจัดเข้ากลุ่มตระกูลภาษาใด และมีอาการจำได้ในสิ่งที่ตนไม่เคยประสบ
“ความเงียบในหุบเขานั้น ไม่ใช่ความเงียบของธรรมชาติ แต่มันคือความเงียบที่กำลัง จดจำบางสิ่ง ซึ่งมนุษย์ไม่มีภาษาจะเข้าถึงได้”
— บันทึกภาคสนามของ Prof. Amelia Llaveria, คณะโบราณคดีเชิงจิตสำนึก มหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา, ค.ศ. 1962
.
▣ โครงสร้างก่อนภาษา
หลักฐานการมีอยู่ของ เบธ-ลิธา อาจไม่ปรากฏในแบบที่นักโบราณคดีสมัยใหม่ต้องการ ไม่พบเศษภาชนะ จารึก หรือร่องรอย การตั้งถิ่นฐานรอบบริเวณ แต่ในวัฒนธรรมก่อนการใช้ภาษาเขียน การไม่มีร่องรอยอาจ เป็นส่วนหนึ่งของเจตจำนง
นักภาษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบิลเบา เสนอว่า Litha อาจสืบเนื่องจากรากคำ ก่อนอินโด-ยูโรเปียน หมายถึง “แสงที่ไม่ถูกส่งออก” หรือ “การอยู่ในความจำแบบไม่มีการแปล” ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิด ในพิธีกรรมโบราณของชาว Iberoceltic ว่า “บางสรรพสิ่งต้องจำ โดยการอยู่กับมัน ไม่ใช่โดยการกล่าวถึงมัน”
“สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจนั้น มิใช่สิ่งที่ไม่มีความหมาย แต่คือ สิ่งที่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แปลความมันผิด”
สำนวนโบราณจากคัมภีร์ Basajaun ฉบับฟากตะวันตก (สันนิษฐานปี 200–300 ก่อนคริสตกาล)
II. ภูมิศาสตร์ของความลับ: ตำแหน่งที่ไม่ระบุตัว
“สิ่งที่ไม่มีในแผนที่ อาจไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง… แต่อาจหมายความว่ามันไม่ควรถูกมองเห็น”
— บันทึกการประชุมลับของกองกำลังภาคเหนือ, ก.ย. 1947
▣ 1. หุบเขา Basalto Negro: ชื่อที่ไม่มีบนแผนที่
แม้ในยุคปัจจุบัน พื้นที่ ที่ถูกเรียกว่า “Basalto Negro” หรือ “หินบะซอลต์ดำ” จะไม่มีปรากฏในแผนที่ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ หรือในฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์ อย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลที่เก็บรักษาในเอกสารโบราณยุคปลายของจักรวรรดิโรมัน (circa 190–250 ค.ศ.) ที่ค้นพบในแหล่งโบราณคดี ใกล้เมือง Iruña-Veleia ทางตอนเหนือ ของคาบสมุทรไอบีเรีย กลับเป็นหลักฐานสำคัญ ที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของภูมิประเทศลึกลับในบริเวณนี้
ในบันทึกเหล่านั้น มีการกล่าวถึงภูมิประเทศที่เรียกว่า “intra saxum obscurum, mensura fugitiva” ซึ่งแปลคร่าว ๆ ว่า “ในหุบเขาหินดำ ที่ยากจะคำนวณระยะทาง” คำบรรยายที่แสดงให้เห็นถึงความคลุมเครือ และลักษณะที่ไม่สามารถระบุพิกัด หรือแม้แต่ทำแผนที่อย่างแม่นยำได้
นอกจากนี้ เอกสารฉบับเดียวกันยังอ้างถึง โครงสร้างนิ่งยาวชื่อ “Basilica Litha” ซึ่งตามคำบรรยาย เป็นสิ่งก่อสร้างที่ “ทอดเงายาวแม้ในรัตติกาล” เป็นคำอุปมาอันทรงพลัง ที่บ่งบอกถึงความลึกลับ และความเหนือธรรมชาติของสถานที่แห่งนี้
ความน่าสนใจยิ่งขึ้น เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 เมื่อมีนักแปลและนักประวัติศาสตร์ ที่พยายามถอดรหัส และเชื่อมโยงข้อความโบราณเหล่านี้ กับภูมิศาสตร์สมัยใหม่ โดยตั้งชื่อพื้นที่แห่งนี้ว่า Basalto Negro ซึ่งเป็นชื่อที่อิง กับลักษณะทางธรณีวิทยาที่คาดว่าจะเป็น “ภูเขาหินบะซอลต์ดำ” หรือที่เกิดจากลาวาภูเขาไฟ
อย่างไรก็ตาม การค้นคว้าทางธรณีวิทยาในภายหลัง กลับไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่สนับสนุนว่า มีภูเขาไฟหรือหินบะซอลต์ในบริเวณดังกล่าว หรือในรัศมีอย่างน้อย 150 กิโลเมตรรอบ ๆ หุบเขานั้น
ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า Basalto Negro อาจไม่ได้หมายถึงภูมิศาสตร์ หรือธรณีวิทยาตามที่เข้าใจโดยทั่วไป แต่เป็นชื่อเรียกที่มีนัยยะทางสัญลักษณ์หรือเชิงปรัชญามากกว่า
จึงเกิดข้อสันนิษฐานในหมู่นักวิชาการหลายสาขา ว่า Basalto Negro อาจเป็นภูมิภาคที่ถูกหลงลืม หรือถูกปกปิดในประวัติศาสตร์
พื้นที่ ที่มีลักษณะเป็น “หุบเขาเงียบสงัด” ซึ่งมีความหมายมากกว่าที่ดวงตาธรรมดาจะสัมผัสได้ อาจเป็น “สถานที่จำ” ที่เก็บรักษาความทรงจำ หรือเรื่องราวที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูด หรือเป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์ที่ “ไม่เคยถูกบันทึก”
ดังนั้น Basalto Negro จึงกลายเป็นชื่อที่ ไม่มีบนแผนที่ทางภูมิศาสตร์ แต่ปรากฏชัดเจนในแผนที่แห่งความทรงจำ และความลึกลับของมนุษย์
▣ 2. ความเงียบของเครื่องวัด สนามแม่เหล็กที่ไม่ตอบสนอง
ในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อวิทยาศาสตร์การสำรวจเชิงธรณีฟิสิกส์ ได้ก้าวหน้าไปอย่างมาก นักธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยบิลเบา ได้จัดตั้งโครงการสำรวจสนามแม่เหล็ก ในบริเวณเชิงเขา Ortzanzurieta หนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่สอดคล้องกับตำแหน่งที่คาดการณ์ว่า ใกล้กับหุบเขา เบธ-ลิธา มากที่สุด
การสำรวจครั้งนี้ ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญ ในการทำความเข้าใจลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ลึกลับนี้ ผ่านการใช้เครื่องมือสมัยใหม่เช่น magnetometers ซึ่งเป็นเครื่องวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก ที่ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างทางธรณีวิทยา และตรวจจับความผิดปกติในสนามแม่เหล็กของโลก
▫️ผลลัพธ์ที่ได้กลับสร้างความประหลาดใจอย่างยิ่งต่อทีมนักวิจัย:
•เครื่องวัดสนามแม่เหล็กแสดงค่าผันผวนสูงผิดปกติ และไม่สอดคล้องกับลักษณะทางธรณีวิทยาที่คาดการณ์ไว้ ภายในรัศมีเพียงประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร
•เข็มทิศในบริเวณนี้ถูกบันทึกว่า หมุนวนและแกว่งไกวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ในหลายครั้ง แม้ในจุดที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นใดที่จะรบกวนได้
•ระบบ GPS บางชนิดขัดข้อง โดยแสดงตำแหน่งผิดพลาดเป็น “อยู่บนพื้นทะเล” แม้จะตั้งอยู่ในจุดสูงและลึกในหุบเขา
ความผิดปกติที่ว่านี้ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น และท้าทายความเข้าใจพื้นฐาน เกี่ยวกับสนามแม่เหล็กและเทคโนโลยีนำทางสมัยใหม่
รายงานการวิจัยเหล่านี้ ตีพิมพ์ในวารสาร Geofísica Ibérica ฉบับปี 1998 ได้รับความสนใจในวงการวิชาการในช่วงแรก แต่ไม่นานหลังจากนั้น บทความดังกล่าว กลับถูกถอนออกจากฐานข้อมูล โดยไม่มีคำชี้แจงหรือเหตุผลใด ๆ ซึ่งสร้างความสงสัยและเปิดทางให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด เกี่ยวกับการปกปิดข้อมูลในเชิงลึก
เหตุการณ์นี้ สะท้อนถึงความเงียบงันของเครื่องวัด ที่ไม่ตอบสนองในดินแดนแห่งความลึกลับ เป็นภาพสะท้อนทางวิทยาศาสตร์ของ “ความเงียบที่จดจำ” ซึ่งเป็นหัวใจของตำนานเบธ-ลิธา และย้ำเตือนว่าพื้นที่นี้ ไม่อาจถูกเข้าใจได้ด้วยเครื่องมือทางกายภาพทั่วไปเพียงอย่างเดียว
▣ 3. แผนที่ทหาร ค.ศ. 1947: จุดแรเงาที่ไม่อธิบาย
ในช่วงหลังสงครามกลางเมืองสเปน ภายใต้ความพยายามฟื้นฟูและเสริมความมั่นคงของประเทศ กองทัพสเปน ได้ดำเนินการจัดทำแผนที่ภูมิประเทศอย่างละเอียด โดยกรมภูมิประเทศภาคพื้นยุโรปกลางในปี ค.ศ. 1947
หนึ่งในเอกสารที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างลับ ๆ คือแผนที่ทหารที่บันทึกพื้นที่เขต Valle de Aezkoa ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้น Navarra ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคงอย่างสูง
ในแผนที่ฉบับนี้ ปรากฏจุดแรเงาเข้มผิดปกติ ที่ไม่มีสัญลักษณ์หรือคำอธิบายประกอบใด ๆ ยกเว้นหมายเหตุเพียงสั้น ๆ ว่า “estructura no identificada” แปลว่า “โครงสร้างที่ไม่ระบุ”
จุดดังกล่าวมีพิกัดที่ใกล้เคียงอย่างน่าประหลาดใจ กับคำบอกเล่าของชาวพื้นถิ่น เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “เงาที่ไม่เคลื่อน” ซึ่งถูกกล่าวถึงในตำนานและบันทึกประวัติศาสตร์ก่อนหน้า
ภาพลักษณ์ของจุดแรเงานี้ เป็นปริศนา เนื่องจากไม่ได้แสดงสัญลักษณ์ ของการตั้งถิ่นฐานหรือสิ่งก่อสร้างที่ชัดเจน ตามมาตรฐานการทำแผนที่ในยุคนั้น แม้จะมีความลับ และไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่ความแม่นยำของแผนที่ทหารยุคสงครามเย็น ทำให้ความมีอยู่ของโครงสร้างลึกลับนี้ ดูหนักแน่นขึ้นในเชิงประวัติศาสตร์
เพิ่มเติมจากข้อมูลแผนที่ มีการพบภาพถ่ายทางอากาศในปี ค.ศ. 1953 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจลาดตระเวนด้วยเครื่องบิน Lockheed F-5 Lightning
ภาพถ่ายนี้ จับภาพพื้นที่เดียวกันใน Valle de Aezkoa ได้ชัดเจนว่าเป็น “มวลเงาเรียบแน่น” ที่โดดเด่นอย่างผิดปกติ โดยสิ่งที่เห็นในภาพนั้นไม่มีร่องรอยเงาต้นไม้ หรือระดับชั้นดินใดที่สอดคล้องกับภูมิประเทศโดยรอบเลย
ลักษณะนี้ ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างที่ไม่ใช่ธรรมชาติ หรือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างจากสภาพแวดล้อมทั่วไป
อย่างไรก็ดี ภาพถ่ายทางอากาศดังกล่าว กลับถูกจัดเก็บอย่างเข้มงวด และหายไปจากคลังเอกสารของกองทัพในปี ค.ศ. 1971 เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการปกปิดข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับ เบธ-ลิธา
ซึ่งทำให้ประเด็นเรื่อง “หอคอยที่ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง” กลายเป็นความลับที่ไม่สามารถถูกเปิดเผยได้อย่างเต็มที่ผ่านเอกสารทางการ
