Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
5 ส.ค. เวลา 16:17 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
📜 'Scrum' กำลังจะกลายเป็น 'อดีต’? - ภาค 2: เจาะลึกทางเลือกของโลกหลัง Scrum 🚀
(ถ้าจะ ‘ทิ้ง' Scrum...แล้วใช้อะไรแทน? แล้วเราจะออกแบบ Agile System ที่เหมาะกับบริบทของเราเองได้อย่างไร?)
✅ ในบทความนี้ เราจะไม่เพียงชี้ให้เห็น 'อะไรที่ไม่เวิร์ก' แต่จะชวนคุณเจาะลึกระบบปฏิบัติการใหม่ที่องค์กรระดับโลกใช้แทน Scrum พร้อมแนวทาง 'Design Your Own Agile System' ที่จะเปลี่ยน Agile จากพิธีกรรม...สู่ระบบที่ทีมคุณสร้างและเติบโตไปด้วยกัน!
หมายเหตุ — สามารถอ่านบทความตอนที่ 1 📜 ‘Scrum’ กำลังจะ ‘ตาย’? 😱
https://medium.com/@two-stories-a-day/scrum-กำลังจะ-ตาย-67af7752213f
ได้ที่นี่
====
🔍 1. "Scrum’s Death By a Thousand Cuts" – เมื่อ "พิธีกรรม" มีมากกว่า "การส่งมอบงาน" 🔪
หลายบริษัทเริ่มตั้งคำถามว่า “เรายังทำ Scrum ไปเพื่ออะไร?” เพราะสิ่งที่เริ่มต้นด้วยแนวคิดเพื่อความคล่องตัว กลับกลายเป็นระบบที่เต็มไปด้วยพิธีกรรมซ้ำซ้อน ที่ไม่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
Scrum ไม่ได้ล้มเหลวในตัวมันเอง แต่ล้มเหลวเมื่อถูกทำแบบไม่เข้าใจเป้าหมายแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อ scale ทีมและองค์กรจนพิธีกรรมเดิมเริ่ม “ขัดขวาง” มากกว่าช่วยผลักดัน
* Daily Stand-ups: จากที่ควรเป็นการ sync พลังงานและอุปสรรค กลับกลายเป็นการรายงานแบบ Mechanical เมื่อทีมขยายเกิน 5–7 คน ทุกคนพูดไปตามสคริปต์ แต่ไม่มีใครฟังกันจริง
* Story Points: ถูกใช้เป็น KPI โดยผู้บริหารกลายๆ ทั้งที่ไม่เคยออกแบบมาเพื่อเปรียบเทียบทีม ใช้วัดความคาดหวังที่ไม่เคย validate กับของจริง
* Velocity: ตัวเลขที่ทีมถูกกดดันให้ “เร่งให้สูง” แทนที่จะสะท้อนความสามารถที่แท้จริง จึงกลายเป็น vanity metric ที่สวยงามแต่หลอกตา
* Burnout: การประชุมที่กินเวลาหนักกว่า dev time นำไปสู่ทีมที่เหนื่อยล้าและเริ่ม disconnect กับคุณค่าที่แท้จริงของงาน
🎯 วิธีวัดผล?
