8 ส.ค. เวลา 07:34 • การเมือง

แผ่นดินของเรา Season 2 EP.6

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความหรือนิยายต่อๆไป
"สภ.ถูกทำลายไปแล้ว สารวัตรจะทำยังไงดีครับ" พันโท อิน ตา ผู้นำกองกำลังเชียงหลวงเสรี " ผมว่าเราอาจต้องหาที่หลบภัยไปจนกว่า สภ.เเห่งใหม่จะสร้างเสร็จ" ทหารเชียงหลวงทั้ง 4 นายที่ย้ายมาเข้าข้างทหารไทยเดินมาพบหัวหน้าของพวกเขา "ผู้พันครับ ดูนี่สิครับ" ทหารนายหนึ่งนำไอแพดมาโชว์ภาพที่ไม่ได้ทำโดย AI มันเป็นภาพจริง
"นี่คือภาพที่ทหารไทยนายหนึ่งแฝงตัวเข้าเป็นสายลับ นำมาเปิดเผย เป็นภาพทหารไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันทั้ง 10 นายจากฐานปฏิบัติการณ์บนดอยช้างมูบ ขณะนี้ถูกทหารฝ่ายเผด็จการควบคุมตัวไว้ในพื้นที่รัฐแดนไพร ต่อไปอาจมีทหารนายอื่นเป็นเชลยถ้าผู้ใหญ่ในกองทัพไทยนิ่งเฉยดูดายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้าว่ากองทัพไทยคงจะล่มสลายเป็นแน่แท้"
พันโท อิน ตา ''ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าในกองทัพภาคที่ 3 จะมีไส้ศึก ไม่ใช่ทหารไทยที่แปรพักตร์ไปอยู่ในดินแดนเชียงหลวง'' "ผู้พันคิดว่าเป็นใครขอรับ" ทหารที่โชว์ภาพผ่านไอแพดถาม "แม่ทัพภาคที่ 3 พลโท ยอดชาย งามวินัย " ผู้พันตอบ
ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 พลโท ยอดชาย งามวินัย  ได้สั่งการให้ตัดหัวทหารไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน แทนที่จะส่งกำลังทหารไทยไปช่วย นี่คือการเปิดเผยธาตุแท้ของทหารกล้าที่ผันตัวมาข้องเกี่ยวกับการกระทำอันป่าเถื่อนของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีการร้องขอกำลังเสริมจากหน่วยอื่น ไม่มีการตอบโต้ขั้นรุนแรงจากหน่วยในพื้นที่คล้ายกับชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อ 10 ปีก่อน นี่คือหนอนบ่อนไส้ที่กำลังทำร้ายความเชื่อมั่นของกองทัพไทย
วันต่อมาขณะท่านกำลังจะออกเดินทางไปที่ประเทศเชียงหลวงหลังจากที่ลาออกจากราชการเพราะไม่อยากให้การปฏิบัติราชการของท่านมีมลทินจึงต้องหนีออกไป ต่อมารถเบนซ์ของท่านที่ขับโดยนายทหารคนสนิทประสบอุบัติเหตุจนท่านเสียชีวิต
นี่คือการปิดฉากแม่ทัพผู้ทรยศชาติบ้านเมือง
ต่อมาผู้บัญชาการทหารบกจึงแต่งตั้งพลโทปิติศักดิ์ ชอบวิจิตร เพื่อนสนิทของพลตรี ณเดชน์ วีระชัยศักดิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 คนใหม่
พลโทปิติศักดิ์มีนิสัยคล้ายกับพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่เกษียณไปเมื่อ 10 ปีก่อน จากที่เคยเป็นพันเอกจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษในสงครามเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนี้เลื่อนยศใหม่และได้ตำแหน่งใหม่แล้ว "ว่าไงแม่ทัพ ผมไม่ได้พบคุณมานานหลายปีแล้ว" ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 โทรคุยกับแม่ทัพภาคที่ 3 คนใหม่