พื้นที่และข้อมูลดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า เบธ-ลิธาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าพื้นบ้าน แต่ถูกบันทึกในระดับทางการอย่างลับ ๆ และปกปิดจากสายตาสาธารณะ ในยุคสงครามเย็น ความลึกลับและการหายไปของข้อมูล ชี้ถึงความพยายามบางอย่างที่จะปกป้อง หรือซ่อนสถานที่แห่งนี้ ไม่ให้ปรากฏต่อโลกภายนอก
▣ 4. ช่องว่างของภาพถ่ายและการลบข้อมูล
แม้ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ในยุคศตวรรษที่ 21 จะเปิดทางสู่การสำรวจระยะไกลอย่างละเอียดด้วยดาวเทียม และระบบภาพถ่ายทางอากาศ ความลึกลับของพื้นที่หุบเขา เบธ-ลิธา กลับไม่ได้ถูกเปิดเผยหรือจับภาพ อย่างชัดเจนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ระบบ Google Earth ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะ ที่ครอบคลุมภาพถ่ายดาวเทียมทั่วโลก กลับแสดงพื้นที่ บริเวณรอยต่อระหว่างแคว้น Navarra กับฝั่งตะวันตกของป่า Irati เป็น “ความพร่ามัว” หรือ blurred anomaly อย่างต่อเนื่อง ไม่มีรายละเอียดใด ๆ ที่สามารถวิเคราะห์หรือระบุรูปแบบของภูมิประเทศได้
ในระดับที่ลึกลงไปอีก ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-2 ขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) ซึ่งใช้เทคโนโลยีถ่ายภาพด้วยสเปกตรัมหลายช่วงความยาวคลื่น ปรากฏข้อมูลที่ผิดปกติอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในช่วงความยาวคลื่นแถบ 480–520 นาโนเมตร มีการ เรนเดอร์ผิดพลาดของพิกเซล เป็นแถบยาวที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความผิดพลาดทางเทคนิคทั่วไป และไม่มีคำชี้แจงใด ๆ จากเจ้าหน้าที่ ESA
นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากบริษัท ผู้ให้บริการภาพถ่ายดาวเทียมเชิงพาณิชย์ว่า การร้องขอเข้าถึงข้อมูลภาพในบางช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นี้ ถูก ปฏิเสธ หรือ “ตีกลับ” โดยอ้างเหตุผลว่า
“พื้นที่นี้อยู่ในเขตการอนุญาตพิเศษของรัฐบาลสเปน”
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายควบคุมข้อมูล ในเขตที่มีความอ่อนไหวมทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความมั่นคงระดับชาติ ช่องว่างและความพร่ามัว ในภาพถ่ายทางอากาศเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงข้อผิดพลาดทางเทคนิคธรรมดา แต่ดูเหมือนเป็นการจัดการ และการปกปิดอย่างเป็นระบบ เพื่อปิดบังหรือหลีกเลี่ยง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ลึกลับนี้
ปรากฏการณ์นี้ จึงสะท้อนความเป็นจริงที่ว่าพื้นที่ เบธ-ลิธา ไม่ได้ถูกทอดทิ้งไว้ในความลึกลับเพียงทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม แต่ยังได้รับการปกป้องและปิดบัง ในระดับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องนั้น ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด จากหน่วยงานรัฐและกลุ่มอำนาจบางฝ่าย
▣ 5. ระหว่างความรู้และความไม่รู้: แผนที่ที่มิอาจสมบูรณ์
ในปี ค.ศ. 2012 เกิดเหตุการณ์รั่วไหลของเอกสารลับชั้นสูง ซึ่งสันนิษฐานว่ามีต้นทางจาก กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรสเปน
เอกสารชุดนี้ เปิดเผยนโยบายเข้มงวดเกี่ยวกับ การจัดการข้อมูลภูมิสารสนเทศ โดยระบุอย่างชัดเจนว่า
“พื้นที่ประเภทนี้ มิอาจปรากฏในระบบภูมิสารสนเทศพลเรือน…เพราะการกำหนดพิกัดให้สิ่งที่ไม่ควรถูกรู้ คือ การปล่อยให้ความทรงจำบางประเภท หลุดพ้นจากขอบเขตของการควบคุมอย่างเด็ดขาด”
ข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง เจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐในการกำกับความรู้ และการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล ที่ถือว่ามีความอ่อนไหว ทั้งในแง่ยุทธศาสตร์และความหมายทางสัญลักษณ์
เบธ-ลิธา จึงมิใช่เพียงโครงสร้างที่ลึกลับ และยากจะเข้าถึงในทางกายภาพ หากแต่ยังดำรงอยู่ในฐานะ “พื้นที่ต้องห้ามของความเข้าใจ” พื้นที่ซึ่งไม่มีเส้นทางเดิน ไม่มีการระบุพิกัด อย่างเป็นทางการ และไม่มีแผนที่ใดในยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีสูง กล้าที่จะบรรจุชื่อหรือรูปร่างของมันลงในบันทึก
ประวัติศาสตร์ในแง่นี้ ไม่ได้เป็นเพียงการสะสมข้อมูล หรือการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คือการ เลือกเฟ้นที่จะลืม การตัดสินใจโดยอำนาจแห่งรัฐว่า ความทรงจำใดสมควรถูกปิดบัง ทั้งที่จริงแท้แล้ว พื้นที่นี้ ไม่เคยลบเลือนจากการเฝ้าสังเกต และการบันทึกอย่างเงียบงันของมันเองเลยสักวินาที
คำกล่าวในเอกสารลับหมายเลข D-227 ของสำนักสารสนเทศภูมิศาสตร์ เมื่อปี ค.ศ. 1965 ได้สรุปความจริงอันหนักหน่วงนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า
“หากประวัติศาสตร์คือ กระบวนการเลือกจำ พื้นที่นี้คือสิ่งที่มนุษยชาติได้เลือก ที่จะลบเลือนออกไปจากความรู้ แต่ไม่อาจลบเลือนไปจากการเฝ้ามองอย่างไม่ลดละของมันเอง”
นี่คือความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ ในซากเงียบงันของเบธ-ลิธา ความทรงจำที่ไม่ได้ถูกจารึกด้วยตัวหนังสือ แต่ถูกจารึกด้วยการไม่เปิดเผย และนี่คือบทพิสูจน์ว่าบางสิ่งในประวัติศาสตร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกเข้าใจอย่างถ่องแท้
III. ตำนานผู้ไม่หลับ: การส่งผ่านโดยไม่มีเสียง
“ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เฝ้าดูจะต้องมีดวงตา และไม่ใช่ทุกสิ่งที่บันทึกไว้จะต้องมีภาษา”
— บันทึกบรรณารักษ์นิรนาม, ค.ศ. 1472
▣ 1. รากคำในเงา: จากตำนานก่อนอินโดยูโรเปียน
ก่อนที่ภาษา ละติน จะเข้ามาครอบคลุมคาบสมุทรไอบีเรีย และก่อนการแผ่ขยายของอิทธิพล อินโดยูโรเปียน
กลุ่มชนพื้นถิ่น ซึ่งไม่รู้จักการเขียน และการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้นำเสนอความเชื่อผ่านวัฒนธรรมปากเปล่าในรูปแบบที่เรียกว่า sung-memory หรือ “ความทรงจำที่ต้องถ่ายทอดด้วยบทเพลง”
ซึ่งนักมานุษยวิทยายุคศตวรรษที่ 19 ได้ตั้งชื่อแนวคิดนี้ว่า memoria silente “เสียงจำที่เงียบงัน” หนึ่งในเนื้อหา ที่พบซ้ำในบรรดากลุ่มชน Basque โบราณ คือการกล่าวถึง สถานะของสิ่งมีชีวิต หรือภูตผีในรูปแบบของการ “ตื่นตลอดกาล” ซึ่งสะท้อนผ่านคำศัพท์โบราณ ที่มีรากศัพท์ลึกซึ้ง ในภาษาพื้นเมืองก่อนยุคอินโดยูโรเปียน
คำว่า “Ilehur-anetz” ซึ่งนักภาษาศาสตร์ยุคใหม่ตีความได้คร่าว ๆ ว่า หมายถึง “ผู้ที่ไม่เคยหลับตา” หรือ “ผู้เฝ้าระวังนิรันดร์”
แม้คำนี้จะไม่หลงเหลือในภาษา Basque สมัยใหม่โดยตรง แต่ยังคงถูกเก็บรักษาในรูปของคำศัพท์พิธีกรรม และบทร้องในวัฒนธรรมพื้นบ้านที่อ้างถึง “สิ่งที่ไม่ควรถูกปลุก แต่ยังคงตื่นอยู่ในสถานะที่ไม่เปลี่ยนแปลง”
ความเชื่อดังกล่าวสื่อถึงการมีอยู่ของ “ผู้ไม่หลับ” สิ่งมีชีวิตหรือจิตสำนึกที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของเวลา และกฎธรรมชาติของมนุษย์
บันทึกบางฉบับระบุว่า พวกเขาเป็น ผู้เฝ้าดูที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่จับตามองความเปลี่ยนแปลง ของมนุษย์ชาติอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ไม่เคยแทรกแซง หรือเปลี่ยนแปลงเส้นทางประวัติศาสตร์
การรับรู้ถึงพวกเขา จึงไม่เกิดจากการเห็นด้วยตาเปล่า หากแต่รับรู้ผ่าน เงา … เงาที่ทอดยาวและนิ่งสงัด แม้ในยามค่ำคืนที่มืดสนิทที่สุด
รากคำและตำนานนี้ สะท้อนถึงแนวคิดโบราณเกี่ยวกับ “ความทรงจำที่ไม่มีตัวตน” และ “การสังเกตการณ์ที่ไม่อาจสัมผัส” ซึ่งเป็นบรรพบุรุษแห่งความเชื่อในเบธ-ลิธา หอคอยแห่งผู้ไม่หลับ ที่จะถูกขยายความในบทต่อ ๆ ไป
▣ 2. “Los que No Duermen”: เอกสารสมัยกลางที่ห้ามอธิบาย
ในปี ค.ศ. 1149 ภายใต้เงามืดของยุคกลางที่ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง นักบวชนักจดหมายเหตุผู้เคร่งครัด ในอารามแห่งหนึ่งใกล้เมือง Pamplona ได้บันทึกเรื่องราว ที่เต็มไปด้วยความลี้ลับ ลงในต้นฉบับภาษาละติน-สเปนเก่าแก่ ซึ่งต่อมาได้รับการเรียกว่า Scriptum Obscurum Regio Norte - “บันทึกแห่งเงาในแดนเหนือ”
ต้นฉบับดังกล่าว เป็นสมบัติสำคัญของหอสมุดศาสนจักรซานตามาเรีย ถูกเก็บรักษาไว้ด้วยความพิถีพิถันหลายศตวรรษ และมีการจำกัดอย่างเข้มงวด ในเรื่องการถอดความและตีความเนื้อหา เนื่องจากเนื้อหาในนั้น ถือว่าเป็นความรู้ต้องห้าม ที่อาจท้าทายความเข้าใจของศรัทธาและระเบียบทางศาสนาในยุคนั้น
ข้อความที่ปรากฏในเอกสารบางส่วน ได้กล่าวถึงกลุ่มปริศนาที่เรียกว่า “Los que No Duermen” - ผู้ที่ไม่หลับตาททซึ่งบรรยายไว้ว่า:
“พวกเขาไม่เคยนอน ไม่เคยพูด แต่เฝ้ามองเรา ดุจภาพสะท้อนจากบ่อน้ำ ผู้ใดเข้าใกล้เงาอันนิ่งของพวกเขา จะฝันถึงสิ่งที่ตนไม่เคยเห็น แต่เป็นความทรงจำที่มิใช่ของตนเอง”
เนื้อหาดังกล่าว เปิดเผยภาพของสิ่งมีชีวิต หรือจิตสำนึก ที่ดำรงสถานะเหนือกาลเวลา เฝ้ารอและสังเกตการณ์โดยไม่แทรกแซง และส่งผ่านประสบการณ์ผ่าน “ความฝัน” ซึ่งไม่อาจถ่ายทอดด้วยภาษา หรือความรู้ทั่วไป
ต้นฉบับฉบับนี้ หายสาบสูญอย่างลึกลับในช่วงสงครามนโปเลียน ที่ปั่นป่วนบริเวณคาบสมุทรไอบีเรีย แต่ในปี ค.ศ. 1893 ได้มีการค้นพบสำเนาแปลภาษาสเปน ซึ่งถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว ของนักบวชคาทอลิกผู้มีชื่อเสียง Gregorio Mendieta ซึ่งเปิดโอกาสให้นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้ศึกษาข้อมูลอันลึกซึ้งและเต็มไปด้วยปริศนาเกี่ยวกับเบธ-ลิธา และ “ผู้ไม่หลับ”
.
