5 ส.ค. เวลา 05:42 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“ภาคเกษตรกรรม ใช้พื้นที่เยอะ ใช้คนเยอะ แต่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่ำมาก"

มองแล้วน่ากลัว ภาคเกษตรกรรมใช้พื้นที่มากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ และใช้คนประมาณ 40% ของประชากร แต่กลับมีส่วนต่อ GDP เพียง 8% เท่านั้น (ลดลงจากเดิม 12%) แสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการแข่งขัน” คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในรายการ Talk ลงทุนแมนล่าสุด
1
ดีลประวัติศาสตร์ 19% จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจไทย /โดย ลงทุนแมน
การดีลภาษี 19% กับสหรัฐอเมริกา จะเป็นจุดที่บังคับให้ประเทศไทยต้องรีบปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
หากไทยทำได้ จุดเปลี่ยนนี้ เศรษฐกิจไทยก็อาจกลับมาผงาดได้อีกครั้ง
แต่หากล้มเหลว ความท้าทายนี้จะยิ่งฝังลึกให้ทศวรรษที่สูญหายทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไป
1
ดีล 19% ที่เราได้มา
ที่เป็นอัตราแข่งขันได้กับตลาดโลก
ทุกคนรู้ว่า ไม่ใช่ของฟรี
สถานการณ์ที่กำลังเป็นสัญญาณเตือน กำลังบังคับให้เราต้องทำอะไรต่อไป
คนไทยทั้งประเทศกำลังจะเจอกับอะไร
และในช่วงเวลาโกลาหลนี้
โอกาสด้านบวกที่ซ่อนอยู่ของไทย มันใหญ่แค่ไหน
ในวันนี้เราจะได้สัมผัสความคิดของบุคคลที่อยู่แถวหน้าสุด
ในประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจชาติไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณพิชัย ชุณหวชิร ที่ถูกสัมภาษณ์โดยคุณทีน่า สุภัททกิต เจตทวีกิต, CFA
การเจรจาภาษี 19% กับสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการเห็นสินค้าจากประเทศคู่แข่ง ถูกผลิตในไทย แล้วส่งออกไปสหรัฐฯ
คุณพิชัยย้ำว่า การเจรจานี้ มีเป้าหมายเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ไม่เสียเปรียบ และเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
โดยที่ผ่านมา ทีมไทยแลนด์ศึกษาข้อมูลจากประเทศอื่นที่เจรจาไปก่อนหน้านี้ แม้จะมีข้อห้ามเปิดเผยข้อมูล แต่ทีมก็รวบรวมข้อมูลและประมวลผล เพื่อเสนอสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ โดยที่ไทยไม่ต้อง "เปิดทั้งหมด" (all access) เหมือนประเทศอื่น
ซึ่งการเจรจาล่าช้ากว่าคนอื่น กลับมีข้อดีที่ทำให้ได้ฟังเหตุการณ์รอบข้าง
ก่อนการเจรจา คุณพิชัยคาดการณ์ว่า อัตราที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20% ลบเล็กน้อย และมองว่าไทย ควรอยู่ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่คล้ายคลึงกันอย่างมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย ไม่ใช่กลุ่ม CLMV
การได้อัตรา 19% ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เสียเปรียบ และช่วยให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้
1
เรื่องการลดภาษีเป็น 0% สำหรับสินค้าบางชนิดกับสหรัฐฯ นั้น แท้จริงแล้วเป็นผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทย เพราะทำให้สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง เนื่องจากผู้บริโภคเป็นผู้แบกรับภาระภาษี
นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มอุปทานและสร้างการแข่งขันระหว่างประเทศผู้ขาย ทำให้ราคาลดลงอีก
ความท้าทายที่ยากที่สุดในการเจรจา ไม่ใช่บนโต๊ะเจรจากับสหรัฐฯ แต่เป็นการพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย จากการตกลงต่าง ๆ
1
การให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่สหรัฐฯ เช่น ยกเว้นภาษีสินค้า 11,000 ชนิดให้สหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐอาจจะไม่มีขาย หรือมีน้อยอยู่แล้ว ก็เป็นการให้ในสิ่งที่ไทยไม่ได้เสียเปรียบ และดูเหมือนเป็นประโยชน์มาก
สิ่งที่น่ากังวลคือ เสียงตอบรับจากคนในประเทศ ต่อสิ่งที่เจรจาไป
การเจรจาภาษี 19% นี้ถือเป็น "สัญญาณเตือน" ที่บังคับให้ไทยต้องเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
1
หากทำได้ เศรษฐกิจไทยอาจกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่หากล้มเหลว อาจนำไปสู่ "ทศวรรษที่สูญหาย" ทางเศรษฐกิจต่อไป..
1
หนึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่ม Local Content เพราะสหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นสินค้าของประเทศอื่น โดยเฉพาะคู่แข่ง มาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้วส่งออก
ดังนั้น การเพิ่มสัดส่วน Local Content จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน
- อุตสาหกรรมยานยนต์
ปัจจุบันรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และไฮบริด ที่ส่งออกมี Local Content สูงถึง 80-90% แล้ว
ความท้าทายคือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่นใหม่ที่เข้ามา มี Local Content เพียง 10-20% ซึ่งยังต่ำมาก
แนวทางแก้ไขคือ BOI และหน่วยงานภาครัฐ จะทำหน้าที่เป็น "ตัวเชื่อม" (Matcher) เพื่อจับคู่ SMEs ไทยที่มีศักยภาพให้เข้ากับผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ เพื่อเพิ่ม Local Content
โดยเร่งการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ในไทย เป้าหมายคือให้แบตเตอรี่เริ่มจากการประกอบในไทย และในอนาคตเซลล์แบตเตอรี่ ก็ต้องผลิตในไทยด้วย ซึ่งรัฐบาลจะเร่งด้วยการ "ฉีดยาเร่ง" ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
รัฐบาลมีแนวคิดจัดตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสนับสนุนการลงทุนของ SMEs
- การดึงดูดการลงทุน (FDI)
หากบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน รัฐบาลจะขอเงื่อนไขให้มีการจัดตั้งศูนย์ R&D ในไทย โดยมีคนไทยเป็นบุคลากร R&D ในระดับหัวหน้าด้วย (เช่น 30% ของผู้บริหาร R&D)
1
และขอให้มีการวางแผนถ่ายโอนเทคโนโลยี และให้คนไทยเข้าถือหุ้นได้
นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดทุนไทย
1
- ภาคเกษตรกรรม
ปัจจุบันภาคเกษตรกรรม ใช้พื้นที่มากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ และใช้คนประมาณ 40% ของประชากร แต่กลับมีส่วนต่อ GDP เพียง 8% เท่านั้น (จากเดิม 12%) แสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการแข่งขัน
ปัญหาคือ เรามีต้นทุนสูง ผลผลิตต่อไร่ต่ำ คุณภาพดินไม่ดี พันธุ์พืชไม่เหมาะสม การบริหารจัดการน้ำ และการรวมกลุ่มกันผลิตยังไม่ดีพอ ทำให้สินค้ามีมูลค่าต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้น้อย กลายเป็นหนี้ และต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
หากภาคเกษตรสามารถเพิ่มส่วนแบ่ง GDP ได้ถึง 20% จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
3
ซึ่งการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ทำให้ตระหนักว่าสินค้าไทยต้นทุนแพงกว่า ต้องปรับตัว
กรณีศึกษาข้าวโพด ที่ถือว่าเป็น Win-Win Solution
ไทยขาดแคลนข้าวโพดสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีราคาสูง การนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ (GMO) จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์และผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เช่น หมู ซึ่งส่งผลให้สินค้าอาหารในประเทศ มีราคาถูกลงด้วย
2
แต่เพื่อไม่ให้กระทบเกษตรกรในประเทศ รัฐบาลใช้ระบบโควต้า (สำหรับสหรัฐฯ เท่านั้น) โดยกำหนดให้ผู้ซื้อรายใหญ่ ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศก่อนในสัดส่วนที่กำหนด แล้วจึงสามารถนำเข้าผลผลิตราคาถูกจากสหรัฐฯ ได้
พร้อมกันนี้ก็ให้เวลาเกษตรกรไทย 3-7 ปีในการปรับตัว ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต
รัฐบาลยังส่งเสริมให้เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว ที่ผลผลิตล้นตลาด มาปลูกข้าวโพดแทน
2
และย้ำว่า ไทยต้องเปลี่ยนผ่านจากการเป็นเพียง "ฐานการผลิต" ไปสู่การเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ภาคเกษตรกรรม สามารถพัฒนาเป็นไบโอเทคโนโลยีได้ โดยวัตถุดิบมีในประเทศ แต่ขาดเทคโนโลยี
1
สินค้าไบโอเทคโนโลยี มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าวัตถุดิบหลายเท่าตัว (เช่น 100 เท่า หรือ 10,000 เท่า) รัฐบาลจะสนับสนุน FDI ในไบโอเทคโนโลยี และส่งเสริมสตาร์ตอัปไทย โดยอาจมีกลไกให้รัฐบาลเป็นผู้ร่วมลงทุน (Grant) หรือเป็นพี่เลี้ยงในช่วงแรก และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล
อีกเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยต้องทำคือ การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน
การลงทุนของประเทศ ลดลงอย่างมาก จาก 40-50% ของ GDP ในอดีต เหลือเพียง 19-22% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงอย่างต่อเนื่อง (จากเกือบ 10% เหลือเฉลี่ย 1.9% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา)
1
ขณะที่รัฐบาลมีงบประมาณลงทุนเพียง 5-6 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการที่ควรจะเป็น 30-35% ของ GDP (ประมาณ 5-6 ล้านล้านบาท)
บทบาทภาครัฐ จึงต้องเป็นผู้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น ที่ดินที่เหมาะสม น้ำ ไฟฟ้า ถนน ระบบราง การศึกษา เพื่อลดต้นทุนให้ภาคเอกชน
1
เพื่อดึงดูด FDI โดยถ้าดึงดูด FDI ได้ 1 ล้านล้านบาท ก็สามารถสร้างการลงทุนรวม (ภาครัฐและเอกชน) ได้ถึง 5 ล้านล้านบาท
ดังนั้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยดึงดูด FDI และนำไปสู่การจ้างงาน การผลิต และการเติบโตของอุตสาหกรรมและบริการอื่น ๆ เช่น การเงิน การท่องเที่ยว
ส่วนการรับมือกับผลกระทบอื่น ๆ เช่น
- การนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี โดยไทยเลือกซื้อจากแหล่งที่ถูกที่สุดและมีคุณภาพดีที่สุด
สหรัฐฯ กลายเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ได้เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ในการผลิต Shale Gas และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ (ท่อส่ง) ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลงมาก
การนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ ที่ราคาถูกลง จะช่วยลดต้นทุนพลังงานของไทย (จากเฉลี่ย 10 เหรียญ/ล้าน BTU เหลือประมาณ 8 เหรียญ/ล้าน BTU) ทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง
- การเสียตลาดส่งออก
ประเทศคู่ค่าของเรา อาจถูกบังคับให้ซื้อจากสหรัฐฯ แทน นี่เป็นธรรมชาติของการแข่งขันในตลาดโลก สำหรับสินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น ข้าวและยางพารา ก็ต้องปรับตัว
1
ข้าว ต้องลดต้นทุนการผลิตเพื่อแข่งขันกับอินเดียและเวียดนาม
ยางพารา ต้องแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น (เช่น ยางรถยนต์) แทนการส่งออกยางดิบ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 10-11 เท่า
สิ่งนี้ต้องการนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเฉพาะการดึง R&D มายังประเทศไทย
- ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด
ไม่น่ากังวลเท่าปัญหาการขาดกำลังซื้อภายในประเทศ สามารถรับมือได้ด้วยการใช้มาตรฐานสินค้าที่เข้มงวด (เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีคาร์บอนเครดิต)
และการพิจารณาปฏิรูปภาษีใหม่ เพื่อเก็บภาษีจากสินค้าที่เข้ามาแบบไม่เป็นธรรม เช่น การเก็บภาษีจากผู้ที่ไม่มีตัวแทนในไทย แต่ใช้ AI หรือซอฟต์แวร์ในการดำเนินธุรกิจ
4
สุดท้ายนี้ คุณพิชัย ได้อัปเดตถึงขั้นตอนและสิ่งที่จะดำเนินการต่อไป
ข้อตกลง 19% เป็นเพียงกรอบ (framework) ที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายในทันที ต้องลงรายละเอียดในรูปแบบสัญญา ที่ครอบคลุมทั้งประเด็นภาษีและไม่ใช่ภาษี
และต้องมีการทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ทุกรายละเอียดในสัญญาเป็นไปได้จริง จะต้องมีการตั้งทีมงานในแต่ละภาคส่วน และดึงภาคเอกชน (ผู้ซื้อ-ผู้ขาย) เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด
พร้อมกับการสร้างความเข้าใจกับสาธารณะ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะนำมาซึ่งความยากลำบากในระยะแรก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
รวมถึงการจัดการปัญหาเร่งด่วน ในเรื่อง สินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อมูลค่าในประเทศ และตั้งทีมงานเฉพาะกิจสำหรับภาคเกษตรกรรมแยกตามประเภทสินค้า เช่น หมู
สรุปแล้ว การเจรจาภาษี 19% เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความจำเป็นในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ โดยเน้นการเพิ่ม Local Content ในอุตสาหกรรมยานยนต์ (EV)
การยกระดับภาคเกษตรกรรมให้มีมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะดึงดูดการลงทุนอื่น ๆ ให้ตามมา
และการสร้างความเข้าใจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทุกภาคส่วนในประเทศ เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต..
ดีลประวัติศาสตร์ 19% จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจไทย | Talk ลงทุนแมน
โฆษณา