5 ส.ค. เวลา 10:29 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] DON’T TAP THE GLASS - Tyler The Creator >>> อย่าได้อาย

ผมเคยทำอะไรใหญ่โตแล้วได้รางวัลมาแล้ว ผมแค่รู้สึกว่าอยากทำอะไรที่ดูเท่กับตัวเองแล้วก็ปล่อยไปตามนั้นเลย ผมไม่อยากคิดมาก
Tyler The Creator Hot 97 Interview 2025
-ในเมื่อพี่แกอยากปล่อยจอยตามการให้สัมภาษณ์ใน Hot 97 ตามข้างต้น คนเขียนรีวิวอย่างผมยิ้มเลยครับ ผมก็จะปล่อยจอยกับการรีวิวอัลบั้มนี้เช่นกัน Tyler The Creator กลับมาอย่างไวในรอบไม่ถึงปีเท่านั้น ถัดจาก CHORMAKOPIA เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ไอ้หนุ่มสุดเกรียนคนนี้ได้ถอดหน้ากากตัวเองแล้วหันมาทำฮิปฮอปแดนซ์ที่เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่เคยฟังมา เข้าใจง่ายในแง่ไม่ได้ผูกกับคอนเซ็ปท์หรือสตอรี่ที่ต้องอาศัยการตีความอะไรมากมาย ไม่มีศัพท์แสง easter eggs ให้โยงไปอัลบั้มที่แล้วมาอะไรมากมาย
-DON’T TAP THE GLASS ตั้งต้นด้วยการที่ Tyler ไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อนแล้วสงสัยว่า “ทำไมเพื่อนแม่งไม่เต้นวะ” คำตอบที่ได้คือ “กูกลัวโดนถ่าย เดี๋ยวพวกแม่งไปเอาเป็นมีม” ซึ่งการมาของอัลบั้มสุดเซอร์ไพร์สนี้ก็โคตรบังเอิญจัด ดันมาประจวบเหมาะกับกระแสฉาว kiss camera จับโป๊ะแตก CEO Astronomer มากับกิ๊กฝ่าย HR กลางคอนเสิร์ตของ Coldplay ด้วยนะ (ฮ่าๆๆๆ)
-แต่นั่นก็คนมักกะโรนีกับการที่ Tyler คับข้องใจวัฒนธรรมการแอบถ่ายคนอื่นจนกลัวจะถูกมองว่าไม่ดี โดนเอาไปล้อเลียนกลับเป็นการกั๊กไม่ให้เราสามารถทำตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่สามารถปลดปล่อยไปตามเสียงเพลงได้เต็มที่อย่างปกติที่ควรจะเป็น
-อีกนัยนึงก็สอดคล้องกับสำนวน Don’t Tap The Glass ในวงการโป๊กเกอร์มันแปลว่า ห้ามตะโกนเย้ยหยันผู้เล่นใหม่ ซึ่งจะเป็นการทำให้เขาอับอาย ไม่กล้ากลับมาเล่นอีก ซึ่งผู้เล่นใหม่มักจะถูกเรียกว่า “ปลา” การไปเคาะตู้ปลากระจก ปลาก็จะตกใจ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรย่อมดึงดูดให้ “ปลา” หรือผู้เล่นใหม่เล่นไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็โดนดูดเงินจากการเล่นแล้วเล่นอีกเสียเอง เหมือนกับว่าเซียนโป๊กเกอร์ตัวจริงเค้าจะไม่บลัฟผู้เล่นใหม่ให้เสียขวัญ ไม่งั้นจะอดแดกเงินจาก “ปลา” นั่นแหละ
-ถ้าเปรียบเปรยศัพท์วงการโป๊กเกอร์ที่อธิบายไว้ข้างต้นกับเนเจอร์ของอัลบั้มนี้ DON’T TAP THE GLASS คืองานเรียกแฟนเพลงหน้าใหม่ก็เป็นได้ 10 แทร็คตามมาตรฐาน Run Time แค่ครึ่งชั่วโมงก็เป็นแรงดึงดูดกลุ่ม Gen Z ที่ไม่เคยฟัง Tyler ได้มากพอ
-การตอกย้ำกฎ 3 ข้อก็ไม่อารัมภบทอย่างซับซ้อน ข้อ 1 อัลบั้มนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการนั่งฟังเฉยๆ ควรโยกย้ายบ้าง ข้อ 2 พูดแต่สิ่งดีๆ อย่านำปัญหาส่วนตัวมาปนกับปาร์ตี้ และ ข้อ 3 DON’T TAP THE GLASS ก็คงแปลได้หลายทาง “ห้ามแตะมือถือเป็นสังคมก้มหน้า” หรือ “อย่าไปขัด vibe เพื่อนร่วมปาร์ตี้” ก็ได้เช่นกัน