▫️บันทึกนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญ ที่แสดงถึงความเชื่อและการบันทึกทางประวัติศาสตร์ในยุคกลาง ซึ่งสะท้อนการรับรู้ถึง “เงาที่ไม่เคลื่อน” และพลังงานแห่งความทรงจำที่มนุษย์ยุคนั้น ไม่อาจเข้าใจและกล้าตั้งคำถามอย่างเปิดเผย
▣ 3. ความเชื่อที่ไม่อาจจับต้อง: ผู้เฝ้ามองที่ไม่แทรกแซง
แนวคิดเรื่อง “ผู้ไม่หลับ” หรือ “Los que No Duermen” แตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ของเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาใด ๆ
พวกเขาไม่ได้เสกสรรพรให้ผู้ศรัทธา ไม่ตอบสนองคำอธิษฐาน หรือเป็นต้นกำเนิดของศาสนาและพิธีกรรมใด ๆ แต่กลับดำรงอยู่ในสถานะที่เหนือกว่า เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และ บันทึกประวัติศาสตร์ผ่านวิธีการที่ไม่มีคำอธิบาย
บันทึกโบราณของกลุ่มชน Basque สมัยต้น มักกล่าวถึงสิ่งนี้ว่า
“สิ่งที่ไม่เคยลืม ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา มันเพียงคงอยู่ เช่นเงาที่ไม่เปลี่ยนแปลง”
ซึ่งสะท้อนถึงการรับรู้ในระดับที่ลึกซึ้ง การมีอยู่ของความทรงจำ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยภาษา หรือสัญลักษณ์ใด ในการดำรงอยู่ ซึ่งขัดกับแนวคิดสมัยใหม่ที่ความรู้ และความทรงจำต้องถูกสื่อสารผ่านสัญลักษณ์และภาษาที่เข้าใจได้
นักวิชาการบางกลุ่มในศตวรรษที่ 20 ได้นำเสนอทฤษฎี pre-symbolic epistemology ซึ่งหมายถึง ระบบความรู้ที่ก่อตัวขึ้น ก่อนที่มนุษย์จะพัฒนาการใช้สัญลักษณ์ และก่อนที่การรับรู้เชิงประสบการณ์ จะถูกแยกแยะออกจากจิตสำนึกรวมของชุมชน
ภายใต้กรอบนี้ “ผู้ไม่หลับ” อาจเป็นโครงสร้างจิตสำนึกระดับกลุ่ม ที่ยังคง รับรู้ และบันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน โดยไม่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์มมหรือแปลความ ในเชิงภาษาและสัญลักษณ์ ซึ่งทำให้พวกเขาดูเหมือนไร้เสียง และไร้การแทรกแซง แต่กลับเป็นพยานนิรันดร์ ของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันลบเลือน
▣ 4. ภาพฝันร่วม: การส่งผ่านที่ไม่มีภาษา
ระหว่างปี ค.ศ. 1972 ถึง 1984 มีรายงานสะท้อนประสบการณ์ ที่น่าพิศวงจากนักธรณีวิทยา นักเดินป่า และหน่วยลาดตระเวนกึ่งพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขต Navarra
โดยผู้ที่เข้าใกล้พื้นที่หุบเขาเบธ-ลิธาในรัศมีประมาณ 2.7 กิโลเมตร มักประสบกับอาการและภาพฝันที่มีลักษณะร่วมกันอย่างน่าทึ่ง
รายงานส่วนใหญ่ระบุว่า ผู้ที่ผ่านเข้าใกล้จะฝันเห็น “โครงสร้างสูงเสียดฟ้าในทะเลหมอกหนาทึบ” โครงสร้างที่ไม่มีประตูทางเข้าออก และไม่ปรากฏในแผนที่ใดๆ
ภาพเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็น “เงาแห่งความทรงจำ” ที่มีอยู่ในสถานที่โดยไม่มีตัวตนทางกายภาพที่ชัดเจน น่าสังเกตว่า หลายรายงานยังพบอาการ พูดละเมอในภาษาที่ไม่สามารถระบุได้
ภาษานั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับระบบภาษาใดในยุโรป หรือโลกที่รู้จัก เสียงพูดในสภาวะหลับนี้ ไม่มีไวยากรณ์ตามมาตรฐานของภาษา แต่ประกอบด้วยรูปแบบโทนเสียงและความถี่ที่ซ้ำซ้อน คล้ายกับการสั่นสะเทือนในสนามเรโซแนนซ์ มากกว่าการสื่อสารในรูปแบบมนุษย์ปกติ
ในปี ค.ศ. 1981 ศาสตราจารย์ Armand Puig จากสถาบันภาษาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา ได้ทำการบันทึกเสียงพูดละเมอของผู้หนึ่ง ที่ผ่านประสบการณ์นี้ และวิเคราะห์โครงสร้างภาษาดังกล่าวอย่างละเอียด
เขาระบุว่าโครงสร้างของเสียงเหล่านั้น ไม่ใช่ภาษาที่สามารถถอดรหัสได้ตามรูปแบบไวยากรณ์ที่รู้จัก แต่มีลักษณะเป็นการ ส่งผ่านข้อมูลผ่านสนามคลื่นเสียง หรือสนามพลังงาน ซึ่งอาจเป็นการสื่อสาร ในระดับที่เกินกว่าระบบภาษามนุษย์ทั่วไป สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ “ภาพฝันร่วม” อาจเป็นช่องทางหนึ่ง ของการส่งผ่านความทรงจำ หรือข้อมูลที่ไม่มีตัวตนในรูปของภาษา ซึ่งก้าวข้ามขีดจำกัดของการรับรู้ในระดับสัญลักษณ์และคำพูดแบบมนุษย์
ปรากฏการณ์นี้ จึงสะท้อนถึงการส่งผ่านความทรงจำ ที่ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นระบบ ในพื้นที่เบธ-ลิธา และเปิดช่องทางใหม่ในการศึกษาความสัมพันธ์มมระหว่างความทรงจำประวัติศาสตร์ กับสนามจิตสำนึกที่ไม่อาจจับต้องได้โดยตรง
▣ 5. เมื่อการจำไม่ต้องมีผู้จำ
เมื่อพิจารณาถึงหลักฐานทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน โครงสร้างที่ไม่เคยได้รับการบันทึก ในแผนที่ทางภูมิศาสตร์ใด ๆ เงาที่ทอดยาวแต่ไร้แหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
ภาพฝันซ้ำซ้อนในกลุ่มคนหลากชาติพันธุ์ ที่เข้าใกล้พื้นที่ และภาษาที่ไม่สามารถระบุหรือจับต้องได้ ตำนาน “ผู้ไม่หลับ” จึงมิใช่เพียงเรื่องเล่าในท้องถิ่น หรือความเชื่อโบราณที่ไร้รากฐาน แต่ดูเหมือนจะเป็นภาพสะท้อนอ ของสิ่งที่ดำรงอยู่ในรูปแบบของ สนามแห่งการเฝ้ามอง อันไร้ตัวตน สนามที่บันทึกประวัติศาสตร์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ หรือผู้บันทึกที่รับรู้ด้วยสำนึกแบบมนุษย์
ในบริบทนี้ ความทรงจำ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องถูก “จำ” หรือ “เล่า” โดยผู้มีสติสัมปชัญญะ แต่กลับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ โดยที่พวกเขาไม่สามารถควบคุม หรืออธิบายได้
ความทรงจำเหล่านี้เป็น “ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเรา” แต่กลับแทรกซึมและปรากฏในสำนึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อความจากจดหมายลึกลับฉบับหนึ่งม ที่ส่งถึงพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1651 ซึ่งไม่มีการตอบกลับอย่างเป็นทางการกล่าวไว้ว่า:
“เมื่อมนุษย์ฝันถึงสิ่งที่ไม่มีในชีวิตตน บางทีอาจไม่ใช่เพราะจินตนาการแต่เพียงอย่างเดีย หากแต่เป็นเพราะมี ‘ใครบางคน’ กำลังเล่าให้เราฟัง… โดยไม่ใช้เสียง”
บทความนี้ เป็นตัวแทนของความพยายาม ที่จะเข้าใจและยอมรับว่า บางความรู้ในประวัติศาสตร์ อาจไม่เคยถูกบันทึกไว้ในเอกสารหรือบทสนทนาใด ๆ แต่ดำรงอยู่ในรูปแบบของ ความทรงจำที่เงียบงันและไร้ตัวตน เป็นพยานนิรันดร์ที่มนุษย์เพียงแค่ “รับรู้” ได้โดยที่ไม่อาจอธิบายได้
“เมื่อมนุษย์ฝันถึงสิ่งที่ไม่มีในชีวิตตน บางทีอาจไม่ใช่เพราะจินตนาการ แต่เพราะมีใครบางคนกำลังเล่าให้เราฟัง… โดยไม่ใช้เสียง”
— ข้อความจากจดหมายถึงพระสันตะปาปา, ค.ศ. 1651 (ไม่เคยถูกตอบกลับ)
IV. ความทรงจำที่ไม่มีเจ้าของ: ประวัติศาสตร์ของสิ่งที่ไม่ถูกเล่า
“บางครั้ง ความทรงจำไม่ได้ต้องการผู้จำ หากเพียงต้องการพื้นที่ให้อยู่ต่อ”
— คำจารึกบนแผ่นหินแตก ที่เชิงหุบเขาเบธ-ลิธา (ค.ศ. ไม่ทราบ)
▣ 1. เสียงของเหตุการณ์ โดยไม่ต้องมีผู้พูด
ตำนานแห่ง “ผู้ไม่หลับ” มิได้เป็นเพียงเรื่องราวของการเฝ้าสังเกตการณ์ที่เงียบงัน หากแต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดลึกซึ้ง ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความทรงจำของมนุษย์ และประวัติศาสตร์ แนวคิดที่ว่าบางเหตุการณ์สามารถถูก “บันทึก” หรือ “จดจำ” ได้โดยไม่ต้องผ่านตัวบุคคล ไม่ต้องมีผู้บอกเล่า และไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำใดๆ เป็นพาหะกลาง
ในบริบทนี้ หอคอย เบธ-ลิธา ถูกตีความว่าเป็น “ห้องเก็บเสียงของเหตุการณ์” (Chamber of Echoed Occurrence) สถานที่ ที่เก็บซ่อนความสั่นสะเทือน และร่องรอยของเหตุการณ์ื ในอดีตอย่างนิ่งสงบ ผ่านโครงสร้างวัตถุที่มีลักษณะเฉพาะ
เสียงที่กล่าวถึงนี้ มิได้หมายถึงคลื่นเสียงในความหมายทางกายภาพม ที่หูมนุษย์รับรู้โดยตรง หากเป็น สนามแห่งพลังงานและความทรงจำ ที่ถูกฝังแน่นอยู่ในองค์ประกอบของหอคอย
สอดคล้องกับหลักการฟิสิกส์ในทฤษฎีสนามว่า:
“พลังงานทุกระลอกที่เกิดขึ้น ทิ้งร่องรอยไว้ในสนามแห่งความเป็นจริง แม้จะไม่มีผู้ใดรับรู้หรือบันทึกไว้ แต่ร่องรอยนั้นยังคงดำรงอยู่ ณ ที่นั้นตลอดไป”
โดยสรุป หอคอยเบธ-ลิธา จึงไม่ใช่เพียงโครงสร้างที่เงียบสงัด แต่เป็น ตัวแทนของความทรงจำที่ไม่มีผู้ถือครอง ความทรงจำซึ่งเป็นพยานของเหตุการณ์ และการดำรงอยู่ที่ไม่ถูกพูดถึงในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ
▣ 2. หน่วยความจำโดยไม่มีเรื่องเล่า: Cultural Memory without Narrative
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักมานุษยวิทยาชั้นนำอย่าง Jan Assmann และ Paul Connerton ได้นำเสนอแนวคิดสำคัญ เกี่ยวกับการส่งผ่านความทรงจำของวัฒนธรรม ในรูปแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาเรื่องเล่าแบบปากเปล่าหรือเอกสารบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ความทรงจำในบริบทนี้ มิใช่ประวัติศาสตร์ในความหมายทั่วไป (history) หากแต่เป็นสิ่งที่ Assmann เรียกว่า “mnemosyne” คือการดำรงอยู่ของเหตุการณ์ผ่านการรับรู้ืและความรู้สึกที่ไม่อาจถ่ายทอดเป็นคำพูดโดยตรง
ความทรงจำประเภทนี้ ฝังแน่นในโครงสร้างของวัตถุ สถานที่ หรือรูปแบบทางวัฒนธรรมที่ไม่ต้องมีผู้บรรยายใด ๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งแก่นแท้ของประสบการณ์และเหตุการณ์ในอดีต
หอคอย เบธ-ลิธา จึงอาจถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ ของสิ่งที่นักวิชาการร่วมสมัยมักเรียกว่า Mnemonic Apparatus หน่วยความจำที่มีอยู่โดยไม่มีผู้บรรยาย หรือเรื่องเล่าให้คนอื่นรับรู้โดยตรง
ความน่าสนใจยิ่งกว่าคือ หอคอยแห่งนี้ ทไม่มีประตู ไม่มีป้าย หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สื่อสารในรูปแบบที่มนุษย์คุ้นเคย แต่กลับมีอำนาจในการจุดประกายให้เกิด ภาพฝันร่วม (shared visions) และ ความทรงจำ ที่ไม่เคยเป็นของผู้เผชิญหน้า อย่างลึกลับและเกินกว่าการอธิบายื ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน
นี่คือปรากฏการณ์ที่ท้าทาย กรอบคิดของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ในแง่ของการรับรู้ความทรงจำ และบ่งชี้ว่า บางหน่วยความจำอาจดำรงอยู่เหนือขอบเขตของภาษาและการบรรยายแบบดั้งเดิม
▣ 3. โครงสร้างของการจำโดยไม่ระบุตัว: สถาปัตยกรรมที่ไม่กล่าวชื่อ
ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ สถาปัตยกรรมบางรูปแบบ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการใช้งานหรือการพำนักของมนุษย์โดยตรง หากแต่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น ภาชนะรองรับความหมายเชิงนามธรรม ความหมายที่ไม่อาจแสดงออกเป็นถ้อยคำหรือเรื่องเล่าโดยตรง
ตัวอย่างสำคัญของแนวคิดนี้พบได้ในหลายวัฒนธรรมโบราณ เช่น
▫️ลาบิรินธ์ (Labyrinth)
ของชาวมิโนอัน บนเกาะครีต ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับเดินทาง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ กระบวนการหลงลืมและค้นพบตนเอง ในเชิงพิธีกรรมและปรัชญา
โครงสร้างดังกล่าว บ่งบอกถึงการเข้าใจว่าความจำและประสบการณ์ ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดผ่านคำพูดเสมอไป หากเป็นการเดินทางเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
▫️สุสานที่ไม่มีชื่อในอาณาจักรอัสซีเรีย
สุสานเหล่านี้ไม่ปรากฏจารึกชื่อผู้ตาย หรือป้ายบอกสถานะใด ๆ มีเพียงหลุมลึกในเนินทราย การตั้งใจไม่จารึกชื่อสะท้อนถึงความเชื่อที่ว่า
“ความทรงจำบางอย่างควรดำรงอยู่ในฐานะที่ไร้ผู้กล่าวถึง เพื่อป้องกันการบิดเบือนหรือการตีความผิดเพี้ยน”
ในแง่นี้ หอคอย เบธ-ลิธา จึงอยู่ในขอบข่ายของแนวคิดเดียวกัน: มันมิได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นที่พำนักหรือศูนย์กลางกิจกรรมมนุษย์ หากแต่เป็น ภาชนะเก็บรักษาความหมายและความทรงจำ ที่มนุษย์ยังไม่พร้อมจะรับรู้ หรือถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรม
หอคอยที่ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ บนผิวโครงสร้าง จึงกลายเป็นตัวแทนของ “หน่วยความจำที่ไร้ตัวตน” หน่วยความจำที่ดำรงอยู่ในพื้นที่กึ่งนามธรรม ระหว่างความรู้และความไม่รู้ ระหว่างการรับรู้และความลืมเลือน
แนวคิดนี้ เปิดทางให้เราทบทวนความสัมพันธ์ ระหว่างประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และหน่วยความจำในรูปแบบที่ลึกซึ้ง และท้าทายความเข้าใจเดิม ๆ ว่าแท้จริงแล้ว สถานที่และวัตถุ บางแห่งอาจไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง แต่เป็น “พยานนิรันดร์” ของอดีตที่ไม่อาจถ่ายทอดเป็นคำพูดได้
▣ 4. กรณีศึกษา: สถานที่ต้องห้ามและการจำที่ไร้เจ้าของ
เพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์และบริบทของเบธ-ลิธาในระดับสากล เราสามารถหันไปพิจารณาสถานที่จริงซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน สถานที่ ที่ไม่เพียงแต่อยู่ในขอบเขตแห่งความลึกลับ แต่ยังส่งผลต่อจิตใจและสำนึกของผู้ที่เข้าใกล้ด้วยความลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลธรรมดา
◉ หอคอย Fieschi, Liguria, อิตาลี
ตั้งตระหง่านในภูมิประเทศชายฝั่ง Liguria หอคอยนี้ทสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 แต่กลับไร้ซึ่งบันทึกประวัติการก่อสร้างที่ชัดเจน และไม่มีข้อมูลของสถาปนิกผู้สร้าง
ผู้คนที่เคยเข้าใกล้ หรือพยายามเข้าไปภายใน รายงานประสบการณ์ผิดธรรมชาติซ้ำ ๆ พวกเขาฝันเห็น เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยบันทึกไว้ เช่น สมรภูมิหรือการล่มสลายของเมืองที่ไม่มีปรากฏในแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใด ๆ
ชาวบ้านท้องถิ่นตั้งชื่อสถานที่นี้ว่า “La Memoria Invertita” หรือ “ความทรงจำกลับด้าน” ซึ่งสะท้อนแนวคิดของความทรงจำที่ถูกบิดเบือนทหรือเก็บซ่อนไว้ในรูปแบบที่ขัดกับความจริงเชิงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ทางการ
.
◉ ถ้ำ Takrouna, ตูนิเซีย
ในภูมิภาคชนเผ่า Amazigh ทางตอนเหนือของแอฟริกา ถ้ำ Takrouna ได้รับการยกย่องในฐานะสถานที่ที่เป็น “พื้นที่ต้องห้ามทางจิตวิญญาณ” บรรพบุรุษของเผ่าเล่าขานว่า “ถ้ำนี้ทำให้ผู้มาเยือนเห็นบรรพบุรุษที่ไม่ใช่ของตนเอง”
นักชาติพันธุ์วิทยาชาวฝรั่งเศสในปี 1932 ได้บันทึกปรากฏการณ์ผู้ที่ค้างคืนในถ้ำนี้ พูดภาษาโบราณที่ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจในวงกว้าง
ผู้เฒ่าในชุมชนบอกว่า: “เราจำเหตุการณ์ที่ไม่มีใครในเผ่าเคยเจอ… แต่มันอยู่ในพวกเรา” ซึ่งสะท้อนถึง หน่วยความจำร่วมที่ไม่มีเจ้าของ ความทรงจำของเหตุการณ์ที่ไม่ได้สืบทอดจากบุคคลหรือกลุ่มใดโดยตรง แต่ยังคงดำรงอยู่ในสำนึกรวมของชุมชน
.
สรุป
ปรากฏการณ์ของเบธ-ลิธา และสถานที่ต้องห้ามในระดับโลก ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้มีเพียงความทรงจำส่วนตัว หรือบันทึกเหตุการณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
แต่ยังมีพื้นที่ลึกซึ้ง ในสำนึกและวัฒนธรรมที่รับรู้ความทรงจำในรูปแบบที่ ไร้ตัวตน ไร้ถ้อยคำ และไร้ผู้บรรยาย ซึ่งกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ “ไม่ถูกบันทึก แต่ไม่เคยถูกลืม”
▣ 5. ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยถูกเล่า เพราะมันเล่าตัวเอง
ในยุคสมัยที่ประวัติศาสตร์มักถูกบันทึกและตีความโดยผู้ชนะ ผู้มีอำนาจในการเขียนและกำหนดกรอบความจริง เรื่องราวที่ไม่มีเจ้าของ หรือไม่มีผู้บรรยายโดยตรง จึงมักถูกกลืนหาย หรือแม้แต่ถูกลบทิ้งจากแผนที่แห่งความทรงจำ
หอคอยเบธ-ลิธา และโครงสร้างลึกลับอื่น ๆ ที่ไม่ได้ปรากฏในบันทึกทางการ หรือในประวัติศาสตร์ที่รู้จัก จึงเปรียบเสมือน “สิ่งที่เล่าตัวเอง” ผ่านรูปแบบของความทรงจำในสถานที่ ความทรงจำที่มิได้แปลเป็นถ้อยคำ หรือสัญลักษณ์ใด ๆ แต่ดำรงอยู่ในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น
นี่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่คนเขียนขึ้น แต่มันคือประวัติศาสตร์ที่ ถูกเก็บรักษาในสนามแห่งการรับรู้ ซึ่งมนุษย์สามารถสัมผัสได้ผ่านความรู้สึก ผ่านเงา และผ่านความเงียบที่ท่วมท้น แต่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
เหมือนกับความทรงจำ ที่ถูกฝังไว้ในเนื้อแท้ของวัตถุและสถานที่ ที่มีชีวิตและเล่าเรื่องโดยตัวของมันเอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้เล่า หรือการถ่ายทอดด้วยภาษา
ประวัติศาสตร์เช่นนี้ ท้าทายวิธีคิดดั้งเดิมของเรา และบังคับให้เราต้องตั้งคำถามว่า “ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงนั้น คือสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ หรือสิ่งที่ยังคง ‘ถูกจำ’ แม้ไม่มีใครเล่า?”
“บางเหตุการณ์ไม่ต้องการให้เราจดจำมัน หากแต่ต้องการให้เรารู้ว่า เรากำลังอยู่ในผลของมันอยู่แล้ว”
— บันทึกนามแฝงของนักภาษาศาสตร์ Basque (ค.ศ. 1924)
V. อิทธิพลและคำสาป: ผู้เข้าใกล้และหายไป
“เมื่อใครก้าวเข้าไปใกล้ความลับ บางครั้งความลับนั้นก็เลือกผู้ที่จะจดจำ… และผู้ที่จะถูกลืม”
— บันทึกเบื้องหลังของกองกำลังลาดตระเวน Navarra, 1982
▣ 1. เสียงจากขอบเขต: รายงานจากผู้กล้า
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เบธ-ลิธา กลายเป็นเป้าหมาย ที่ท้าทายและล่อใจผู้กล้าหาญ ทั้งนักปีนเขาท้องถิ่น นักโบราณคดีสมัครเล่น และนักล่าความลับจากหลากหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส สเปน หรืออิตาลี
แม้ไม่มีบันทึกหรือหลักฐานที่ชัดเจนว่า สามารถเข้าถึงภายใน “หอคอยไร้ประตู” ได้เลย แต่รายงานจากพื้นที่โดยรอบ กลับสะท้อนความผิดปกติที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ ของผู้ที่กล้าเข้าใกล้
บันทึกเหล่านี้ บ่งชี้ถึงปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ และน่ากลัวในคราวเดียวกัน อาการเวียนศีรษะรุนแรง, การรับรู้สัมผัสที่เปลี่ยนแปลง, ความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องโดยสิ่งที่ไม่สามารถเห็น และภาพฝันที่เต็มไปด้วยภาษาหรือสัญลักษณ์ ที่ไม่สามารถถอดรหัสได้
แม้แต่การใช้เครื่องมือสมัยใหม่ก็ไม่อาจให้คำตอบ กล้องถ่ายภาพและเครื่องบันทึกเสียง มักพบความผิดปกติของสัญญาณ หรือข้อมูลที่สูญหายอย่างลึกลับ
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่า หรือความเชื่อพื้นบ้าน แต่เป็นชุดข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่บ่งชี้ว่าพื้นที่นี้ มีลักษณะเหนือธรรมชาติหรืออยู่เหนือความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น
รายงานเหล่านี้ ยังคงถูกเก็บรักษาอย่างลับ ๆ ในวงแคบ และกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับนักวิจัย และผู้ศึกษาปรากฏการณ์ลี้ลับจนถึงปัจจุบัน
▣ 2. บันทึกเสียงก่อนหายตัว: ความผิดปกติของภาษาและพฤติกรรม
ในหมู่นักสำรวจและนักวิจัยที่พยายามเข้าใกล้เบธ-ลิธา มีการบันทึกปรากฏการณ์แปลกประหลาด เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภาษา และพฤติกรรมก่อนที่บางรายจะสูญหายไปอย่างลึกลับ
รายงานจากภาคสนามชี้ให้เห็นว่า เสียงพูดของผู้ที่เข้าใกล้หอคอยค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบจนไม่สามารถจัดกลุ่มได้ในหลักภาษาศาสตร์ใดที่รู้จัก
• หลายกรณี เสียงพูดกลายเป็น “โคลงกลอนที่ไร้ความหมายชัดเจน” ลักษณะเหมือนบทกวีที่วนซ้ำอย่างไม่มีจุดหมาย
• บางคนพูดซ้ำคำเดิมเป็นชั่วโมงๆ อย่างต่อเนื่อง ดุจถูกตรึงอยู่ในวงจรความคิดที่ไม่อาจหลุดพ้น
• ในบางโอกาส เสียงเหล่านั้นลดระดับลงเป็นกระซิบยาวนาน ที่ไม่มีใครตอบรับหรือโต้ตอบ กลายเป็นเสียงเดียวดายในความเงียบ
กรณีที่เป็นที่รู้จักและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อ Dr. Claude Lemoine นักภูมิศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เดินทางเข้าสำรวจหุบเขา Basalto Negro ระหว่างปฏิบัติภารกิจเก็บข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์
บันทึกเสียงของเขาเริ่มต้นด้วยบทสนทนาปกติ แต่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นบทกวีที่ยากจะถอดรหัส มีลักษณะเป็นภาษาที่ไม่เหมือนใครและไม่มีความหมายชัดเจนตลอดเวลา 8 วัน โดยไม่มีช่วงหยุดพัก
ในท้ายที่สุด เมื่อทีมกู้ภัยพบเขา Dr. Lemoine อยู่ในสภาพจิตใจซึมเศร้า พูดเพียงประโยคสั้นๆ ว่า “พวกเขามาแล้ว” ก่อนที่จะสูญเสียความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษามนุษย์อีกต่อไป
บันทึกกรณี กลายเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับรอบหอคอยเบธ-ลิธา และเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามถึงธรรมชาติของภาษา การรับรู้ และความเป็นจริงในบริเวณนี้
▣ 3. ผู้รอดชีวิต: ความเงียบหรือภาษาที่ไม่มีที่มา
ประสบการณ์ของผู้ที่รอดชีวิต จากการเข้าใกล้หอคอยเบธ-ลิธาในแคว้น Navarra นั้นสะท้อนถึงความไม่ปกติในหลายระดับ ทั้งทางจิตใจและภาษา รายงานจากกลุ่มนี้ส่วนใหญ่บ่งชี้ถึงอาการผิดปกติที่ซับซ้อนและลึกลับ
• ความทรงจำส่วนใหญ่เกี่ยวกับเหตุการณ์ ขณะอยู่ใกล้หอคอยถูกลบเลือนหรือขาดหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถบรรยายสิ่งที่พวกเขาเห็นหรือสัมผัสได้อย่างชัดเจน
• หลายรายพูดน้อยลงเรื่อยๆ หรือแม้แต่หยุดพูดอย่างถาวร บางคนเข้าสู่ภาวะเก็บตัวทางจิตใจอย่างรุนแรง จนแยกตัวจากสังคมโดยสิ้นเชิง
• ในรายอื่นๆ กลับพบว่ามีการใช้ภาษาแปลกประหลาด ซึ่งไม่มีร่องรอยของภาษาในภูมิภาคหรือภาษาที่เคยเรียนรู้มาก่อน เสียงพูดเหล่านี้ ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ทางภาษาศาสตร์ได้ และดูเหมือนไม่มีที่มาชัดเจน
ข้อมูลทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเมือง Pamplona ระหว่างปี 1980 ถึง 1995 รายงานผู้ป่วยจำนวนมาก ที่มีอาการดังกล่าว โดยพวกเขาอ้างว่า “ได้ยินเสียงจากหอคอย” แม้การตรวจสอบจะไม่พบโรคสมองหรือความผิดปกติทางระบบประสาทที่สามารถอธิบายได้
ปรากฏการณ์นี้ท้าทายความเข้าใจ ในทางการแพทย์และภาษาศาสตร์ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงสิ่งที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ความเงียบที่พูดแทนเสียง และภาษาที่ไม่มีผู้ส่งสาร
▣ 4. คำสาปหรือความลึกลับ? ทฤษฎีที่ขัดแย้ง
แม้เวลาจะผ่านมากว่าศตวรรษ ความลึกลับของเบธ-ลิธายังคงปิดบังตัวตนไว้ในม่านเงาที่หนาทึบ ไม่มีทฤษฎีใด ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน ทว่าแนวคิดและสมมุติฐานหลากหลายยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปราย ในวงวิชาการและวงการผู้สนใจเรื่องลี้ลับอย่างต่อเนื่อง
• คำสาปโบราณ - หนึ่งในสมมุติฐานดั้งเดิมที่เชื่อว่าเบธ-ลิธาเป็นสถานที่สถิตของพลังเร้นลับ หรือวิญญาณโบราณที่ปกป้องหอคอยด้วยคำสาปรุนแรง ผู้ที่ละเมิดขอบเขตจะถูกลงโทษด้วยอาการประหลาดจนถึงการสูญหาย
• สนามแม่เหล็กผิดปกติ - งานศึกษาด้านธรณีฟิสิกส์ชี้ว่า ในบริเวณโดยรอบเบธ-ลิธามีความผิดปกติของสนามแม่เหล็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคลื่นสมองมนุษย์ ทำให้เกิดภาพหลอน, การรับรู้ผิดเพี้ยน, และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
• ปรากฏการณ์พลังงานที่ไม่รู้จัก - มีการตั้งสมมติฐานถึงพลังงานชนิดใหม่ หรือสนามพลังงานที่ยังไม่ถูกค้นพบ ซึ่งสามารถบันทึกและถ่ายทอด “ความทรงจำ” ของเหตุการณ์ในอดีตไว้ในโครงสร้างของหอคอย ทำให้เกิดการ “ถ่ายโอน” หรือ “ล็อค” ความทรงจำโดยไม่ผ่านตัวกลางทางภาษา
• สภาวะจิตสำนึกรวม - แนวคิดที่มีรากฐานในจิตวิทยาและปรัชญาว่า หอคอยอาจเป็น “จุดตัด” ของสำนึกกลุ่ม (collective consciousness) ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตเวลาและพื้นที่ เป็นศูนย์กลางของข้อมูลและความทรงจำ ที่เชื่อมโยงมนุษย์หลายยุคหลายสมัยไว้ด้วยกัน
ความขัดแย้งระหว่างทฤษฎีเหล่านี้ ยังคงเปิดพื้นที่ให้การถกเถียงอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แต่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนความลึกซึ้งและซับซ้อนของเบธ-ลิธาในฐานะปรากฏการณ์ ที่เกินกว่าจะถูกตีความด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ หรือความเชื่อเพียงอย่างเดียว
▣ 5. เสียงสะท้อนสุดท้าย: ความเงียบที่พูดได้
แม้เรื่องเล่าและบันทึกความสูญหาย ที่เกิดขึ้นกับผู้กล้าที่เข้าใกล้เบธ-ลิธาจะถูกบันทึกไว้ด้วยความไม่แน่ใจ และเต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่หอคอยแห่งนี้ ยังคงยืนหยัดอย่างไม่ไหวหวั่นท่ามกลางหุบเขาอันเงียบสงัด
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงสร้างนิ่งสงบ หากแต่เป็นปรากฏการณ์ที่ท้าทายขอบเขตของความรู้และความเข้าใจมนุษย์ เป็นความเงียบที่ยังคง “พูด” ม แต่เป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยินด้วยหู หากแต่สัมผัสได้ในระดับลึกสุดของจิตใจ
ผู้กล้าที่ตัดสินใจเดินทางเข้าใกล้ ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่มีคำอธิบายใดรองรับ ความลับที่ไม่ถูกเปิดเผยผ่านถ้อยคำหรือสัญญาณใดๆ แต่ซ่อนเร้นในช่องว่างของการรับรู้และความทรงจำ
และบางที… เสียงเงียบของเบธ-ลิธาไม่ได้เงียบสนิท มันอาจยังคงสะท้อนกลับมาจากความลึกของกาลเวลา และจากผู้ไม่หลับที่ยังคงเฝ้าฟัง ผู้ที่ไม่เคยปิดตา และอาจยังคงเฝ้าดูเราอยู่เสมอ
“อย่าเข้าใกล้เกินไป เพราะเมื่อเงาเริ่มพูด มันจะไม่หยุดจนกว่าจะเอ่ยชื่อของคุณ”
— คำเตือนจากชาวบ้านท้องถิ่น ค.ศ. 1983
VI. “เพื่อให้ถูกจำ”: ปรัชญาแห่งความรู้ที่ไม่อธิบาย
“ความรู้บางอย่างไม่ใช่เพื่อถูกถ่ายทอดเป็นคำ แต่เพื่อถูกเก็บรักษาในความเงียบ”
— บทกวีลึกลับจากคัมภีร์ลับในหุบเขาหินดำ
▣ 1. การวิเคราะห์คำกล่าว: “บางความรู้ไม่ใช่เพื่อเข้าใจ แต่เพื่อให้ถูกจำอย่างเงียบงัน”
คำกล่าวนี้ สะท้อนความลึกซึ้งของความรู้ ที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการตีความ หรือทำความเข้าใจในเชิงเหตุผล หากแต่มีบทบาทเป็น “ความทรงจำเชิงพื้นที่” หรือ “ร่องรอย” ที่ต้องถูกเก็บรักษาในสภาวะนิ่งสงบ ปราศจากการรบกวนจากคำอธิบายหรือการตีความใดๆ