1. อัตราการเปลี่ยนแปลงของทีม (Team Retention Analysis)
* วัด % การลาออกหรือเปลี่ยนตำแหน่งของ Dev Team ภายใน 6–12 เดือนหลังเริ่มใช้ Scrum เทียบกับช่วงก่อนหน้า
* หากตัวเลขพุ่งสูงในช่วงหลัง adopt Scrum ให้ดูว่าตรงกับช่วงใดของพิธีกรรมที่เริ่มเข้มข้น เช่น เริ่ม Daily, เริ่ม Estimation
* ตัวอย่าง: บริษัท A พบว่าอัตรา Turnover เพิ่ม 40% หลังบังคับให้ทุกคน Daily 9 โมง โดยไม่สน timezone ของทีม remote
2. คุณภาพของ Output ที่สัมพันธ์กับ Business Outcome
* วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวน Story Points ที่ส่งมอบในแต่ละ Sprint กับตัวชี้วัดผลลัพธ์ เช่น NPS (Net Promoter Score), Customer Retention, หรือ Churn Rate
* ถ้า Story Points สูงขึ้นแต่ NPS ตกลง แปลว่าทีมกำลังทำเยอะขึ้นแต่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า — ให้พิจารณาปรับวิธี Prioritize
3. Time Audit: Balance ระหว่างพิธีกรรม vs Deep Work
* นับจำนวนพิธีกรรม (Ceremonies) ต่อสัปดาห์ เช่น Stand-up, Grooming, Review, Retro เทียบกับชั่วโมงที่ Dev ได้ทำงานลึกๆ จริงๆ (Deep Work)
* แนะนำให้ Dev อย่างน้อย 60–70% ของเวลาทำ Deep Work ได้จริง
* หากเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการประชุม ให้ลองใช้ Async Tools แทน เช่น Notion, Loom, หรือ Threaded Slack
4. Team Sentiment: ค่าความรู้สึกต่อพิธีกรรม
* Survey ทีมด้วยคำถามง่ายๆ เช่น “พิธีกรรมไหนที่คุณรู้สึกว่าได้คุณค่าจริง?” และ “อะไรที่อยากให้ตัดทิ้ง?”
* ใช้คะแนน 1–5 หรือ Emoji Voting ใน Slack ก็ได้ เพื่อความเร็วในการเก็บข้อมูล
* ตัวอย่าง: บริษัท B พบว่า 80% ของทีมไม่เห็นด้วยกับการมี Retro ทุกสัปดาห์ แต่เสนอให้มีทุก 2 Sprint แทน พร้อมสรุปบทเรียนจริงจัง
5. Focus Metric: เป้าหมายแต่ละ Sprint ชัดพอไหม?
* เช็คว่าสิ่งที่ Dev ทำใน Sprint นั้นเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่วัดได้ไหม เช่น ลด Bug Report, เพิ่ม Conversion, หรือ Scale การ Deploy
* หาก Sprint Goal คือ “ทำ Task ให้เสร็จ” แปลว่ายังไม่เชื่อมกับ Business Value ให้ปรับการตั้ง Sprint Goal ใหม่ให้ชัดขึ้น
ถ้า Agile คือการสร้างคุณค่าผ่านการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง… แล้วทำไมพิธีกรรมเดิมถึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้?
====
🗺️ 2. ทางเลือกใหม่ – Lean, Async, Autonomous, Measurable
🔧 แนวปฏิบัติใหม่ที่ทีมระดับโลกใช้แทน Scrum?
1. Shape Up (Basecamp)
* ใช้รอบการทำงานแบบ 6 สัปดาห์ (Cycle) + 2 สัปดาห์ (Cooldown) แทน Sprint
* ยกเลิกการใช้ Story Points, Daily Stand-up และ Sprint Grooming โดยสิ้นเชิง
* ทุกงานเริ่มจากการเขียน "Pitch" ที่ระบุปัญหา ขอบเขต และวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น
✅ ใช้จริงโดย 37signals (ผู้สร้าง Basecamp), ทีมย่อยของ Amazon และ Google บางส่วน
🎯 วิธีวัดผล?
* Completion Rate ของ Project ในแต่ละรอบ (งานเสร็จทันจริงไหม?)
* % Adoption ของ Feature ที่ปล่อยออกไป (ผู้ใช้ตอบรับแค่ไหน?)
* Feedback รอบ Release เพื่อนำมาปรับ Pitch ในรอบถัดไป
2. Trunk-Based Development + CI/CD
* นักพัฒนาทำงานบน main branch เดียวกัน ลดเวลาจัดการ merge conflict
* มีระบบ Test Automation รองรับ และสามารถ Deploy ได้หลายครั้งต่อวัน (Continuous Delivery)
🎯 วิธีวัดผล?
* Lead Time to Production (เวลาจาก Commit → Deploy จริง)
* Mean Time to Restore (เวลาแก้ปัญหาเมื่อระบบล่ม)
* Deployment Frequency (Deploy ได้ถี่แค่ไหนต่อวัน/สัปดาห์)
🧪 ตัวอย่าง: Google ใช้ระบบนี้ในการจัดการ codebase ขนาดใหญ่ที่ต้องรองรับ developer หลายพันคน โดยลดเวลาจาก commit ถึง production เหลือเพียงไม่กี่นาที
3. Async Communication > Meetings
* สื่อสารแบบ Async ผ่าน Tools เช่น Slack, Notion, Linear แทนการประชุม Sync รายวัน
* ทุกคำถามและคำตอบถูกบันทึกเป็น Thread ที่กลับมาอ่านย้อนหลังได้เสมอ (ช่วย Onboard คนใหม่ด้วย)
🎯 วิธีวัดผล?
* % เวลาที่ใช้กับประชุมลดลง (วัดผ่าน Calendar Audit)
* Flow Efficiency เพิ่มขึ้น (เวลาที่ Dev ได้ทำงานแบบ uninterrupted มากขึ้น)
* Dev Satisfaction Score (เก็บผ่าน Survey หรือ Pulse Report)
🧪 ตัวอย่าง: GitLab ซึ่งเป็นองค์กร Remote ทั้งบริษัท ใช้ Async Thread บน GitLab Issues + Google Docs + Loom เพื่อลดประชุมกว่า 70% ของเดิม
4. Autonomy & Accountability
* ทีมมีสิทธิ์ตัดสินใจบนโจทย์ที่ชัด ไม่ต้องรอ Product Owner ทุกเรื่อง
* Amazon ใช้แนวคิด "Two-Pizza Team" คือทีมไม่ควรใหญ่เกินกว่าที่พิซซ่า 2 ถาดจะเลี้ยงได้ (5–7 คน)
* Netflix ปล่อยให้ทีมวางแผนเอง ไม่มีพิธีกรรมบังคับ แต่มีเป้าหมายชัดและ Feedback ที่เร็ว
🎯 วิธีวัดผล?
* Throughput ของทีม (จำนวนงานสำเร็จต่อรอบ)
* Time to Launch (ใช้เวลากี่วันจากไอเดีย → ของจริง)
* % Feature ที่สำเร็จตรงตามเป้าหมายเชิงธุรกิจ
🧪 ตัวอย่าง: ทีม Prime Video ของ Amazon ใช้ autonomy ในการตัดสินใจเรื่อง UX โดยไม่รอ C-level และสามารถ launch A/B Test ให้ผู้ใช้หลายประเทศพร้อมกันใน 2 วัน
5. Metrics-Driven Roadmap
* เปลี่ยนจาก Roadmap ที่มี Feature ยาวเหยียด (ที่ไม่มีวันทำครบ) → มาเป็น Problem-Based Roadmap ที่วัดผลได้จริง
* ไม่ใช้ Backlog เป็นที่กอง Task แต่ใช้ Metrics (NPS, Usage, Retention) นำการตัดสินใจ
🎯 วิธีวัดผล?
* Roadmap ถูกปรับตามผลจริง ไม่ใช่ตาม Feeling หรือ Stakeholder Pressure
* % Feature ที่ถูก Validate ก่อนเริ่มพัฒนา (ผ่าน Discovery หรือ Experiment)
* Impact เชิงธุรกิจหลังปล่อย (เช่นเพิ่ม Conversion, ลด Churn)
🧪 ตัวอย่าง: Intercom เปลี่ยน Roadmap จาก Feature-Based เป็น Problem Theme (เช่น Improve Onboarding) แล้ววัด Impact เป็น % Activation Rate แทนจำนวนปุ่มที่ออกแบบได้
====
🛑➡️🟢 3. เปลี่ยน "กระบวนท่า" ของคุณ – Stop Doing, Start Designing
สิ่งที่ควร หยุดทำ (Stop Doing)?