-DON’T TAP THE GLASS ยังคงซื้อใจผมได้ด้วยความเอ็นจอยขั้นต้นแบบ no matter what ที่สามารถคล้อยตามได้ตลอดรอดฝั่งเช่นเคย ไม่ต้องกังวลว่าจะกร่อย อีกทั้งการขึ้น era อัลบั้มใหม่ของ Tyler จะต้องเปลี่ยนรูปโฉม alter ego ใหม่ทุกครั้ง รอบนี้มาแนว shirtless กางเกงหนังแดง ห้อยโซ่ทองเส้นใหญ่ และมีอีกร่างที่เป็น figure toy ตัวสูงโย่งแขนกล้ามเบิ้มระเบิดชวนนึกถึง Ludacris เพลง Get Back ซึ่งตัวนี้ถูกขังไว้ในตู้กระจกเอามาโชว์ในช่วงโปรโมทอัลบั้มระหว่างออกทัวร์ด้วย
-Big Poe เป็นการแนะนำ alter ego ตัวใหม่ข้างต้น ซึ่งคาแรคเตอร์ไม่มีอะไรไปมากกว่าไอ้หนุ่มห้าวเป้งสายดีด กระหึ่มด้วย boom bap ติดสปีด โยกย้ายไปพร้อมๆกับจารย์ Pharrell Williams ที่มาในนามของ SK8BRD แซมเปิ้ลเพลงหลายชั้น ตั้งแต่ Pass The Courvoisier Part II จากพี่ใหญ่ Busta Rhymes และ Roked เพลงภาษาฮิบรูโดย Shye Ben Tzur และ Jonny Greenwood แห่ง Radiohead และสุมไปด้วยเครดิตนักแต่งเพลงร่วมที่เยอะชิบหาย หนึ่งในนั้นมี Q-Tip และ Phife Dawg ขุนพล A Tribe Called Quest ด้วย ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ?
-Stop Playing With Me ซิงเกิ้ลแรกที่ให้กลิ่นความเดือดและเร่งเร้าใกล้เคียงกับ NEW MAGIG WAND เลย เพียงแต่มันติดสปีด fast forward แบบรถไฟเหาะที่ต้องไปให้สุดหยุดกลางคันไม่ได้ การมีอินโทรด้วย Mommanem จึงเป็นการอุ่นเครื่องเตรียมพร้อมดิ้นพล่านที่เข้าที มีแค่เสียงเคาะแบบ high pitch ก็เพียงพอที่จะโชยความร้อนให้ได้เตรียมตัวเตรียมใจประหนึ่งนั่งรถไฟเหาะที่เริ่มไปสู่จุดยอดของความชันแล้วเตรียมโดนเหวี่ยงหัวโหม่ง
-ถ้าสังเกตรูปโฉมแฟชั่น alter ego ในรอบนี้ไปทาง old school มากพอสมควร ต่างจากหลายอัลบั้มที่แล้วมาที่มาในแนวทาง pop art สีสันลูกกวาดซักส่วนใหญ่ มันก็ทำให้ใครๆเริ่มคาดหวังว่า แนวทางฮิปฮอปในรอบนี้จะมีการ throwback ผสมปนเปอิทธิพลของ old school ด้วยรึเปล่า ? Tyler ก็จัดให้คนฟังที่โหยหาความ nostalgia ได้กรี๊ดไม่มากก็น้อย
-เฉกเช่น Sucka Free ที่นำเข้า G-Funk อย่างแช่มชื้น เก็บรายละเอียด vocoder เป็นลวดลายเจี๊ยวจ๊าวด้วย Don’t Tap The Glass/Tweakin’ ไตเติ้ลแทร็คที่โดนทำเป็นเพลง 2 Part เอกลักษณ์ที่ต้องมีในทุกอัลบั้มของ Tyler โดยพาร์ทแรกผสมท่วงทำนอง LA bounce สุดคูลตรงปกแห่งการคารวะของเก่า ฟังครั้งแรกคือยิ้มเลย ส่วนพาร์ทสองกลับสู่ความกระแทกกระทั้น แอมเบี้ยนแปร๋นๆตามลายเซ็นต์ Tyler ปกติ
-ถึงรูปโฉม alter ego จะเปลี่ยนไปตาม era ก็จริง แต่ยังไม่ได้มีอะไรใหม่ราวกับว่าเป็นการย้ำชัดลายเซ็นต์ของ Tyler จนสามารถเริ่มรู้ไต๋ เดาทางได้ง่ายกว่าเดิม ต่อให้จะมีการ blend West/East Coast เข้ามาแล้ว ก็ยังไม่วายได้รสชาติที่หวานปะแล่มติดลิ้นอยู่ดี ถ้าหากแฟนใหม่ที่เข้ามาฟังอาจจะว้าว นั่นก็เป็นความประทับใจในเริ่มแรก แต่สำหรับพวกเราที่ติดตาม Tyler ใกล้ชิดไม่น้อยกว่าใครกลับรู้สึกว่า การติดหล่มในสไตล์ของตัวเองก็เริ่มน่าเป็นห่วงในความเฝือที่จะบังเกิดในชุดต่อๆไปเหมือนกันครับ
-ขนาด CHROMAKOPIA เริ่มก้าวเข้าสู่ existential crisis แบบจวนเจียนอยู่แล้ว พอมาถึงชุดนี้ที่มาในรอบไม่ถึงปี เริ่มรู้สึกชัดเจนในความถี่ที่ขาดช่วงการเบรคเพื่อค้นหาอัตลักษณ์ใหม่ๆมาเติมเต็ม ความน่าค้นหาเลยน้อยลงตามลำดับ
