9 ส.ค. เวลา 16:17 • การเมือง

ตาคลีแดนหัวใจ EP.1

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความหรือนิยายต่อๆไป
สำหรับนิยายเรื่องตาคลีแดนหัวใจทีแรกจะทำเป็นนิยายเรื่องเดียวจบ แต่เนื่องมาจากสถานการณ์ที่ทุกท่านก็ทราบกันดี ผู้เขียนเลยขอปรับเนื้อเรื่องบางส่วนให้มีเหตุการณ์ตรงกับแผ่นดินของเราทั้ง 2 season โดยคงบทตัวละครเดิมไว้ มีการเพิ่มตัวละครใหม่ๆเข้ามา แล้วมีการเพิ่มความยาวตอนเป็น 15 ตอนตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับแผ่นดินของเราทั้ง 2 season ท่านใดยังไม่ได้ติดตามสามารถย้อนไปอ่านตอนที่ 1 ของ season แรกมาจนถึง EP. ปัจจุบันได้ครับ
เรื่องตาคลีแดนหัวใจเดิมทีจะใช้ชื่อว่าแผ่นดินของเรา Season 3 แต่เนื่องจากบทบาทหลักจะให้ F-16 มีบทเด่น ชื่อนิยายก็วางแพลนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วจึงขอใช้ชื่อนี้แทน เรื่องนี้จะขอเน้นบทเด่นไปที่ฉากพระเอกของเรื่องคือนาวาอากาศโทพิศาล เตชะอำพล ผู้บังคับฝูงบิน 403 "AMERICA" พร้อมด้วยนาวาอากาศโทพีรสันต์ กมลเวชช์ หรือ "EVIL" ในตอนที่แล้วใส่ยศผิดก็ขออภัยด้วยสำหรับยศของพระรองที่ขับเอฟ-16 ในภาคนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันได้ครับ
หลังจากที่กองทัพเชียงหลวงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่มีขึ้นก่อนหน้านี้ 24 ชม.ในช่วงสายของวันที่ 28 เมษายนพ.ศ.2578 สงครามก็ได้วนกลับมาอีกครั้งนาวาอากาศโทพีรสันต์ กมลเวชช์ รองผู้บังคับฝูงบิน 403 พักผ่อนและเยี่ยมคุณแม่ชาวกัมพูชาที่ป่วยได้ 3 วันก็ต้องเดินทางออกจากเชียงรายไปนครสวรรค์ เพราะภารกิจใหม่มาเยือนเเล้ว
ณ ที่แห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านลายลูกไม้สีม่วงที่หน้าต่างเข้ามาในห้องนอน ก่อเกิดเป็นริ้วลายที่เคลื่อนไหวไปตามการพัดของลม มันเป็นภาพที่สวยงามและอบอุ่นอย่างประหลาดสำหรับหญิงสาวชาวกรุงวัย 36 ปีรูปร่างเพรียวบางและหุ่นดีที่คุ้นชินกับแสงสีของเมืองใหญ่นามว่า "พรรณวิภา สันติคุ้มครองไทย"
เธอนั่งอยู่ตรงนั้นที่เก้าอี้ไม้และโต๊ะไม้ตัวเก่าริมหน้าต่าง ในชุดสบายๆ ท่อนบนใส่เสื้อยืดสีขาวบางเบาที่ไม่คลุมสะโพก กับกางเกงในสีน้ำเงินเข้มที่ดูตัดกันอย่างลงตัวกับผิวขาวนวลของเธอ แก้วกาแฟร้อนๆที่อยู่ในมือส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วห้อง เธอจิบมันอย่างช้าๆ รับรู้ถึงความขมปนหวานที่ปลุกให้ประสาทสัมผัสทุกอย่างตื่นขึ้น
รอยยิ้มบางเบาประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ ดวงตาที่จับจ้องไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างไม่ได้มีร่องรอยของความเศร้าหรือความเหงาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความสุขที่เรียบง่ายและความพึงพอใจ เธอนึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาที่อยู่กับนาวาอากาศโทพิศาล เตชะอำพล "AMERICA" นึกถึงความอบอุ่นที่ผู้ฝูงพิศาลเคยมอบให้ และนึกถึงความรู้สึกเป็นอิสระที่เธอได้รับจากบ้านหลังนี้
เธอวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะไม้คู่กับจานใส่ขนมปังนุ่มๆที่รับประทานไปก่อนหน้านี้ แล้วจากนั้นเธอยื่นมือออกไปสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาในห้อง มันเป็นความรู้สึกที่สดชื่นและทำให้เธอมีพลัง ราวกับว่าแสงแดดนั้นได้ส่งต่อความอบอุ่นของเขามาให้เธอด้วย เธอหลับตาลงรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่อัดแน่นอยู่ในใจ และแม้จะไม่มีนักบินเอฟอยู่ข้างๆ ในตอนนั้น เธอก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอรู้ดีว่าหัวใจของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความสุขอย่างเต็มเปี่ยม
