10 ส.ค. เวลา 04:12 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Chime: ฟินเทคผู้ท้าทายธนาคารดั้งเดิม และโอกาสใหม่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ในโลกที่การเงินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ง่าย สะดวก และไม่ซับซ้อนในการบริหารเงินของตัวเอง หนึ่งในชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในกลุ่มฟินเทค (Fintech) ของสหรัฐอเมริกาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ Chime Financial, Inc. บริษัทสตาร์ทอัพด้านธนาคารดิจิทัล (Digital Banking) ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 และสร้างเสียงฮือฮาในแวดวงการลงทุน
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จัก Chime อย่างละเอียด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของบริษัท กลยุทธ์ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ผลประกอบการล่าสุด ไปจนถึงการวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนสำหรับการพิจารณาลงทุน
---
1. จุดเริ่มต้นของ Chime
Chime ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดย Chris Britt (อดีตผู้บริหาร Visa และ Green Dot) และ Ryan King (อดีตวิศวกร Yahoo) ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างธนาคารยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง และช่วยให้คนอเมริกันบริหารเงินได้ดีขึ้น
แทนที่จะเปิดสาขาแบบธนาคารทั่วไป Chime เลือกใช้โมเดล Mobile-First โดยทั้งหมดดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันมือถือและเว็บไซต์ ผู้ใช้สามารถเปิดบัญชี เชื่อมต่อบัตรเดบิต และทำธุรกรรมได้ทุกอย่างผ่านช่องทางดิจิทัลโดยไม่ต้องไปสาขา
---
2. การเติบโตและการระดมทุน
ในช่วงเริ่มต้น Chime ใช้เวลาหลายปีในการสร้างฐานลูกค้าและความเชื่อมั่น โดยชูจุดขายหลัก 3 ข้อ:
ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือค่ารักษาบัญชี
ไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้ ATM ภายในเครือข่ายกว่า 60,000 จุด
มีระบบแจ้งเตือนและวิเคราะห์การใช้จ่ายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริหารเงินได้ดีขึ้น
จากจุดขายเหล่านี้ Chime ได้รับการตอบรับที่ดีและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนสามารถระดมทุนจากนักลงทุนชื่อดัง เช่น DST Global, General Atlantic, ICONIQ Capital, Sequoia Capital และ SoftBank Vision Fund มูลค่ารวมหลายพันล้านดอลลาร์
ก่อนจะเข้าตลาด IPO ในปี 2025 Chime เคยมีการประเมินมูลค่า (Private Valuation) สูงถึง 25 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2021
---
3. IPO และการต้อนรับจากตลาดหุ้น
วันที่ 12 มิถุนายน 2025 Chime เปิดขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ $27 โดยเสนอขายรวม 32 ล้านหุ้น (25.9 ล้านหุ้นจากบริษัท และ 6.1 ล้านหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม) และเลือกใช้สัญลักษณ์ "CHYM" ในตลาด Nasdaq
ผลตอบรับเกินความคาดหมาย — ราคาหุ้นเปิดวันแรกที่ $43 และปิดที่ $37.11 เพิ่มขึ้นกว่า 37% จากราคา IPO ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดแตะประมาณ $11.4–13.5 พันล้านดอลลาร์
การเข้าตลาดของ Chime ถือเป็น IPO ฟินเทครายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในปี 2025 และช่วยดึงความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมาสนใจหุ้นเทคโนโลยีด้านการเงินอีกครั้ง
---
4. โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง
สิ่งที่ทำให้ Chime แตกต่างจากธนาคารทั่วไปคือ Chime ไม่ใช่ธนาคารโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานร่วมกับธนาคารพันธมิตร เช่น The Bancorp Bank และ Stride Bank ซึ่งเป็นผู้ถือใบอนุญาตธนาคารอย่างเป็นทางการ