-ตัวอย่างเพลงที่เริ่มฉายภาพความจำเจนั่นก็คือ Sugar On My Tongue ที่ใช้ลูกเล่น Electro-Hop แบบดั้งเดิมที่ได้ยินมาแล้วนัดต่อนัด Ring Ring Ring เหมือนเป็นเพลง 911 ภาค 2 เลยครับ แต่ยังดีที่บริบทรอบนี้กล้าเผยความในใจทิ้งเป็น voicemail มากกว่าโทรไปหาเพื่อแก้เหงาไปโดยเปล่า
-ไม่ใช่ว่า Tyler ไม่รู้ตัวถึงปัญหาข้างต้น ผมก็แอบเห็นความพยายามในการแก้เกมส์ลดความเฝือทางสไตล์อยู่เหมือนกัน นั่นก็คือ การให้คนอื่นมา perform แทนตัวเองไปเลย Don’t You Worry Baby มอบหน้าที่ให้ Madison McFerrin มาถ่ายทอดความ Dream Pop สร้างบรรยากาศฟุ้งฝันหวานแหวว ซึ่งนั่นก็ต่อเนื่องในความหวานปะแล่มที่ผมได้ติติงไปนั่นแหละ
-กลับกลายเป็นว่าการปล่อยให้ instrument ได้ทำหน้าที่สร้าง space ให้กับผู้ฟังในเพลง I’ll Take Care of You กลับเป็นการพลิกแพลงที่เวิร์ค มีแค่ Yebba มาเปล่งประโยคเดียวกับชื่อเพลงด้วยเสียงสะท้อนวนไปเรื่อยๆ เคล้าคลอด้วยแซมปเปิ้ลเพลงของ Crime Mob แค่นี้ก็ชวนให้คนฟังต้องมนต์สะกดในแบบ Less is more
-หากว่าความเดิมๆในสไตล์อาจเป็นจุดอ่อนที่เริ่มจะไม่คล้อยตามแล้วหากมีครั้งต่อไป คาแรคเตอร์ไอ้หนุ่มขี้เหงาที่ต่อให้เต้นยับแค่ไหนแม่งก็ยังจ๋อยไม่หายกลับกลายเป็นสตอรี่ที่ยังคงขายได้อยู่ร่ำไป นั่นจึงทำให้แทร็คสุดท้ายอย่าง Tell Me What It Is ยังคงกอดคอร่วมล้อมวงกับมนุษย์ขี้เหงาได้ดีเช่นเคย ไอ้ศิลปินหนุ่มขี้เหงาคนนี้ยังคงเสพติดความเสี่ยว ต่อให้ร่ำรวยแล้วก็ยังรู้สึกขาดหายรักแท้มาเติมเต็มอยู่ดี ใครก็ได้ขอแผนที่ชี้ทางให้กับคนที่ยังคงมีใจที่ยุ่งเหยิงคนนี้ที
น่าสนใจตรงท่อน Outro ที่นอกจาก Tyler หันมาอวยพรให้คนฟัง enjoy yourself stay longer ให้แยกย้ายกลับบ้านแล้ว ประโยคที่บอกว่า The glass was not tapped เป็นการสื่อถึงความหนักแน่นในการ stay humble ไม่ยอมอ่อนไหวต่อชื่อเสียงจนลืมคนใกล้ตัวได้โดยง่าย
-DON’T TAP THE GLASS ยังคงทำหน้าที่เป็นพื้นที่การปลดปล่อยที่ดี แต่ก็ไม่ถือเป็นนิมิตรหมายครั้งใหม่ที่เราจะได้เห็นมิติความแตกต่างของ Tyler The Creator ได้มากมายขนาดนั้น อย่างน้อยความ Just For Fun ก็ไม่ทำให้ต้องใส่ความกดดันหรือคาดหวังอะไรจนเกินเหตุ เจ้าตัวก็ยอมรับว่า การทำ concept album ใช้พลังงานเยอะพอสมควร
-การหลีกหนีความกดดันโดยที่ไม่ครอบด้วย concept ในรอบนี้ก็ไม่ทำให้มาตรฐานของ Tyler ดรอปลงจนกร่อยนั่นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในการเอาตัวรอดที่ยังคงเก่งกาจและเริ่มอยู่ตัว เซนส์ป็อปก็ไม่จางหาย โปรดักชั่นก็แข็งแรง อย่างน้อยก็ใจดีกับตัวเองที่พยายามหาทางลงให้ตัวเองหลุดพ้นบ่วงแห่งความคาดหวัง สามารถทำงานเพลงที่สามารถปล่อยจอยได้โดยที่ไม่ต้องติดแหง่กกับจักรวาลของตัวเองนานเกินไป
ยังคงสนุกกับ alter ego ใหม่เสมอ
Top Tracks: Big Poe, Sucka Free, Mommanem, Stop Playing With Me, Don’t Tap The Glass/Tweakin’, Tell Me What It Is
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา