5 ส.ค. เวลา 14:00 • ข่าว

- “เมื่อสงครามกลายเป็นเรื่องการเมือง: ใครได้ประโยชน์?”

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและช่องบก ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งเหล่านี้มักปะทุขึ้นเป็นระยะ และแม้จะมีการเจรจาและคำตัดสินจากศาลโลก แต่ข้อพิพาทก็ยังไม่คลี่คลายอย่างแท้จริง แล้วใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้?
1. ผู้มีอำนาจในประเทศ
ในช่วงที่เกิดความขัดแย้ง ผู้มีอำนาจทางการเมืองมักใช้ประเด็น “อธิปไตย” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง การยกระดับความขัดแย้งสามารถเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายใน เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ หรือความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล การแสดงบทบาท “ผู้ปกป้องแผ่นดิน” จึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลัง
2. กลุ่มชาตินิยมและสื่อกระแสหลัก
ความขัดแย้งชายแดนมักถูกขยายผลผ่านสื่อ เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและสร้างความรู้สึก “เรา–เขา” ในหมู่ประชาชน การปลุกอารมณ์รักชาติสามารถสร้างฐานเสียงให้กับพรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้งหรือเมื่อรัฐบาลเผชิญแรงกดดัน
3. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
การปะทะชายแดนมักนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง การจัดซื้ออาวุธ การสร้างฐานทัพ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐ
4. ฝ่ายที่ต้องการชะลอการเจรจาเขตแดน
ในบางกรณี ความขัดแย้งถูกใช้เพื่อชะลอหรือหลีกเลี่ยงการเจรจาเรื่องเขตแดนอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่าการเจรจาอาจไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของตน การปะทะเล็ก ๆ จึงกลายเป็น “กลยุทธ์การต่อรอง” ในเวทีระหว่างประเทศ
บทสรุป
แม้ประชาชนทั้งสองประเทศจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้ง แต่ในมุมการเมือง กลุ่มผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้องกับโครงสร้างรัฐกลับอาจเป็นผู้ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ การรักษาอำนาจ หรือการขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์
หากมองอย่างวิพากษ์ ความขัดแย้งชายแดนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของแผ่นดิน แต่เป็นเรื่องของ “การเมืองแห่งการจัดการความขัดแย้ง” ที่ซับซ้อนและมีเดิมพันสูงกว่าที่เห็นในข่าวหน้าหนึ่ง
โฆษณา