เสียงนกร้องพร้อมด้วยเสียงจิ้งหรีดในยามเช้าเป็นบทเพลงกล่อมใจที่ไพเราะที่สุดสำหรับพรรณวิภา หญิงสาวผู้นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ปล่อยให้แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้อง เธอยังคงสบายใจไม่ใช่เพราะเสื้อยืดสีขาวบางเบาที่ไม่คลุมสะโพกกับกางเกงในสีน้ำเงินเข้มที่ใส่ประดับร่างกายในวันนี้หลังจากอาบน้ำสำหรับพักผ่อนในยามเช้า
แต่เป็นเพราะเธอสบายใจที่เขาให้ความอบอุ่นกับเธอ แม้จะมีครั้งหนึ่งหลังจากที่จบจากโรงเรียนการบินแล้วเธอไปเรียนต่อเมืองนอก เธอก็ยังคงส่งความคิดถึงถึงเขาเสมอราวกับว่าเขามีเธอเป็นดั่งแสงอาทิตย์ยามเช้า ขณะทีืเธอกำลังดื่มด่ำกับกาแฟร้อนๆไม่ใส่น้ำตาล ในมือพร้อมกับทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างของบ้านพระเอก
อันที่จริงบ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่บ้านของพระเอกแต่เป็นบ้านของพลเอก ฐิติรัตน์ เตชะอำพล คุณพ่อบุญธรรมของพระเอก ท่านเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกและหลังจากเกษียณอายุราชการในปีพ.ศ.2572 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิอยู่เพื่อแผ่นดินทำหน้าที่บริจาคสิ่งของช่วยเหลือทหารไทยในสงครามช่วงนี้ที่หาทางยุติไม่ วันนี้ท่านไม่อยู่บ้านเพราะท่านขึ้นเหนือไปเชียงใหม่ ส่วนภรรยาของท่านก็เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้
ทันใดนั้นเองดวงตาของเธอจับจ้องไปยังท้องฟ้าสีฟ้าครามที่ปราศจากเมฆหมอก มันเป็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และสวยงามอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนหลังจากเธอกลับมาเยือนเมืองไทยได้ 3 ปี แต่แล้ว... เสียงคำรามที่คุ้นเคยและทรงพลังก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาอีกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว
วินาทีนั้นเอง เจ้าของเสียงดังราวกับฟ้าร้องเป็นเครื่องบินขับไล่ F-16A MLU ทั้ง 2 เครื่องจากฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลีก็พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว รูปทรงที่ดุดันและทรงพลังของมันตัดกับท้องฟ้าที่สวยงามอย่างชัดเจน มันเป็นภาพที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความงดงามของธรรมชาติและความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีในเวลาเดียวกัน
เธอยิ้มให้กับตัวเองอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ยิ้มเพราะมีกระจกอยู่ข้างหน้า ความคิดถึงเขาแล่นเข้ามาในหัวอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอคิดถึงคำพูดที่เขาเคยบอกเธอว่า " ติดใจกว่า F-16 ก็คือติดใจคุณคนเดียว" จากนั้นภาพ Flashback ก็ตัดไปเป็นภาพสมัยที่นาวาอากาศโทพิศาล เตชะอำพล ยังไม่ได้เป็นผู้บังคับฝูงบิน 403 ในวันนี้ที่เธอเห็นเขาบินผ่าน ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนการบินกำแพงแสน
วันนั้นเธอจำได้ว่าไปดูงานวันเด็กปีพ.ศ. 2566 แล้วก็เห็นเขาเดินลงมาจากเครื่องบินหลังจากแสดงการบินเขาก็เดินมาทักทายเเละเเจกของแก่เด็กๆรวมถึงผู้ใหญ่ เธอก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับของที่ระลึกจากนักบินคนนั้น
หลังจากนั้นกัปตันพิศาลก็มาพบกับพรรณวิภาเป็นครั้งที่ 2 ขณะที่มอเตอร์ไซค์ของเธอสตาร์ทไม่ติดเขาเลยโทรศัพท์หาช่างที่รู้จักในนครปฐมมาช่วยนำมอเตอร์ไซค์ของเธอไปซ่อม พอมีสงครามไทย-กัมพูชาเมื่อ 10 ปีก่อนเขาไปเป็นนักบิน F-16 อยู่ที่โคราช ส่วนเธอก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศจึงมีการติดต่อกับเขาผ่านแชต จนกระทั่งมาถึงวันที่เขากับเธอพบกันอีกครั้งที่โคราชในปีพ.ศ.2578 เธอได้พบกับพรหมลิขิตที่หายไปอีกครั้ง
F-16 ที่เธอเห็นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับทำให้เธอรู้สึกมีพลัง ราวกับว่าโลกที่วุ่นวายกำลังดำเนินต่อไป แต่ความรักของเธอกับเขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้... ในบ้านกลางป่าที่สร้างโดยอดีตท่านผบ.ทบ.ให้เป็นบ้านอันอบอุ่นและมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน
พรรณวิภาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะไม้ด้วยรอยยิ้มบางเบา ความรู้สึกอิ่มเอมและสงบสุขทำให้เธอไม่อยากนั่งอยู่เฉยๆ อีกต่อไป เธออยากออกไปสัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าที่แสนสดชื่นภายนอก เท้าเปล่าของเธอสัมผัสกับพื้นไม้ที่เย็นสบาย ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่นไปยังระเบียงไม้บานใหญ่
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบเรือนร่างของหญิงสาววัย 36 ปีหุ่นนางแบบที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวบางเบาและกางเกงในสีน้ำเงินเข้ม เธอไม่ได้รีบร้อนที่จะไปไหน... ไม่ได้มีใครต้องรอคอย... เธอเพียงแค่เดินออกไปรับความสดชื่นของยามเช้าอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
ทันใดนั้นเอง... เสียงคำรามที่คุ้นหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอไม่ได้ตกใจ ไม่ได้หันไปมองอย่างรวดเร็วเหมือนครั้งก่อน แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างสงบและยิ้มอย่างอ่อนโยน เป็นของเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้ง 2 เครื่องที่บินผ่านไปบนท้องฟ้าสีครามอีกครั้งในยามเช้าเป็นภาพที่เธอรู้สึกคุ้นเคยแล้วในตอนนี้
เธอยืนนิ่งๆ ริมระเบียงบ้านคนเดียวไม่มีใครนอกเหนือจากหญิงสาวรายนี้ ปล่อยให้สายลมพัดกระทบเสื้อยืดบางเบาที่เธอสวมอยู่ ปล่อยให้แสงแดดอ่อนๆ ลูบไล้ไปทั่วผิวขาวนวลของเธอ เธอมองตาม F-16 ที่บินผ่านไปจนสุดสายตา ก่อนจะกลับมามองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านล่างระเบียงอีกครั้ง เธอรู้สึกว่า F-16 ที่บินผ่านนั้นเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้เธอรู้ว่าโลกภายนอกยังคงหมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่ตัวเธอนั้นยังคงอยู่ที่นี่... ในบ้านที่สงบและปลอดภัยที่สุด
แสงแดดยามเช้าสาดส่องให้ความอบอุ่นแก่นางเอกของเรื่องราวกับว่าเธอไม่ได้อยู่เดียว เธอกำลังถูกใครสักคนโอบกอด เท้าเปล่าสัมผัสกับความเย็นของพื้นไม้ แต่กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นเลยแม้แต่น้อย
พรรณวิภา หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างในชุดลำลองสบายๆ ท่อนบนสวมเสื้อยืดสีขาวตัวบางที่คลุมถึงเพียงสะดือกับท่อนล่างสวมกางเกงในสีน้ำเงินเข้มที่เผยให้เห็นร่างกายช่วงล่างที่ดูงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ
เธอยืนนิ่ง... ทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่และสวยงามเบื้องหน้า แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องกระทบใบหน้าของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจรอยยิ้มบางเบาประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ
ไม่ได้มีร่องรอยของความเศร้าหรือความเหงาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เป็นตัวเองและเป็นอิสระทางใจไม่ต่างจากชุดที่เธอใส่ วันนี้พรรณวิภาได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบและสวยงาม ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุมเธอหายใจเข้าลึกๆ สูดกลิ่นหอมของดินและป่ายามเช้าเอาไว้จนเต็มปอด
ก่อนจะหลับตาลงรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่อัดแน่นอยู่ในใจ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ แม้จะไม่มีใครอยู่ข้างๆ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงของตัวเองแล้ว ได้ค้นพบแล้วว่าความรักเป็นเช่นไร ได้ค้นพบว่านักบินเอฟ-16 คือคนที่อยู่ในใจเธอมาตลอด
ในวันนี้ที่เธอใส่เสื้อยืดสีขาวตัวบางกับกางเกงในสีน้ำเงินเข้ม ไม่ได้สื่อถึงความเซ็กซี่ มันสื่อถึงความสบายใจที่เธอยังมีเขา
เสียงวิทยุคลื่นฝึกซ้อมแทรกขึ้นกลางความเงียบของอากาศเหนือเขตฝึกซ้อม
“AMERICA พี่ถูกล็อกเป้าแล้วครับ!"
