14 ส.ค. เวลา 13:00 • หนังสือ

ทักษะชีวิต ของรวิศที่ตกผลึกความคิดในช่วงครึ่งชีวิตที่ผ่านมา

ในรอบปีนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่มีโอกาสเจอพี่แป้ป-รวิศ โดยเป็นการไปฟังพี่แป้ปพูดสองครั้ง และผ่านตัวอักษรในรอบนี้ ต้องบอกเลยว่าประทับในมุมมองของพี่แป้ปทุกๆครั้ง
เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักพี่แป้ปในฐานะที่เป็นผู้พลิกแบรนด์ศรีจันทร์ให้กลับมามีชีวิตชีวา และนำพาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ไทยยกระดับไปสู่ตลาดนานาชาติ พี่แป้ปยังเป็นนักคิด นักเขียนที่แชร์มุมมองเรื่องราวดีๆ อย่างต่อเนื่อง
ผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ด้วยอารมณ์ความรู้สึกของวัยกลางคน ที่ต้องเผชิญเรื่องราวในช่วงวัย ที่ทั้งภาระงาน ความคาดหวังของตัวเราหลายๆอย่างไม่บรรจบสอดคล้องกัน เป็นช่วงเวลาที่เกิดคำถามต่างๆมากมายและรู้สึกอ่อนล้าไม่น้อย
หนังสือพี่แป้ป ไม่ได้เป็น How-to ของการแก้ปัญหานะครับ เพียงแต่เป็นการโอบกอดผู้อ่านและสื่อสารว่า ไม่ได้มีแต่เราคนเดียวที่เจอปัญหานี้
ผมเรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้
1. เราควบคุมทั้งโลกไม่ได้แต่เราฝึกที่จะควบคุมตัวเองได้
เพื่อนๆหลายคนคงเคยดผชิญเรื่องราวทั้งส่วนตัวและเรื่องงานที่ไม่เป็นใจ ซ้ำร้ายบางครั้งปัญหาต่างๆ ยังเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าแก้ไม่ได้ด้วยตัวเองเสียอีก
ผมชอบตอนที่ฝึกให้เราหายใจ และการพยายามเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเรา
ทั้งหมดทั้งหมดก็ย้อนไปที่แก่นของสมาธิ ถ้าเราสามารถเข้าใจสภาวะ อารมณ์ของเราได้ บางครั้งเราจะเห็นเลยว่า เรื่องราวที่เจออาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น
การฝึกการหายใจนอกจากจะช่วยลดความตึงเครียดแล้ว ยังทำให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้ดีขึ้นด้วย เทคนิคที่ผมลองฝึกตามก็คือการหายใจแบบ 4-7-8 คือการหายใจเข้าทางจมูก 4 วินาที ตามด้วยกลั้นหายใจ 7 วินาที และหายใจออกทางปาก 8 วินาที ยังมีการฝึกหายใจแบบอื่นๆอีก เพื่อนๆไปองกันดูนะครับ
นอกจากนี้ถ้าเราสามารถหาวิธีการเติม (re-charge) พลังของเราเจอ มันจะช่วยทำให้เราสามารถรับมือกับเรื่องราวต่างๆที่หมุนเร็วในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพี่แป้ปใช้วิธีการแช่ในถังน้ำแข็งเป็นเวลา 10 นาที ซึ่งพี่แป้ปบอกเลยว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากความเย็น จะช่วยทำให้เราจดจ่อ มีสมาธิมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นทั้งการรีชาร์จและการทำสมาธิไปพร้อมกันที่เดียว
2.เราทุกคนมีสมดุลของชีวิตในแบบของตนเอง
ในช่วงที่หลายๆบริษัทต้องมีการปรับตัว ปรับธุรกิจหลังจากผ่านช่วงโควิด สิ่งหนึ่งที่คนรุ่นใหม่มักถามหาเสมอคือ work life balance ซึ่งแต่ละบริษัทก็เสียงแตกว่า ควรกลับมาออฟฟิศ 100% หรือจะแบ่งอย่างไร
หลายบทความในหนังสือทำให้รู้ว่า เราต้องหาความสมดุลของแต่ละคน แต่ละองค์กรให้เจอ
อย่างสิ่งที่ถ่ายทอดไว้จากการพูดคุยกับกับพี่เล้งที่ว่า “หยินอย่างเดียวก็ไม่โต หยางอย่างเดียวก็ไม่รอด” หยินหมายถึงความสบายๆ ใจดีประนีประนอม ส่วนหยางคือการต่อสู้ไม่ยอมแพ้ ความดุดัน
เราไม่ควรเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งที่สำคัญคือรักษาระดับให้เหมาะสม
มุมมองเก้าอี้ 4 ขาที่ประกอบไปด้วยขาที่หนึ่งเรื่องสุขภาพ ขาที่สองเรื่องครอบครัว ขาที่สามเรื่องเงิน การงาน และขาที่สี่คือความสัมพันธ์กับตัวเอง แต่ละคนไม่จำเป็นที่จะต้องให้ขาทั้งสี่เท่ากันเสมอ แต่ขอให้หาให้เจอว่าทำอย่างไรให้สมดุล เพื่อให้แก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะตัวนี้ไม่ไหลตกมาแตก
3. เราเก่งขึ้นได้ด้วยการเขียน
รัง้งสุดท้ายที่เราเขียนหรือจดเรื่องราวที่กระตุกให้เราสนใจคือเมื่อไรกันนะ?
บางคนอาจจะเมื่อวาน บางคนอาจจะเดือนที่แล้ว?
เรื่องราวการจดบันทึกที่ยิ่งใหญ่คือสมุดบันทึกของดาร์วิน สมุดที่จดในทุกสิ่งที่พบเจอระหว่างการเดินทางไปกับเรือหลวงบีเกิล จดในสิ่งที่สังเกตุเห็น ตั้งคำถาม จดบันทึกดังกล่าวได้กลายเป็นวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่สำคัญเลยที่เดียว
ซึ่งเราทุกคนสามารถสร้างองค์ความรู้ผ่านการจดบันทึกได้
โดยพี่แป้ปให้ 5 ขั้นตอนง่ายๆในการเริ่มเขียนบันทึก คือ 1) เริ่มต้นแบบง่ายๆ ไม่ต้องเขียนยาว เขียนง่ายๆสั้นๆ 2) กำหนดเวลาจดบันทึกที่แน่นอน ทำให้เป็นนิสัย 3) ทดลองรูปแบบต่างๆ หาวิธีเล่าเรื่องหรือบันทึกที่เหมาะกับตัวเอง 4) ทบทวนสม่ำเสมอ อ่านบันทึกเก่าๆ เพื่อติดตามพัฒนาการของตัวเอง 5) ใช้บันทึกเป็นเครื่องมือในการวางแผน เราสามารถใช้บันทึกเป็นเครื่องมือวางแผนอนาคตก็ได้
ก่อนหน้านี้เพิ่งเขียนเรื่องราวที่ไปฟังพี่แป้ปที่งาน creative talk conference เกี่ยวกับการสร้างคุณค่าของตัวเราในโลกยุคเอไอ ใครสนใจตามไปอ่านกันได้นะครับ
เพื่อนๆท่านไหนได้อ่านแล้วชอบบทไหนบ้างลองมาพูดคุยแลกเปลี่ยนนกันนะครับ
One book - ที่ละเล่ม รอบหน้าจะอ่านอะไรมาเล่าให้ฟังคอยติดตามกันนะครับ
โฆษณา