รายได้หลักของ Chime มาจาก Interchange Fees หรือค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าจ่ายให้กับเครือข่ายบัตร (เช่น Visa) และ Chime จะได้รับส่วนแบ่งเมื่อผู้ใช้ทำธุรกรรมผ่านบัตรเดบิตของตน
ข้อดีของโมเดลนี้คือ:
ไม่ต้องรับความเสี่ยงด้านสินเชื่อเหมือนธนาคารดั้งเดิม
ต้นทุนการดำเนินงานต่ำเพราะไม่มีสาขา
สามารถขยายฐานผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วโดยเน้นการตลาดดิจิทัล
---
5. ผลประกอบการล่าสุด (Q2 2025)
หลัง IPO Chime ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2025) ดังนี้:
รายได้: $528 ล้าน (+37% YoY) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ($495 ล้าน)
กำไรขั้นต้น: $461 ล้าน (+38% YoY)
กำไรสุทธิ: มีกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง
สมาชิกที่ใช้งานประจำ: 8.6 ล้านคน
ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร: $32.4 พันล้าน (+18% YoY)
รายได้ต่อสมาชิกเฉลี่ย: $245 ต่อไตรมาส
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า Chime ไม่เพียงแต่เติบโตในด้านผู้ใช้ แต่ยังสามารถเพิ่มรายได้ต่อผู้ใช้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
---
6. จุดแข็งของ Chime
1. ค่าธรรมเนียมต่ำ / ฟรีค่าธรรมเนียม
เป็นจุดขายที่ชัดเจนและตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่
2. ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่ดีเยี่ยม
แอปใช้งานง่าย รวดเร็ว และฟีเจอร์ชัดเจน
3. การตลาดแบบปากต่อปาก (Word of Mouth)
ลูกค้าพึงพอใจและแนะนำต่อ ทำให้ต้นทุนหาลูกค้าต่ำ
4. ต้นทุนโครงสร้างต่ำ
ไม่มีสาขา จึงสามารถทุ่มงบไปที่เทคโนโลยีและการตลาดได้มากขึ้น
---
7. ความท้าทายและความเสี่ยง
1. การแข่งขันสูงในตลาดฟินเทค
คู่แข่งอย่าง SoFi, Revolut, Varo, และธนาคารดั้งเดิมที่เริ่มพัฒนาบริการดิจิทัล
2. ปัญหาด้านบริการลูกค้าและการกำกับดูแล
ในอดีต Chime เคยถูก CFPB สหรัฐฯ ปรับ 3.25 ล้านดอลลาร์ จากกรณีปิดบัญชีลูกค้าโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
3. การพึ่งพารายได้จาก Interchange Fees
หากกฎระเบียบเปลี่ยนหรือมีการจำกัดค่าธรรมเนียม อาจกระทบรายได้โดยตรง
---
8. โอกาสการเติบโต
การขยายบริการสินเชื่อ
ปัจจุบัน Chime ยังไม่มีบริการสินเชื่อเต็มรูปแบบ แต่มีโอกาสขยายไปสู่สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบ้าน
การขยายตลาดต่างประเทศ
แม้จะโฟกัสในสหรัฐฯ แต่ Chime อาจบุกตลาดแคนาดาหรือยุโรปในอนาคต
การเพิ่มบริการด้านการลงทุน
การเปิดตัวแพลตฟอร์มลงทุนหรือซื้อขายหุ้นอาจเพิ่มรายได้และความผูกพันของผู้ใช้
---
9. มุมมองสำหรับนักลงทุน
Chime เป็นบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจคล่องตัว เติบโตเร็ว และมีฐานลูกค้าภักดีสูง ผลประกอบการหลัง IPO แข็งแกร่งและชี้ว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเสี่ยง เช่น การแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ และความพึงพอใจของลูกค้าอย่างใกล้ชิด
---
10. บทสรุป
การเข้าตลาดหุ้นของ Chime ในปี 2025 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของวงการฟินเทคสหรัฐฯ บริษัทได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการธนาคารดิจิทัลสามารถประสบความสำเร็จและทำกำไรได้โดยไม่ต้องมีสาขา และที่สำคัญคือยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด
สำหรับนักลงทุนระยะยาว Chime อาจเป็นหุ้นที่น่าจับตามองในฐานะผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ แต่ก็ต้องคอยติดตามการเติบโตและการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
---
#การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
โฆษณา