จังหวะนั้น บนเรดาร์ HUD ของเครื่องบินขับไล่ F-16 ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี นามเรียกขาน "AMERICA" กลับโชว์สัญญาณเตือนการยิงจำลองด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบ AIM-9 จากเครื่องของนักบินรุ่นน้องที่ใช้นามเรียกขาน “URANIUM”
AMERICA กัดฟันแน่นพยายามเบี่ยงตัวหนีตามสัญชาตญาณ แต่ในการจำลองการรบทางอากาศ ย่อมหนีไม่พ้นการล็อกเป้าเป็นแน่แท้
แม้เขาจะถูก "ยิงตก" ในสนามจำลอง
แต่ภารกิจที่แท้จริงคือการผลักดันให้คนรุ่นใหม่แกร่งพอจะขึ้นมาแทนที่
...และวันนี้ เขาก็พิสูจน์แล้วว่า นักบินคนนั้น... พร้อมแล้ว
ส่วนนาวาอากาศโทพีรสันต์ กมลเวชช์ รองผู้บังคับฝูงบิน 403 "EVIL" กำลังบินไล่ตาม
ท้องฟ้าเหนือชายป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชรไหวระริกจากแรงฉีกอากาศของเจ็ตไอพ่น ความเร็วเหนือเสียงแทบทำให้กิ่งไม้เบื้องล่างกระเพื่อมตาม
เสียงลมหอบผ่านหมวกนักบิน ด้านหน้าคือเป้าเคลื่อนที่เร็วที่กำลังพยายาม “หลุดหนี” ออกจากกรอบล็อกเป้า F-16 ที่บินโดย EVIL พลิกตัวอย่างรวดเร็วกลางอากาศแล้วเบี่ยงหัวไปทางซ้ายกะทันหัน แล้วไล่ตามไปราวกับรถแข่งจะแซงกันในสนามแข่งรถไม่มีผิด
เรืออากาศโทณัฐชนนท์ พอใจ "ODIN" บินเลี้ยวด้วยความเร็วสูงมาอยู่ข้างหลัง EVIL เสียงลมหายใจแรงของนักบินเอฟ-16 นามเรียกขาน ODIN สะท้อนผ่านคลื่นวิทยุ เขาอยู่ในระยะยิงจำลอง พร้อมจะ “กดไก” หากนี่เป็นของจริงอาจระเบิดกลางอากาศไปแล้วก็ได้
ทว่า EVIL กลับพลิกเครื่องออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับจะมุดหนีสู่ใต้ระดับที่เรดาร์ตรวจจับไม่ได้ ป่าด้านล่างในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรซูมเข้ามาใกล้จนเขากำลังจะโหม่งโลก ดีที่เขายังสติ จึงเชิดหัวขึ้นอย่างรวดเร็วไร้ความตื่นตระหนก
EVIL ยังคุมได้มั่นคง... แต่จังหวะวูบเดียวของการหักหลบที่ไม่เด็ดขาด ทำให้ ODIN ตีโค้งแคบหักกลับไล่ตามทันอีกครั้ง
“จบแล้วครับพี่ Fox 2… Kill!”
ภายในห้องนักบิน EVIL ที่เป็นนักบินรุ่นพี่ระบายลมหายใจพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดันคันบังคับขึ้นช้าๆ พาเครื่องไต่ระดับออกจากความอึดอัดของยอดไม้
จากนั้นเอฟ-16 ตาคลีก็บินหมู่ 4 ในท่า DIAMOND หรือภาษาไทยเรียกว่าท่าบินรูปเพชร นักบินบินเกาะหมู่บนฟ้าราวกับมีเชือกมาขึงเลยทีเดียว ในขณะที่ EVIL ยังคงครุ่นคิดถึงวันที่เขายอมมาอยู่เมืองไทยพร้อมกับลุงชาวกัมพูชาตอนเป็นเด็ก
เขาและคุณลุงแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย ยกเว้นคุณพ่อคุณแม่และน้องชายอีก 1 คนที่ยังถือสัญชาติกัมพูชามาจนถึงปัจจุบัน ตอนนั้นคนในครอบครัวไม่เห็นด้วยที่จะให้ไปขับ F-16 เพราะทางบ้านอยากให้เขาจบมาเป็นหมอ แต่เขาก็ขัดขืนคำพูดที่บ้านจนต้องสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายเรืออากาศ ตามมาด้วยโรงเรียนการบิน
จนได้ทำในสิ่งที่เขารักนั่นคือการบินกับ F-16 ที่ไม่มีประจำการในกองทัพอากาศกัมพูชาเนื่องด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและความสัมพัมธ์ระหว่างประเทศกับสหรัฐอเมริกา สำหรับ EVIL แล้ว F-16 เป็นเครื่องบินที่เขารักมากในบรรดาเครื่องบินที่มีประจำการในกองทัพอากาศไทย ช่วงแรกๆเขามีความกังวลว่าจะต้องจัดการทหารประเทศบ้านเกิด เพราะทหารกัมพูชาก็เป็นประชาชนเหมือนกับเขา แต่เขาจำเป็นต้องทำตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง จึงเป็นเหตุให้เขาต้องเป็นศัตรูกับประเทศบ้านเกิดมาจนถึงทุกวันนี้
ภาพ flashback เมื่อ 10 ปีที่แล้วแวบเข้ามาในหัว วันที่เขากดปุ่มปล่อยระเบิด Mk-82 ลงสู่ฐานปืนใหญ่ของทหารกัมพูชาจากระยะไกล เสียงเตือน ก่อนแรงสะเทือนของเครื่องจะยืนยันว่าระเบิดสองลูกได้หลุดจากปีกไปแล้ว
จากนั้นไม่กี่วินาที กลุ่มควันดำก็พวยพุ่งขึ้นกลางแนวชายแดนและในวินาทีนั้นเอง เขารู้ว่าทหารที่หลบอยู่ใต้เพิงบังเกอร์ข้างล่าง ส่วนมากถือสัญชาติเดียวกับเขาในวัยเด็ก
เด็กน้อยกัมพูชาลูกชาวนาวันนี้เป็นนักบิน F-16 ไทยอย่างเต็มภาคภูมิ เป็นเรื่องแปลกราวกับละครที่ช่วงแรกๆมีเรื่องร้ายๆแต่ช่วงหลังมีเรื่องดีๆเข้ามา
วันนั้นเขาบังคับเครื่องบินขับไล่ F-16 ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราชของกองทัพอากาศไทย ไปทำลาย “เพื่อนร่วมชาติ” ที่เขายอมทำลายด้วยหน้าที่และความคิดหักหลังบ้านเกิดเมืองนอนที่มีตระกูลฮุนเป็นเจ้าของ
เสียงเตือนระดับความสูงจากคอนโซลตัดความคิดนั้นอย่างกะทันหัน เขาดันคันเร่งเพิ่มเล็กน้อย เครื่องบิน F-16 เอนปีกโฉบเลียไหล่ภูเขาก่อนจะมุดเข้าสู่ช่องว่างของหุบลึกแล้วโผล่ออกสู่ท้องฟ้ากว้าง
ท้องฟ้าเบื้องหน้ามีเพียงเส้นทางกลับฐาน แต่ในหัวใจคำว่า “อดีต” ของเขายังคงเบลออยู่เสมอ
(To Be Continue)
Credit ภาพประกอบนิยาย
Tensors.Art
Thaidefensenews
Chaiyapon Meekham
Thairath Online
Matichon
ข่าวสด
NATION
เรียบเรียงโดย : THUNDERBIRD
โฆษณา