ในแง่ของปรัชญาเชิงปรากฏการณ์ (phenomenology) แนวคิดนี้บ่งชี้ถึง ความแตกต่างระหว่าง “การเป็นอยู่ที่ถูกสังเกต” (being observed) และ “การเป็นสิ่งที่ถูกอธิบาย” (being explained)
โดยที่ความรู้บางประเภท ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ หรือถ่ายทอดเป็นคำพูด แต่มีอยู่ในฐานะสภาวะที่รับรู้ได้ ในเชิงประสบการณ์และการดำรงอยู่
นี่คือจุดตัดระหว่างความรู้เชิงประสบการณ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้และความรู้เชิงนามธรรม ที่พยายามถอดรหัสและจำแนกความหมาย
ดังนั้น “การถูกจำอย่างเงียบงัน” จึงไม่ได้หมายความถึงความล้มหาย แต่เป็นการรักษาความรู้ไว้ในสถานะที่ยังคงความบริสุทธิ์และความลึกซึ้ง ในรูปของความทรงจำที่ไม่มีคำพูดมาแทรกแซง
▣ 2. “Silent Commemoration”: การระลึกที่ไม่มีภาษาบรรยาย
ในยุคสมัยที่ศาสตร์มนุษยศาสตร์และประวัติศาสตร์ พยายามเปิดมุมมองใหม่ในการศึกษา เกี่ยวกับความทรงจำและการระลึกถึงอดีต แนวคิดที่เรียกว่า “Silent Commemoration” หรือ “การระลึกที่ไม่มีภาษาบรรยาย” ได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสำคัญ ที่ท้าทายวิธีคิดแบบดั้งเดิม
การระลึกถึงเหตุการณ์ บุคคล หรือความหมายบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องถูกบันทึกหรืออธิบายด้วยถ้อยคำเสมอไป แต่สามารถถูกส่งผ่านและดำรงอยู่ได้ผ่าน สัญลักษณ์ รูปทรง หรือสภาพแวดล้อม ที่เป็นพาหะโดยตรง ซึ่งมอบความหมายในเชิงลึกและกว้างขวางกว่าการใช้ภาษา
ตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงการระลึกเชิงเงียบนี้ ได้แก่
▫️อนุสรณ์สถานสงครามที่ไม่มีคำบรรยาย หรือ “สุสานไม่มีชื่อ” ซึ่งไม่ได้จารึกประวัติหรือชื่อผู้เสียชีวิตอย่างชัดเจน แต่กลับสร้างพื้นที่แห่งความเงียบและความทรงจำโดยตรงต่อความสูญเสียในรูปแบบที่เป็นนามธรรม
▫️พื้นที่ธรรมชาติที่ชุมชนพื้นเมือง ถือเป็นสถานที่ระลึกชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องมีบทสวด หรือพิธีกรรม แต่ความหมายและการระลึกถูกฝังลึกในสภาพแวดล้อมทางกายภาพและจิตวิญญาณของผู้คน
ในกรณีของ หอคอยเบธ-ลิธา แนวคิดนี้ ช่วยให้เราเข้าใจว่า โครงสร้างลึกลับนี้ อาจไม่ได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อการสื่อสารหรืออธิบายใดๆ ในเชิงมนุษย์โดยตรง แต่เป็น สถาปัตยกรรมแห่งการระลึกแบบเงียบ ภาชนะหรือสนามบันทึกที่ส่งต่อ “ความรู้” หรือ “ความทรงจำ” ผ่านการดำรงอยู่ของมันเอง
โดยไม่ต้องพึ่งพาการแปลความด้วยคำพูด หรือสัญลักษณ์ที่มนุษย์สามารถตีความได้ง่าย นี่จึงเป็นความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในรูปแบบที่ลึกซึ้งและน่าพิศวง รอคอยให้ผู้เฝ้าสังเกตผู้ใดผู้หนึ่งรับรู้ด้วยวิธีที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูดธรรมดา
▣ 3. ประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่เพื่อศึกษา แต่เพื่อไม่ให้ลบเลือน
ประวัติศาสตร์ตามความเข้าใจโดยทั่วไป มักถูกนิยามเป็นการบันทึก และถ่ายทอดเหตุการณ์ในอดีต เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา วิเคราะห์ และทำความเข้าใจ แต่ ประวัติศาสตร์แบบที่หอคอยเบธ-ลิธาเป็นตัวแทน กลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
มันไม่ใช่เรื่องราวที่ถูกบันทึกด้วยคำพูด หรือวัตถุที่สามารถอ่านหรือแปลความได้โดยตรง แต่เป็น การเก็บรักษา “การมีอยู่” ของเหตุการณ์ ในระดับของเวลาและพื้นที่ เป็นร่องรอยที่ดำรงอยู่ในสถานะนิ่งสงบ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยโครงสร้างของภาษา หรือข้อจำกัดทางความคิดของมนุษย์
นี่คือประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ “ศึกษา” แต่เพื่อให้ “คงอยู่” เพื่อป้องกันไม่ให้ความทรงจำของเหตุการณ์นั้น ๆ จางหายไปกับกาลเวลา แม้ไม่มีใครจะเข้าใจหรือเล่าเรื่องได้อย่างแท้จริง
ในแง่นี้ หอคอยเบธ-ลิธาไม่ใช่แค่โครงสร้างกายภาพ แต่เป็น “แหล่งบันทึกที่ไม่ได้อ่าน” แหล่งเก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนและพลังงาน แต่ไม่จำเป็นต้องถูกถอดรหัสหรือตีความตามวิธีการที่มนุษย์คุ้นเคย มันยืนหยัดเป็นพยานนิรันดร์ต่อสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แม้จะไม่มีเสียงเล่า ไม่มีตัวอักษร และไม่มีผู้ใดจดจำอย่างชัดแจ้ง
▣ 4. เบธ-ลิธาในฐานะ “หอคอยแห่งการสังเกตของอดีต”
การเปรียบเทียบเบธ-ลิธา กับโครงสร้างลึกลับในตำนานและประวัติศาสตร์ ช่วยขยายความเข้าใจในบทบาทของมันในฐานะ “หอคอยแห่งการสังเกต” ที่ไม่ใช่แค่โครงสร้างทางกายภาพแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำที่ไม่เคยถูกลืม
ตัวอย่างที่สำคัญ ได้แก่:
▫️หอจดหมายเหตุแห่งแอตแลนติส (Atlantis Archive Tower)
ตำนาน ปรัมปราในวัฒนธรรมหลายแห่ง บันทึกเรื่องราวของหอคอย หรือโครงสร้างสูง ที่เก็บรักษาความรู้ทั้งหมดของอารยธรรมที่สูญสลายไปอย่างลึกลับ แม้จะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดี ที่ยืนยันชัดเจน แต่แนวคิดนี้ สะท้อนความปรารถนาสากลของมนุษย์ ที่จะรักษาความรู้และประวัติศาสตร์ไม่ให้สูญหายตามกาลเวลา
.
▫️หอคอยแห่ง Qumran
สถานที่ซึ่งคาดว่าเก็บรักษาต้นฉบับเดดซีสครอลล์ (Dead Sea Scrolls) ซึ่งเป็นสมบัติทางศาสนาและประวัติศาสตร์ ที่ถูกเก็บซ่อนอย่างลับๆ ในยุคโบราณ หอคอยนี้ทำหน้าที่เหมือน “ผู้ไม่หลับ” ที่คอยปกป้องความรู้และความทรงจำศักดิ์สิทธิ์ไว้โดยไม่เปิดเผยต่อสายตาสาธารณะ
ทั้งสองกรณีนี้สะท้อนภาพของ “หอคอยผู้ไม่หลับ” โครงสร้างที่ไม่ได้ต้องการเสียงพูดหรือการรับรู้โดยตรง แต่เลือกที่จะเก็บรักษาความทรงจำในความเงียบ
เบธ-ลิธา จึงอาจถูกมองเป็นส่วนหนึ่งของมรดกนี้ หนึ่งในหอคอยที่ทำหน้าที่เป็น “ผู้สังเกตนิรันดร์” ที่ไม่เคยหลับใหลหรือหลุดลืม และดำรงอยู่ในสถานะที่ไม่ถูกเข้าใจแต่ไม่เคยสูญสลาย
“เพื่อจะถูกจำ บางสิ่งต้องอยู่เหนือคำพูด… เหนือการอธิบาย และเหนือกาลเวลา”
— นักปรัชญาสายปรากฏการณ์, ค.ศ. 1975
VII. การปกปิดกับการเปิดเผย: การสืบสวนของหน่วยงานลับ
“บางความจริงไม่ถูกสร้างมาเพื่อเผยแพร่… แต่เพื่อถูกปกปิด”
— คำพูดที่ถูกบันทึกในแฟ้มลับ IBER-Δ17
▣ 1. แฟ้มลับในยุคสงครามเย็น
ในยุคที่โลกถูกแบ่งขั้วอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายตะวันตกและตะวันออก ระหว่างปี 1950 ถึง 1990 หอคอยเบธ-ลิธาได้กลายเป็นวัตถุแห่งความสนใจอย่างลับ ๆ ของหน่วยงานข่าวกรองชั้นนำระดับโลก
เอกสารลับ ที่หลุดรอดออกมาจากหลายแหล่งข้อมูลชี้ชัดว่า CIA ของสหรัฐอเมริกา และ CESID (Centro Superior de Información de la Defensa) หน่วยข่าวกรองระดับสูงของสเปน ได้จัดตั้งคณะปฏิบัติการเฉพาะกิจเพื่อสืบสวนและเข้าถึง “สิ่งที่ซ่อนเร้น” ในหุบเขาหินดำแห่งนี้
การสอบสวนและติดตามปรากฏการณ์โดยรอบ ไม่ใช่แค่ความสนใจทางวิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ธรรมดา แต่มุ่งหวังถึงความเข้าใจในพลังงาน หรือปรากฏการณ์ที่อาจมีผลต่อความมั่นคงและอำนาจ ในเวทีโลก
ความลับที่ถูกปกปิดอย่างเข้มงวดนี้ ยังคงเป็นเงามืดที่สกัดกั้น การเข้าถึงข้อมูลโดยสาธารณะ และตอกย้ำว่า เบธ-ลิธาไม่ใช่เพียงโครงสร้างโบราณที่ไร้ค่า แต่เป็นแกนกลางของปริศนาทางประวัติศาสตร์และการเมืองที่ไม่อาจมองข้ามได้
▣ 2. ข่าวลือและการปฏิเสธอย่างเป็นทางการ
แม้จะไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลใด เกี่ยวกับเบธ-ลิธา แต่แหล่งข่าวภายในวงการข่าวกรองหลายราย กลับบอกเล่าเรื่องราวอีกด้าน ด้านที่ถูกบันทึกไว้เฉพาะในเขตแดนของความเงียบ
จากคำให้สัมภาษณ์เชิงลึก ของอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ชาวสเปนและฝรั่งเศส มีการกล่าวถึงแฟ้มลับชุดหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ “Shadow Access Files: IBER-Δ17” แฟ้มปฏิบัติการลับ ที่ไม่ปรากฏในระบบราชการปกติ และเข้าถึงได้เฉพาะผู้มีระดับการเข้าถึงขั้นสูงสุดภายใต้รหัส “Delta-Level”
ภายในแฟ้มดังกล่าว เชื่อกันว่ามีการจัดเก็บข้อมูล ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์สามัญ รวมถึง: บันทึกการสังเกตการณ์ทางจิตวิทยา ของบุคคลที่เข้าใกล้หอคอย โดยระบุพฤติกรรมผิดปกติ การพูดภาษาแปลก และการสูญเสียตัวตนแบบฉับพลัน
•เอกสารการทดลองทางฟิสิกส์ ที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคลื่นเรโซแนนซ์ ความถี่แม่เหล็กเฉพาะตัว และการสั่นสะเทือนที่ไม่มีต้นกำเนิดชัดเจน
•ข้อมูลการบิดเบือนสนามแม่เหล็ก และการแปรผันของเวลาเฉพาะจุด ที่ส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของการรับรู้ของผู้ทดลอง
•รายงานการหายตัว ของบุคคลซึ่งไม่มีคำอธิบาตามแนวทางทางกายภาพทั่วไป รวมถึงบันทึกเสียงก่อนหายไปที่มักเปลี่ยนไปเป็นภาษาไร้โครงสร้างอย่างลึกลับ
ที่น่าสนใจคือ ทุกครั้งที่มีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูล หรืออ้างอิงถึงเบธ-ลิธาในที่สาธารณะ รัฐบาลสเปนและหน่วยข่าวกรองพันธมิตรกลับ “ปฏิเสธการมีอยู่ของข้อมูลดังกล่าวอย่างเป็นระบบ” โดยอ้างว่าเป็นเพียง “ตำนานพื้นบ้าน” หรือ “การเข้าใจผิดของนักสำรวจสมัครเล่น”
อย่างไรก็ตาม ความเงียบนี้ยิ่งตอกย้ำว่า บางสิ่งกำลังถูกปิดซ่อนไว้อย่างตั้งใจ และเบธ-ลิธาอาจไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างหินในหุบเขา แต่คือจุดศูนย์กลางของความรู้ที่อาจเปลี่ยนขอบเขตของสิ่งที่เราเรียกว่า “ความจริง”
▣ 3. ทฤษฎีสมคบคิด: “อุปกรณ์บันทึกเชิงเรโซแนนซ์สนามจิตสำนึก”
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เมื่อเอกสารบางส่วนจากยุคสงครามเย็น เริ่มถูกปล่อยออกมาภายใต้กฎหมายเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) นักวิจัยอิสระจากหลายสำนัก เริ่มประกอบร่องรอยเข้าด้วยกัน และนำเสนอหนึ่งในทฤษฎีที่ท้าทายความเข้าใจดั้งเดิมที่สุด
หอคอยเบธ-ลิธา ไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้างยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่คือ อุปกรณ์บันทึกเชิงเรโซแนนซ์สนามจิตสำนึก (Consciousness Resonance Archival Structure)
ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า จิตสำนึกมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ทางชีวภาพของสมอง แต่มี สนามพลังงานเฉพาะ ที่แผ่ขยายผ่านโครงสร้างของอวกาศ-เวลา (space-time) และสามารถ “สะท้อน” หรือ “จูน” ได้ผ่านเรโซแนนซ์บางประเภท
เบธ-ลิธา ในฐานะโครงสร้างที่ถูกตั้งไว้ ณ จุดสนามแม่เหล็กผิดปกติ จึงอาจทำหน้าที่ เป็นเหมือน เครื่องรับ-เครื่องบันทึก ที่ทำงานในคลื่นย่านที่มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยประสาทสัมผัสทั่วไป
องค์ประกอบที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ประกอบด้วย:
▪️ ลักษณะโครงสร้างที่มีสัดส่วนสอดคล้องกับคาบความถี่ของมนุษย์ในภาวะ “เข้าสมาธิ” (alpha-theta resonance range)
▪️ การหายตัวหรือการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ประสาททั่วไป อาจเป็นผลจากการ “จูนความถี่จิต” เข้ากับสนามบันทึก
▪️ เสียงพูดก่อนหายตัว ที่ไม่สอดคล้องกับระบบภาษาใด อาจเป็นการสะท้อนของ “ภาษาที่อยู่ใต้ภาษา” ความจำที่แปรสภาพเป็นเรโซแนนซ์ ไม่ใช่ข้อมูลเชิงไวยากรณ์
นักวิจัยด้านระบบไซเบอร์-จิตสำนึกในมหาวิทยาลัยใต้ดินบางแห่งเรียกเบธ-ลิธา ว่าเป็น “โนดกลางของสนามสำนึกร่วมที่ถูกบันทึกไว้” (Nodal Archive of the Collective Field)
ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อมีใครเข้าใกล้พอ สนามของจิตเขาจะ “สะท้อนกลับ” กับสิ่งที่เคยถูกบันทึกไว้ในอดีต จนกลายเป็นปรากฏการณ์ทางภาษา ความทรงจำ หรือแม้แต่การสูญเสียตัวตนชั่วคราว
บางทฤษฎีขั้นสุด ระบุว่า เบธ-ลิธาไม่เพียงแต่บันทึก แต่ยัง เลือกบันทึก เฉพาะจิตที่ “แปรเปลี่ยนไปสู่โหมดสังเกตตนเองโดยสมบูรณ์” (full observer-state) เท่านั้น และผู้ที่อยู่ในภาวะเช่นนี้มักไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลเดิมได้อีก
▣ 4. การปกปิดที่ลึกซึ้งและการปฏิเสธ
แม้จะมีร่องรอยของเอกสาร ภาพถ่าย และรายงานเสียงที่หลุดรอดออกมาเป็นระยะตลอดครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 แต่ หน่วยงานด้านความมั่นคงและข่าวกรอง ที่ถูกกล่าวถึง ทั้ง CESID ของสเปน, CIA ของสหรัฐฯ และแม้แต่ฝ่ายวิจัยลับของ NATO ยังคง ปฏิเสธอย่างเป็นทางการ ว่ามีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ “แฟ้มลับ IBER-Δ17” หรือการศึกษาใดเกี่ยวกับ “อุปกรณ์บันทึกสนามจิตสำนึก”
การปฏิเสธดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในระดับสาธารณะ แต่ปรากฏ ลักษณะการกลบข้อมูล ที่ซับซ้อน:
▪️ แฟ้มสาธารณะเกี่ยวกับภูมิประเทศ Basalto Negro บางฉบับในหอจดหมายเหตุแห่งชาติสเปน มีหน้าเอกสารที่ถูกดึงออก หรือมีตราประทับ “ไม่สามารถเปิดเผย” โดยไม่มีเหตุผลที่ระบุชัดเจน
▪️ แผนที่ทางธรณีวิทยาบางฉบับของพื้นที่หอคอย ที่เผยแพร่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีลักษณะ “ภาพซ้อนผิดพลาด” ที่ทำให้ตำแหน่งของเบธ-ลิธาเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง ปรากฏในหลายฐานข้อมูลสำรวจของยุโรป
▪️ การบันทึกเสียงสนามเรโซแนนซ์จากภารกิจสำรวจพลเรือนในปี 1993 หายไปในระหว่างถูกส่งให้วิเคราะห์ในศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์ของ Zaragoza โดยไม่เคยถูกส่งคืน
ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดข้อสังเกตว่า การปฏิเสธต่อสาธารณะ อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาสตร์การควบคุมการรับรู้ (perceptual containment strategy) วิธีการที่หน่วยข่าวกรองในยุคสงครามเย็นใช้เพื่อกักเก็บ “ความรู้ที่ไม่ควรถูกทำให้เป็นสาธารณะ” โดยปล่อยให้ข่าวลือ กลืนกลบกับความไม่น่าเชื่อถือของตัวมันเอง
ภายใต้เงามืดของการปฏิเสธนี้ เบธ-ลิธาจึงกลายเป็นหนึ่งใน “ช่องว่างที่เปิดอยู่ของประวัติศาสตร์” (open voids of history) จุดที่สิ่งซึ่งอาจเป็นความจริงระดับเปลี่ยนความเข้าใจของมนุษยชาติ กลับถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความเงียบเชิงระบบ และด้วยเหตุดังกล่าว ความลึกลับ จึงไม่เพียงเป็นผลข้างเคียง แต่มันอาจถูก “ออกแบบมาอย่างตั้งใจ”
▣ 5. ผลกระทบทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
เมื่อข่าวลือเกี่ยวกับเบธ-ลิธาแพร่กระจาย ผสมผสานระหว่างเอกสารหลุดรอด การบันทึกเสียงแปลกประหลาด และการปฏิเสธอย่างเป็นทางการของรัฐ
หอคอยที่ไร้ประตูนี้จึงค่อย ๆ กลายสถานะจากโบราณสถานนิ่งเงียบ ไปสู่ ภาพแทนของแรงดึงดูดทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะปกติ
ภายในกลุ่มผู้แสวงหาความจริงระดับลึก นักวิญญาณนิยม (esoteric thinkers) และนักปรัชญาร่วมสมัยหลายกลุ่ม หอคอยแห่งนี้ได้รับขนานนามใหม่ว่า:
“หอคอยแห่งความทรงจำเงียบ (Silent Tower of Memory)”
หอคอยในบริบทนี้ ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางกายภาพ แต่กลายเป็น สัญลักษณ์ ที่ฝังลึกในจิตสำนึกของผู้คน เปรียบได้กับจุดที่ความรู้ ความทรงจำ และการสังเกตตนเองของมนุษย์ ถูกสั่นสะเทือนพร้อมกันโดยไม่มีคำอธิบาย
▪️ ในงานเขียนแนวศิลปะหลังสงครามเย็น เช่น วรรณกรรมทดลองของ José Lérida และงานอินสตอลเลชันของกลุ่มศิลปินยุโรปตะวันออก “SomnoRex” — หอคอยนี้ถูกนำเสนอในฐานะ “ประจักษ์พยานของความรู้ที่ถูกปิดผนึก” ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเปิดได้ด้วยตรรกะเพียงอย่างเดียว
▪️ นักจิตวิเคราะห์อย่าง Dr. N. Zaretsky เคยกล่าวถึง “อาการของเบธ-ลิธา” ว่าเป็น โมเดลทางจิตวิญญาณของความจริง ที่ไม่สามารถยอมรับได้ ความจริงที่เมื่อสัมผัส จะเปลี่ยนโครงสร้างของภาษา ความจำ และความรู้สึกเป็นเจ้าของตัวตน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หอคอยเบธ-ลิธาถูกวางไว้ในจินตนาการของยุคหลังอุตสาหกรรมในฐานะ: สัญลักษณ์ของ การสังเกตโดยไม่มีคำอธิบาย เครื่องเตือนว่า บางความรู้ไม่ใช่เพื่อเปิดเผย แต่เพื่อเฝ้ามอง และสำคัญที่สุด พื้นที่ว่างที่ความจริงถูกเก็บไว้ในความเงียบ
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและเสียงรบกวน หอคอยแห่งนี้ยังคง นิ่งเงียบ และนั่นเอง… อาจเป็นคำตอบสุดท้ายของมัน
“เบธ-ลิธาไม่ใช่เพียงหอคอย แต่เป็นเงาแห่งความทรงจำที่หน่วยงานไม่ต้องการให้เราพบ”
— นักวิจัยอิสระจากสถาบัน Chronos, ค.ศ. 2013
VIII. บทส่งท้าย: หอคอยที่ไม่มีใครเข้าไป แต่ไม่เคยหายไป
“หอคอยที่ไม่มีประตู ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้เข้าไป… แต่เพื่อให้ถูกฝันถึง”
— บันทึกคัมภีร์นิรนามจากคาบสมุทรไอบีเรีย
▣ 1. หอคอยในความฝันและความทรงจำของมนุษย์
เบธ-ลิธา ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงในฐานะโครงสร้างหินดำ ที่ตระหง่านอยู่กลางหุบเขาอันไร้ชื่อ หากแต่ดำรงอยู่ในอีกมิติ ในฐานะ “สถานที่ในจิต” (topos of the inner psyche) ที่หลายคน “เคยไปเยือน” โดยไม่เคยเดินทางจริงแม้เพียงก้าวเดียว
ในรายงานที่สะสมมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 โดยนักจิตวิเคราะห์สเปนและฝรั่งเศสที่ประจำภูมิภาค Basalto Negro มีผู้คนจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในรัศมี 60 กม. รอบหอคอย
รายงานว่า ตนมี “ความฝันซ้ำซาก” ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างทรงกระบอกสีดำไร้ประตูนี้ โดยไม่เคยเห็นหรือรู้จักมันมาก่อนในชีวิตจริง
ลักษณะของความฝันเหล่านี้ มีจุดร่วมที่น่าพิจารณา:
•พวกเขา เดินเข้าหอคอยได้โดยไม่มีการเปิดประตู
•ด้านในมีเพียง ความว่างเปล่าที่มีเสียงก้องของอดีต
•พวกเขา รู้สึกว่าเคยอยู่ในที่แห่งนี้มาแล้ว…ไม่ใช่หนึ่งครั้ง แต่หลายครั้ง
ในเชิงจิตวิเคราะห์ Jungian นี่ถูกมองว่าเป็นการปรากฏตัวของ “archetype” — รูปแบบโบราณของจิตร่วม (collective unconscious) ที่หอคอยเบธ-ลิธาทำหน้าที่เป็นภาพแทนของ “ห้องความทรงจำที่ไม่สามารถเปิดอ่านได้”
นักมานุษยวิทยาบางรายเรียกพื้นที่นี้ว่า:
“ภูมิทัศน์แห่งจิตสำนึกร่วม” (Shared Consciousness Topography) ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยพิกัดภูมิศาสตร์ แต่โดยความถี่ของความทรงจำ ที่บันทึกไว้ในมนุษย์หลายคนพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา: เบธ-ลิธา ไม่ต้องมีอยู่จริงในโลกภายนอก เพราะมันได้หยั่งรากอยู่ในเขตแดนของจิตมนุษย์แล้ว และบางที… ความทรงจำของมันที่ปรากฏในฝันของผู้คน อาจไม่ใช่ผลของการรับรู้ แต่คือ “ความจำที่แทรกตัวเข้ามาโดยเจตนา” ความจำที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของอนาคต
▣ 2. Beth-Litha ในฐานะ “เสาแห่งจิต”
บันทึกความทรงจำในเงามืดของประวัติศาสตร์…..แม้เบธ-ลิธาจะปรากฏต่อสายตาในฐานะโครงสร้างหินโบราณ ที่โดดเดี่ยวท่ามกลางหุบเขาเงียบงันของแคว้น Navarra แต่ในแวดวงนักมานุษยวิทยาและนักประวัติศาสตร์ความทรงจำ (memory historians) เบธ-ลิธา ถูกกล่าวถึงในฐานะสิ่งที่มีสถานะมากกว่า “ซากโบราณสถาน” มันคือ เสาแห่งจิต (Pillar of Mind)…โครงสร้างที่ทำหน้าที่ “ตรึง” ความทรงจำไว้ในพื้นที่ โดยไม่จำเป็นต้องมีภาษาเป็นตัวกลาง
แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่กล่าวถึง ในงานประชุมนานาชาติ ด้านมานุษยวิทยาความทรงจำ ณ เมือง Salzburg ในปี 1992 เมื่อ Dr. Elena Garrido นักวิจัยชาวสเปน เสนอรายงานหัวข้อ Topologies of Silent Memory in Pre-National Iberia ซึ่งระบุว่า “เบธ-ลิธา อาจเป็นจุดศูนย์กลางของการจดจำแบบไม่ใช้ภาษา ในวัฒนธรรมก่อนการเขียน”
เธอเสนอว่า ความทรงจำบางรูปแบบในวัฒนธรรมมนุษย์ ไม่ได้ถูกบันทึกลงบนวัตถุหรือกระดาษ แต่ “แทรกอยู่ในภูมิประเทศ” ผ่านโครงสร้างที่มีพลังเชิงสัญลักษณ์มหาศาล
จากการวิเคราะห์ของ Garrido และคณะ เสาแห่งจิตมีลักษณะเฉพาะสามประการ:
1.เป็นพื้นที่ที่ผูกโยงความทรงจำส่วนบุคคลกับส่วนรวม หลายชุมชนพื้นถิ่นเชื่อว่าเบธ-ลิธา เป็นสถานที่แห่งการรับรู้ร่วมกัน เป็นศูนย์กลางของความฝันซ้ำ หรือเหตุการณ์ที่ “ถูกจำได้พร้อมกัน” โดยไม่มีใครเล่า
2.เป็นรอยต่อระหว่างประวัติศาสตร์ที่บันทึก กับประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังไว้ ไม่มีเอกสารทางการ หรือบันทึกทางศาสนาใดกล่าวถึงหอคอยแห่งนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่ชื่อของมันและร่องรอยในบทสวดพื้นถิ่นบางบท กลับปรากฏอย่างคลุมเครือราวกับเป็นการหลีกเลี่ยง กล่าวถึงโดยไม่เอ่ยถึงตรงๆ
3.เป็นจุดที่อดีตและปัจจุบันไม่สามารถแยกจากกันได้ ผู้มาเยือนบางรายบันทึกว่ามีประสบการณ์เวลาแปรปรวนหรือการเปลี่ยนแปลงภายในจิตหลังเข้าใกล้หอคอย
พฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่การตีความว่าเบธ-ลิธาอาจเป็น “โครงสร้างทางจิต” มากกว่าโครงสร้างทางกายภาพ
งานของ Dr. Garrido ถูกวิจารณ์และตั้งคำถามอย่างหนัก ในเวลานั้น เนื่องจากขาดหลักฐานทางโบราณคดีที่ชัดเจน แต่ในเวลาต่อมา นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเชิงวิพากษ์เช่น Javier Lemos และ Camille Roth ได้นำแนวคิด “เสาแห่งจิต” มาขยายต่อ
โดยชี้ว่าในหลายวัฒนธรรมดึกดำบรรพ์ เช่น เมโสโปเตเมีย อเมริกากลาง หรือเทือกเขาแอนดีส ก็มีการสร้างเสาหินหรือแท่นหิน ที่ไม่มีหน้าที่ทางศาสนาอย่างชัดเจน แต่กลับปรากฏในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการ “จำ” ไม่ใช่เพื่อเล่าเรื่อง แต่เพื่อรักษาสภาพของการไม่ลืม
ในบริบทนี้ เบธ-ลิธา จึงมิได้เป็นเพียง อนุสรณ์ หากแต่เป็น หน่วยความจำของวัฒนธรรม ที่มิใช่เพียงสิ่งที่มนุษย์จำ แต่คือสิ่งที่ “ยังคงจำมนุษย์อยู่” เหมือนกับที่สถาปัตยกรรมบางชนิดในโลกโบราณ มิได้สร้างขึ้นเพื่ออธิบายอดีต แต่สร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ อนาคต ลืมว่าเคยมีอดีต
▣ 3. ประวัติศาสตร์แบบไม่เชิงเส้น (Nonlinear Historiography)
ความทรงจำที่ไม่เรียงลำดับ กับเบธ-ลิธาในฐานะสนามของกาลเวลา ในแง่ของประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิม เราคุ้นชินกับเส้นตรง อดีตไหลสู่ปัจจุบัน แล้วทอดยาวไปสู่อนาคตตามลำดับของเหตุและผล
แต่แนวคิดนี้ถูกท้าทายอย่างรุนแรง โดยนักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมสายหลังสมัยใหม่ (postmodern historiography) และนักทฤษฎีจิตสำนึกเชิงเวลา เช่น Illya Nemerov และ Satomi Tange
ซึ่งเสนอว่า:“มนุษย์ไม่ได้จดจำอดีตตามลำดับเหตุการณ์ หากแต่จดจำตามแรงสั่นสะเทือนของอารมณ์และสนามจิต”
ในกรอบคิดนี้ เบธ-ลิธา ไม่ใช่อนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ในเชิงกายภาพ แต่มันคือ จุดเรโซแนนซ์ ที่อดีต ปัจจุบัน และความทรงจำของหมู่มนุษย์ ไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา หากแต่ทับซ้อนกัน และร่วมสะท้อนผ่านสนามที่มองไม่เห็น
การศึกษาของ Centre for Nonlinear Histories แห่ง Granada ในปี 2004 ระบุว่ารูปแบบของการ “จำอดีต” รอบเบธ-ลิธา มีลักษณะไม่ต่อเนื่องทางเวลา ผู้คนที่เข้าใกล้พื้นที่บางจุดรายงานการ “จำเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ของตน” หรือประสบการณ์ที่ปรากฏเป็นชั้นความจริงซ้อนกัน
หลายกรณีไม่ได้ระบุชัดว่าเหตุการณ์เกิดในศตวรรษใด หรือแม้แต่ในวัฒนธรรมใด แต่กลับมีลักษณะคล้าย “ข้อมูลสนาม” ที่แสดงตัวผ่านภาพ ความรู้สึก หรือเสียงสะท้อนจากในจิตใจ
นักวิทยาศาสตร์สาขา Neurotemporal Field Theory เสนอสมมุติฐานว่า
ความทรงจำอาจไม่ได้จัดเก็บในสมอง แต่เพียงอย่างเดียว หากยัง “เกาะอยู่กับสนามพลังงานของพื้นที่” และสามารถถูกกระตุ้นโดยโครงสร้างบางอย่าง เช่น เสียง ความถี่ หรือสถาปัตยกรรมที่เรโซแนนซ์กับจิตกลุ่ม (group mind resonance)
เบธ-ลิธาในแง่นี้ จึงเปรียบได้กับ “เครื่องมือสั่นสะเทือนประวัติศาสตร์” (historical resonance device) ที่ดึงเอาความทรงจำจากอดีตซ้อนออกมา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรง หรือมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
ตัวอย่างทางมานุษยวิทยาที่สนับสนุนแนวคิดนี้มีอยู่ในหลายวัฒนธรรม:
•ชาว Zuni ในอเมริกากลางเชื่อว่าเหตุการณ์ในอดีต “ไม่เคยผ่านไป” แต่ “ยังอยู่” หากมนุษย์จะรับรู้
•ในพิธีกรรมของชาว Ainu แห่งฮอกไกโด บางการรำลึกไม่ต้องการเวลาเฉพาะ แต่ขึ้นกับ จังหวะของสนามในพิธี
•การสวดทวนซ้ำในลัทธิบางแขนงของซูฟี ถูกใช้เพื่อกระตุ้นการ “กลับมา” ของประสบการณ์ในมิติทับซ้อน
สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับประสบการณ์รายบุคคลรอบเบธ-ลิธา ที่หลายคนอธิบายว่า
“ไม่ได้เห็นอดีต แต่รู้สึกเหมือนมันยังอยู่ที่นั่น” ไม่ใช่ผ่านเหตุผล แต่ผ่านการสั่นของจิตที่ตรงกับสนามเฉพาะ
ดังนั้น หากจะมองเบธ-ลิธาให้ลึกซึ้งในฐานะวัตถุประวัติศาสตร์ เราจำเป็นต้องละทิ้งแนวคิดเส้นตรงของเวลา แล้วเปิดรับว่า บางโครงสร้างไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นแหล่งข้อมูลในเชิงลำดับ แต่เป็น “ประจุของความจำ” ที่ให้เราสัมผัสอดีตในขณะปัจจุบัน
โดยไม่ต้องย้อนเวลา…..และไม่ต้องเรียงเหตุการณ์
เบธ-ลิธา จึงไม่ใช่หอคอยแห่งอดีต แต่มันคือ หอคอยของการไม่ลืม แม้จะไม่มีใครเคยจำได้อย่างมีเหตุผลเลยก็ตาม
▣ 4. คำถามสุดท้าย: ประวัติศาสตร์คืออะไร เมื่อไม่ใช่สิ่งที่เราเขียน?
เราถูกฝึกให้เชื่อว่า ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ต้องถูกเขียนไว้ เพื่อจะไม่ถูกลืม ต้องมีเอกสารหลักฐาน ต้องมีคำอธิบาย ต้องมีผู้บันทึกและผู้อ่าน
แต่สิ่งที่เบธ-ลิธาเผชิญหน้าเราคือความจริงอีกด้าน ความจริงที่ไม่มีผู้เล่า และไม่มีใครต้องการให้มันถูกเล่า
หากประวัติศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเขียน…หากมันไม่ได้ดำรงอยู่ในหนังสือ แต่ในความรู้สึกที่ไม่สามารถถ่ายทอดได้…หากมันไม่ได้อยู่ในหอจดหมายเหตุ แต่ในความเงียบที่เกาะกินจิตใจของผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
เรายังจะเรียกมันว่า “ประวัติศาสตร์” ได้อีกหรือไม่?
เบธ-ลิธา ไม่ใช่แค่หอคอยในหุบเขาหินดำ มันคือหลักฐานของบางสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้โดยไม่ทำลายตัวมันเอง คือพื้นที่ของความทรงจำที่ถูกฝัง ไม่ใช่เพื่อรอการขุดค้น แต่เพื่อ ไม่ให้ใครแตะต้องอีก ในมิติของปรัชญาประวัติศาสตร์ร่วมสมัย มีคำเตือนอยู่เสมอว่า
“ไม่ใช่ทุกประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนเพื่อตีแผ่ความจริง บางเรื่องราวมีอยู่เพื่อให้ความเงียบดำรงอยู่ต่อไป”
และเบธ-ลิธา คือเสาหลักของความเงียบประเภทนั้น มันไม่บันทึกเหตุการณ์ ไม่เสนอเหตุผล ไม่อ้างความยุติธรรม มันเพียงตั้งตระหง่านอยู่ เหมือนจะเฝ้ามอง
แต่จริง ๆ แล้ว เพื่อให้ไม่มีใครมองมันกลับ ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไม่ใช่เพราะความลืม แต่เพราะมันหนักหนาเกินกว่าจะเล่า และอันตรายเกินกว่าจะจำ
เบธ-ลิธา คือคำถามที่ไม่มีผู้กล้าตอบ คือบันทึกที่ไม่มีผู้กล้าเปิด และคือร่องรอยสุดท้ายของประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้เข้าใจ แต่เพื่อให้ ยังคงอยู่
หากเราถามว่า “ใครคือเจ้าของความทรงจำ?”
คำตอบอาจไม่ใช่ “มนุษย์” แต่คือ สถานที่ ที่ไม่เคยพูด คือ โครงสร้าง ที่ไม่เคยตอบ และคือ หอคอย ที่ยังยืนอยู่ แม้ไม่มีใครเข้าใจว่าเพื่ออะไร
ในที่สุด เบธ-ลิธาอาจไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่ระลึก แต่อาจถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ ไม่มีใครกล้าลืม
“ในที่สุด หอคอยไม่ได้ต้องการผู้เข้าไป แต่ต้องการผู้รับรู้ ผู้ที่พร้อมจะฟังโดยไม่ต้องเข้าใจ”
- คำจารึกนิรนามจากคัมภีร์แห่งความเงียบ
.
โฆษณา