"สถานการณ์ในพื้นที่เป็นยังไงบ้าง" ท่านแม่ทัพโทรคุย "มีกระสุนปืนใหญ่ตกใส่บ้านเรือนประชาชนจำนวนมาก แถมยังมี BM-21 ยิงเข้ามา ผมไม่พอใจที่พวกมันจงใจพรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปถึงขนาดนี้"
ท่านแม่ทัพคนใหม่คุยผ่านโทรศัพท์ต่อ "เดี๋ยวผมจะขอกำลังพลจากส่วนกลางมาช่วยคุณ ต่อจากนี้ไปผมเชื่อว่าทหารไทยทุกนายจะต้องทำหน้าที่สุดความสามารถ เพื่อให้ประเทศไทยของเรามีที่ยืนเพื่อคนรุ่นต่อไป ไม่ว่าจะดีหรือร้ายทหารไทยทุกนายจะต่อสู้จนเลือดเนื้อหยดสุดท้าย ผมในฐานะทหารคนหนึ่งก็พร้อมจะทำหน้าที่แม่ทัพเพื่อรักษาบ้านเมืองและประเทศชาติต่อไป ต่อให้ผมถูกข้าศึกจัดการ แผ่นดินของเราจะต้องมีอยู่ต่อไปนับจากนี้"
ท่านแม่ทัพพูดต่อในฐานะเพื่อนไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา "ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน นี่เป็นสงครามใหญ่อีกครั้งที่ผมจะต้องช่วยคุณรบ คราวก่อนผมส่งทหารหมวกแดงไปภูมะเขือ รอบนั้ผมคงจะต้องส่งไปภาคเหนือเพื่อช่วยเพื่อนรุ่นเดียวกัน" "ไม่เป็นไร ผมเข้าใจว่าเพื่อนร่วมรงบมันย่อมมีในทุกสมรภูมิ ความสัมพันธ์เราสองคนตัดไม่ขาดอยู่แล้ว"
ในวันเดียวกันเวลา 17:45 น.ทหารเชียงหลวงบุกโจมตีหมู่บ้านหนองไทร ทหารไทยทั้ง 6 นายรวมถึงพันโทชาติไทย กิจมั่นคง ยิงปืน M16 ปะทะจากในบังเกอร์ที่ตั้งอยู่ในกองบัญชาการขนาดเล็กใกล้กับหมู่บ้านดังกล่าว
พันโทชาติไทยยิงปืน M16 ตอบโต้สวนกระสุนปืนอาก้าที่ทหารข้าศึกยิงเข้ามา จากนั้นเขาวิ่งออกไปยิงจัดการแบบไม่กลัวตาย ทหารไทยและทหารเชียงหลวงยิงตอบโต้กันไปมาทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีชาวเขาจำนวนมากหนีตายราวกับฝูงผึ้งแตกรัง แม้แต่โครงการหลวงในพื้นที่ต้องหยุดชะงักจากการปะทะอย่างหนัก
เขาสั่งให้ทหารทุกนายยิงสู้ต่อไปเพื่อรักษาฐานที่มั่นไว้ไม่ให้แตก แต่นี่มันเกินกำลังที่จะรับไหว ในสถานการณ์เช่นนี้เขารู้ดีว่าไม่มีทางหนี ถ้าหนีเท่ากับกำลังจะทำให้หมู่บ้านหนองไทรกลายเป็นพื้นที่ข้าศึก มีทหารเชียงหลลวงนายหนึ่งยิง RPG เข้ามา เขาจึงกระโดดหมอบ แล้วจับปืน M16 ยิงใส่ทหารนายนั้นจนเสียชีวิต
ในขณะเดียวกันเสียงการปะทะกระจายไปถึงร้อยโทบัญญัติ อินทรฤทธิ์ นายทหารหนุ่มในชุดลายพรางดิจิตอลสีเขียวพร้อมลูกน้องจำนวน 12 นายวิ่งตามเสียงปืนเสียงระเบิดไป
ท่ามกลางสมรภูมิเดือดใกล้หัวค่ำ ทหารไทยหน่วยของผู้พันชาติไทยพยายามรักษาหมู่บ้านหนองไทรเต็มที่ แม้จะเสียไปเท่าไหร่ทหารไทยยังยืนคำเดิมว่าจะทำหน้าที่นี้ต่อไป ต่อให้ถูกระเบิดทำให้พิการหรือเสียชีวิต ทหารไทยจะยังอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ ณ หมู่บ้านเล็กๆในพื้นที่ป่าใหญ่แห่งนี้ ทหารกล้าผู้มีหัวใจนักสู้อันยิ่งใหญ่กำลังยิงตอบโต้อย่างหนักหน่วงกับผู้รุกราน
ทันใดนั้นเอง ร้อยโทบัญญัติ อินทรฤทธิ์ ทหารบกหนุ่มชาวโคราช นำปืน M16 ที่เขาพกพามายิงจัดการทหารเชียงหลวง
ในหมู่บ้านกลางป่าที่ถูกเรียกว่าสมรภูมินรก
หมวดบัญญัติใช้ปืน M16A1 ยิงออกมาจากหลังพุ่มไม้ ในนาทีนั้น ภารกิจเดียวที่เขาทำนั้นคือ ช่วยผู้พันชาติไทยออกมาให้ได้!
ในขณะหน่วยของพระเอกถูกปิดล้อมจากด้วยเสียงระเบิดและเสียงปืนจนไร้ทางออก เขาสั่งให้ทหารไทยกระจายกำลังเข้าจัดการตามยุทธวิธีกองโจรที่ฝึกมา
แล้วเขาวิ่งฝ่าดงระระเบิดเข้าไปช่วยผู้พันชาติไทยนายทหารรุ่นพี่
เมื่อประคองผู้พันออกมาได้เขากลับถูกจรวด BM-21 2 นัดตกใส่แต่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะมีพระห้อยคอคุ้มครอง ทหารของผู้หมวดบัญญัติใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้จนกระทั่งทหารข้าศึกถอยร่นออกไป ร้อยโทบัญญัติและพันโทชาติไทยพร้อมด้วยทหารที่รอดชีวิตหาทางออกจากหมู่บ้านหนองไทร เนื่องจากข้าศึกรู้ตำแหน่งที่ตั้งแล้ว
แม้จะจบการโจมตีจากทหารภาคพื้นแต่จรวด BM-21 ยิงเข้ามาเรื่อยๆทำให้ทหารไทยต้องผจญกับความลำบากในการเอาชีวิตรอด ฤทธิ์ของจรวด BM-21 ทำให้ต้นไม้ต้นใหญ่ล้มลงมาจะทับร่างผู้หมวดชาวโคราชและผู้พันฉายาวีรบุรุษภูมะเขือ ดีที่รอดมาได้ พวกเขากระโดดหลบทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้
อีกฟากหนึ่งกองพันรถถังของฝ่ายเชียงหลวงเคลื่อนตัวออกจากแนวไม้ตามหลังกำลังทหารราบกระบอกปืนใหญ่หันส่ายช้า ๆ มายังพื้นที่กองกำลังเชียงหลวงเสรี พร้อมยิงกระสุนแรงสูงตูมตามเข้าใส่ ในขณะเดียวกันทหารที่แปรพักตร์ไปอยู่กับฝ่ายไทยได้ยิงตอบโต้กลางป่าในรัฐตะวัน แรงระเบิดส่งผลให้ทหารที่ยิงตอบโต้กระเด็นกระดอน
“ขอการสนับสนุนจาก Gripen ! ขณะนี้เราไม่ไหวแล้ว!” ทหารฝ่ายเชียงหลวงเสรีว.บอก Gripen ให้บินมาสนับสนุนพวกเขา
ระหว่างที่ฝุ่นควันลอยคลุ้ง เสียงปืน M16 ที่ฝ่ายไทยให้กองกำลังของพันโท อิน ตายังคงดังลั่นป่าพร้อมด้วย RPG ยิงตอบโต้รถถัง
ในที่สุดทหารอากาศไทยก็บินลงมาทำการบินโฉบในความสูงต่ำพร้อมด้วยโซนิคบูม กริพเพ่นทั้ง 2 เครื่องที่บินไปทิ้งระเบิดโรงงานยาเสพติดใกล้กับชายแดน มาบินกดดันเพื่อให้ทหารฝ่ายข้าศึกออกจากพื้นที่การรบ ในขณะเดียวกันทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (SEAL) จำนวน 9 นาย ได้ใช้ RPG และ M16A4 ยิงสนับสนุนหลังจากที่แฝงตัวหาข่าวในประเทศนี้มาหลายเดือน
หน่วย SEAL ไม่ได้ใส่เครื่องแบบลายพรางของราชนาวีไทย แต่ใส่ชุดทหารเชียงหลวงที่มีสีพรางคล้ายชุดทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯยุคสงครามเย็น
แม้เครื่องแบบจะไม่ใช่ทหารไทย แต่มันก็แสดงให้ข้าศึกเห็นถึงการ tag team ของทหารทั้ง 2 ฝ่ายในการจัดการฝ่ายข้าศึกได้เป็นอย่างดี
สงครามเข้าสู่สัปดาห์ 2 แล้ว ณ ขณะนี้บนท้องฟ้าไทยยามค่ำคืน กองทัพอากาศส่งฝูงบินรบนำโดยเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F จำนวน 4 เครื่อง ตามมาด้วยเครื่องบินโจมตี AT-6TH จำนวน 4 เครื่อง สำหรับการบินโจมตีที่ตั้งขีปนาวุธ BM-21 และปืนใหญ่ที่ยิงเข้ามาในฝั่งไทย
ครั้งนี้ Gripen กลับมาทำสงครามใหญ่อีกครั้งในรอบ 10 ปีนั่นคือการบินไปรบกับกัมพูชา มารอบนี้เป็นครั้งแรกที่ฝูงบิน Gripen E/F บินมารบที่ชายแดนเป็นครั้งแรก
เมื่อเทียบกับ Gripen C/D รุ่นใน Season แรก สำหรับ Gripen E/F มีลำตัวเครื่องบินใหญ่ขึ้น ทำให้บรรจุเชื้อเพลิงได้มากกว่าเดิมถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เครื่องยนต์ General Electric F414 ที่ทรงพลัง
รวมถึงจุดยึดอาวุธและถังเชื้อเพลิงสำรอง อีก 10 จุด ห้องนักบินได้รับการปรับปรุงระบบเดินอากาศ ระบบอาวุธ และระบบเรดาร์ใหม่ทั้งหมด จอแสดงผลแบบ Wide Area Display (WAD) จอเดียว แทนที่จอแสดงผลแบบแยกกันสามจอใน Gripen C/D รุ่นเดิม
นอกจากนี้ Gripen E/F ยังสามารถบรรทุก ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกล MBDA Meteor สูงสุด 7 ลูก มีเรดาร์ AESA (Active Electronically Scanned Array) รุ่น Leonardo ES-05 Raven และเซ็นเซอร์ติดตามและค้นหาเป้าแบบอินฟราเรด รุ่น Leonardo Skyward G (IRST) ติดตั้งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EWS) แบบใหม่ของ Saab ซึ่งมีระบบเตือนขีปนาวุธเข้าใกล้ (MAWS) แบบทรงกลม 360 องศา สามารถติดตั้งขีปนาวุธและระเบิดของกองกำลังนาโต
รวมถึงอาวุธของโลกตะวันตกได้หลากหลายประเภท เช่น : IRIS-T, AIM-9 Sidewinder, A-Darter, MBDA Meteor, AIM-120 AMRAAM, MBDA MICA, AGM-65 Maverick, KEPD 350, RBS-15F, GBU-12 Paveway II, Mark 82, GBU-39 ระเบิดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก
ทั้งนี้ Gripen E/F สามารถใช้ทางหลวงเป็นรันเวย์เพื่อบินขึ้น หรือร่อนลงจอด ด้วยระยะทางวิ่งที่สั้นกว่า และลงจอดบนพื้นที่ชื้นแฉะได้ ที่สำคัญคือ Gripen E/F สามารถปฏิบัติการรบได้อย่างยืดหยุ่น ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก มีความน่าเชื่อถือสูงและต้องการโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนน้อยที่สุดในกลุ่มเครื่องบินรบยุคใหม่ ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ ทำให้ Gripen E/F เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของไทย
หมู่บิน Gripen E/F ทั้ง 4 เครื่องทิ้งระเบิด Mk. 82 รุ่นติดปีกหรือที่เรียกว่า KGGB ใต้ปีกข้างละลูกใส่ BM-21 และปืนใหญ่ในพื้นที่เชียงหลวงโดยไม่ต้องบินเข้าไปโจมตีจนถูกยิงตก
ในณะเดียวกัน เครื่องบินโจมตี AT-6TH บินเข้ามาต่ำๆเหนือพื้นที่ข้าศึก เพื่อโจมตีกองบัญชาการทหารฝ่ายข้าศึกที่ยิงถล่มประชาชนชาวไทย นี่เป็นการปิดการสั่งการของฝ่ายตรงข้ามเพื่อไม่ให้บ้านเรือนประชาชนในแนวหลังถูกทำลายย่อยยับ
สำหรับเครื่องบิน AT-6TH ที่มีบทบาทในการรบครั้งนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภารกิจ ได้แก่ การบินสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด (Close Air Support) ,ผู้ควบคุมอากาศยานหน้า (Forward Air Control-Airborne) ,การลาดตระเวนรบติดอาวุธ (Armed Reconnaissance) , การโจมตีทางอากาศ (Air Strike) , การเฝ้าระวัง การข่าวกรองและการลาดตระเวน (Surveillance and Reconnaissance : ISR)
,การบินค้นหาช่วยชีวิตในพื้นที่การรบ (Combat Search and Rescue) , การสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัย (Disaster Area Imagery) ,การถ่ายภาพภัยพิบัติ (Disaster Area Imagery) ,การสนับสนุนปฏิบัติการบินควบคุมไฟป่า และบูรณาการความร่วมมือในการสนับสนุนการป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์แห่งชาติกับหน่วยงานอื่นๆ
ค่ำคืนนี้จะเป็นการบินจัดการ BM-21 และกองบัญชาการข้าศึกในพื้นที่ป่าอันเงียบสงัดเป็นครั้งแรก ข้าศึกมองไม่เห็นไฟจาก AT-6TH เพราะนักบินไทยไม่เปิดไฟรอบลำตัวเครื่องบินให้เห็น ถ้าเปิดอาจเป็นสิ่งล่อแหลมขีปนาวุธประทับบ่าหรือ MANPADS จนเป็นถูกยิงตก อีกทั้งด้วยความเป็นป่าทึบจึงไม่สามารถยิงปืนขึ้นฟ้าใส่เครื่องบินไทยได้
บัดนี้ AT-6TH ทั้ง 2 เครื่องบินปักหัวลงมา นักบินไทยบินเข้ามาใกล้พื้นที่เป้าหมายแล้วหย่อนระเบิดใส่กองบัญชาการอย่างแม่นยำจนทหารข้าศึกต้องหนีตายไม่กลับมาอีกเลย ส่วน BM-21 ถูกทำลายเมื่อเครื่องบินโจมตี AT-6TH บินปักหัวลงมาใช้ระเบิด Mk.82 รุ่นโบราณไม่ติดปีก
หย่อนใส่ระบบขีปนาวุธจนใช้การไม่ได้
เช่นเดียวกับทหารไทยและตำรวจตระเวนชายแดนที่จัดกำลังเข้าปะทะและเคลียร์พื้นที่ ค่ำคืนนี้ดินแดนข้าศึกเต็มไปด้วยเปลวไฟสีส้มปรากฎให้เห็นกับตาจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง นี่ไม่ใช่ไฟป่า นี่คือสงครามจริงของทั้ง 2 ชาติ
ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง ผู้บังคับฝูงบิน Gripen E นาวาอากาศโทมานะ บุญมี ฝาแฝดคนพี่ของสารวัตรแสงทอง จับคันบังคับเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5
เขากดปล่อยบั้งไฟพิสัยไกล Meteor ทะลุอากาศออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียงชน J-10 ที่กำลังไล่ตาม AT-6TH แต่ทว่ามีเครื่องบินแบบหนึ่งบินหลบมาได้
ผู้ฝูงมานะขับ GRIPEN สู่สมรภูมิอีกครั้งในรอบ 10 ปี ทันใดนั้นเองผู้ฝูงกริพเพ่นล็อกเป้า J-10 อีกเครื่อง แต่ทว่ามีขีปนาวุธ PL-15 ยิงสวนมาด้วยสัญชาตญาณความเป็นนักบินรบ จึงพลิกเครื่องหลบอย่างรวดเร็วแล้วปล่อยแฟลร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจรวดจีนที่เคยเล่นงานราฟาลอินเดีย ยังไม่ทันจะบินเข้ามาใกล้ก็โดนกริพเพ่น E สอยร่วงไปจนไม่มีทางจะต่อกรได้อีกเลย
ขณะนี้กริพเพ่นทั้ง 4 เครื่องจากฝูงบิน 102 กองบิน 1 โคราชเข้าสู่การรบทางอากาศจริงครั้งแรกต่อจากกริพเพ่นฝูงบิน 701 ที่เขาเคยบินเมื่อ 10 ปีก่อนขณะนี้นาวาอากาศโท มานะ บุญมี "LASER" ยอดนักบินกริพเพ่น E แห่งกองทัพอากาศไทยได้รับการติดต่อจากภาคพื้นว่า ขณะนี้มี J-10 กำลังบินขึ้นมาอีก 4 เครื่อง เพื่อหวังจะเด็ดปีก กริพเพ่น E ไทย
และแล้ว J-10C บินพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียงเกือบชน กริพเพ่น E ของนาวาอากาศโทมานะ จากนั้น J-10 ไล่ตามล็อกเป้าใส่ผู้ฝูงมานะทันที เขาไต่ระดับจากนั้นตีวงเลี้ยวด้วยแรง G จนเขาเกือบหมดสติ
เมื่อนั้น Gripen E เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายไล่ล่า ผู้ฝูงมานะกับ Gripen E คู่ใจของเขาบินเฉียดไหล่เขาไล่ตามเครื่องบินรบฝ่ายเชียงหลวง ที่พยายามพุ่งบินผ่านร่องลึกที่อยู่ระหว่างภูเขาอันสูงชัน
มานะ นักบินกริพเพ่นไทย 2 สมรภูมิไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือเขากด Afterburner เต็มพิกัด ไล่จี้ท้าย J-10 อย่างไม่ลดละราวกับจะแซงให้ได้
เขาพึมพำในหน้ากากออกซิเจน ก่อนสั่งระบบ HUD ล็อกเป้าด้วยสายตาผ่าน Helmet Cueing System
อีกไม่นานก็จะจัดการเครื่องบินขับไล่ของศัตรูได้แล้ว ทันใดนั้นเองเขาก็ลั่นปืนกล Mauser BK-27 เจาะปีกซ้ายของ J-10 อย่างแม่นยำ
จนปีกหักกลางอากาศร่วงลงสู่พื้นข้างล่างจนเกิดประกายไฟขนาดใหญ่
ผู้ฝูงมานะกระชากคันบังคับให้กริพเพ่นของเขาไต่ระดับไปหาหมู่บินรบทันใดนั้นเอง เขาก็เห็น F-16 พระรองบินมารอบนี้ไม่ใช่ F-16 จากโคราชที่บินมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อร่วมรบกับทหารไทยในครั้งนี้ แต่เป็น F-16 จำนวน 8 เครื่องที่บินตรงมาจากสนามบินตาคลี พร้อมด้วย Gripen ที่เคยรบกับกัมพูชาและ Gripen E/F ที่มาใหม่ฝูงละ 4 เครื่องแทนที่จะเป็น AT-6TH
(To Be Continue)
ภาพประกอบและข้อเสริมในนิยาย
Sitthipong Charoenphan
Chittapon Kaewkiriya
ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 3
AAG_TH บันทึกประจำวัน
Thairath Online
PPTV
เรียบเรียงโดย : แดง ภูมะเขือ
โฆษณา