* Stand-up ที่ใช้เวลาทุกวันแต่ไม่มี Impact ต่อ Flow
* Retrospective ที่ไม่เคยมี Action Item เด็ดๆ
* Story Point ที่เป็นเครื่องมืออำพราง Delay
* Burndown Chart ที่ทำเพื่อให้รายงานดูดี ไม่ได้ช่วยทีมพัฒนา
สิ่งที่ควร เริ่มทำ (Start Doing)?
* ใช้ CI/CD จริงจัง และ Ship ได้ทุกวัน
* ให้ทีมเลือกใช้ Ceremonies เท่าที่จำเป็น
* เชื่อม Roadmap กับ Metrics ทางธุรกิจ
* ปรับโครงสร้างทีมให้ Autonomous มากขึ้น โดย PM ไม่ต้อง Micromanage
🎯 วิธีวัดความสำเร็จ?
* % Feature ที่ถูกใช้งานจริงภายใน 2 สัปดาห์หลังปล่อย
* % การประชุมที่ถูกแทนด้วย Async
* คะแนนความสุขของ Developer (Dev Happiness Index)
* ความเร็วจาก Idea → Delivery → Feedback Loop
====
🧠 4. Design Your Own Agile System – ไม่ต้องใช้ Scrum ก็ Agile ได้!
Framework มีไว้เริ่มต้น...แต่การเติบโตต้องออกแบบเอง
นี่คือ Checklist ถ้าคุณอยากออกแบบ Agile System ที่เหมาะกับทีมของคุณเอง
✅ คุณต้องการระบบที่ตอบคำถามเหล่านี้ได้?
1. ทีมของคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอะไรต่อ? (Prioritization)
2. ใครตัดสินใจได้? ต้องรอใครไหม? (Autonomy)
3. เราวัดความสำเร็จของแต่ละรอบงานอย่างไร? (Outcome Metric)
4. จะส่งมอบของได้เร็วแค่ไหน โดยไม่ต้อง Burnout? (Sustainability)
5. Feedback จากลูกค้าเข้ามาเร็วพอไหม? (Feedback Loop)
====
🔧 ขั้นตอนการออกแบบ Agile System แบบคุณเอง?
1. Audit Ceremonies & Tools
* ประชุมอะไรที่ควรตัด? Tool อะไรที่ไม่จำเป็น?
* ทำ Time Audit ของสัปดาห์ทีม → ตัดทิ้ง 20% ทันที
2. Define Success Metric
* ตั้ง KPI ที่วัดได้เชิงคุณค่า เช่น % User ใช้งาน, Time to Value, Recovery Time
* หยุดใช้ Velocity หรือ Story Point เป็นตัววัดผลหลัก
3. Design Loop ของทีมเอง
* วาง Flow ง่ายๆ เช่น Plan → Build → Demo → Measure → Learn
* อย่าติดกับ Sprint 2 สัปดาห์ถ้ามันไม่เหมาะ
4. ทดลอง ปรับ และเปิดใจ
* ใช้ Retrospective เป็น “Design Feedback” ไม่ใช่แค่แชร์ความรู้สึก
* ถามทีมเสมอว่า "เราจะทำให้มันดีขึ้นอย่างไร" ไม่ใช่ "ผิดตาม Scrum Guide ตรงไหน"
====
✨ วิธีการเดิมๆ ต้องปฏิวัติ!
Scrum ไม่ใช่ศัตรู — แต่ถ้าเราหลงเชื่อใน Ceremonies มากกว่าการสร้างคุณค่า…เราก็จะตกอยู่ในวังวนของ Framework โดยลืมเป้าหมาย
Tech Giants ไม่ได้เลิก Agile — แต่พวกเขาเลิก Agile แบบทำไปตามๆ กัน และออกแบบระบบให้เหมาะกับบริบทของตนเอง
📌 แล้วคุณล่ะ พร้อมจะ Design Agile System ของคุณเองหรือยัง?
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#DesignYourAgileSystem
#Agileไม่ใช่Scrum
#BeyondScrum
#BeingAgileNotDoingAgile
#OutcomeOverOutput
#TechLeadership
#DevCulture
scrum
agile
เทคโนโลยี
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย