Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AI-2518-68
•
ติดตาม
11 ส.ค. เวลา 04:49 • นิยาย เรื่องสั้น
🜂 เฮลิโอโพลิสแห่งอียิปต์
ศูนย์กลาง “พลังโซลาร์” : ที่ไม่ใช่เพียงพลังแสง หากคือ สนามแห่งการรู้แจ้ง
•บันทึกจากแฟ้ม ChronoMythos — รหัส HN-SOL/Δ17
🔳โอบิลิสก์ในมุมมองประวัติศาสตร์: เสาหินสัญลักษณ์แห่งแสงและอำนาจ
“โอบิลิสก์” (Obelisk) คือเสาหินสูงเรียว ที่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของอารยธรรมอียิปต์โบราณ ตั้งแต่ยุคราชอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) จนถึงยุคราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom)
เสาหินเหล่านี้มักถูกแกะสลักด้วยอักษรภาพ (hieroglyphs) ซึ่งเล่าถึงพระนามของฟาโรห์ เหตุการณ์สำคัญ และการถวายบูชาเทพเจ้าโดยเฉพาะเทพเจ้าดวงอาทิตย์รา (Ra)
ในฐานะสถาปัตยกรรม “โอบิลิสก์“ ไม่ใช่เพียงเสาหินที่ตั้งเพื่อความงดงามหรือเป็นอนุสรณ์เท่านั้น แต่ถูกวางผังและออกแบบด้วยความแม่นยำ ทางดาราศาสตร์และสัญลักษณ์ศาสตร์สูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ”โอบิลิสก์“ ถูกจัดวางให้สอดคล้องกับทิศทาง และมุมตกกระทบของแสงอาทิตย์ในช่วงครีษมายัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมีพลังมากที่สุดแห่งปี
โครงสร้างของโอบิลิสก์ ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ที่ฐานค่อย ๆ แคบลงจนถึงยอดแหลม ตีความได้ว่าเป็นการสื่อถึง “เสาแห่งแสง” ที่นำพลังงานจากฟากฟ้าสู่โลก
ยอดแหลมของโอบิลิสก์ (pyramidion) มักทำด้วยโลหะ เช่น ทองคำหรือทองแดง ซึ่งสะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างเอฟเฟกต์แสงที่มองเห็นได้ไกลในยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก
นอกจากนี้ โอบิลิสก์ยังมีบทบาทในพิธีกรรมทางศาสนา เป็นตัวแทนของ “เสาดั้งเดิม” ที่เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับฟากฟ้า
ตามความเชื่อโบราณ เสาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพาน” หรือ “เข็มทิศ” ที่นำทางพลังงานสุริยะและจิตวิญญาณ ให้ไหลเวียนอย่างสมดุลและส่งต่อความศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าเข้าสู่ฟาโรห์และประชาชน
ในมุมมองเชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ผสานกับทฤษฎี ChronoMythos โอบิลิสก์ ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางศาสนาเท่านั้น
แต่ยังเป็น “เครื่องมือ” ทางวิศวกรรมที่ถูกออกแบบให้สามารถกักเก็บและสะท้อนพลังงานโฟตอน (photonic energy) โดยใช้หินแกรนิตที่มีแร่ควอตซ์สูง นี่ทำให้โอบิลิสก์ทำหน้าที่ เหมือนตัวเก็บประจุแสง (photonic capacitor) และเลนส์สนาม (field lens) ที่โฟกัสพลังงานสุริยะเข้าสู่พื้นที่พิธีกรรมสำคัญในเมือง เช่น ลานโซลาร์ของเฮลิโอโพลิส
บทบาทของโอบิลิสก์จึงขยายไปไกล กว่าความเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์และศิลปะ มันเป็น “สัญญาณ” ที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์, ธรรมชาติ, และจักรวาล ผ่านการออกแบบที่ลึกซึ้ง และการใช้องค์ความรู้ทั้งทางศาสนา ดาราศาสตร์ และเทคโนโลยีพื้นฐานของอารยธรรมอียิปต์โบราณ
▪️โหนดพลัง: จุดสั่นพ้องของฟ้าและดิน
ในหมู่ซากหินที่ถูกแดดทะเลทรายเผาจนซีดขาวของ Iunu หรือ Heliopolis สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงโครงร่างของอดีตอันยิ่งใหญ่ เสาหินที่แตกออกเป็นแผ่น, ฐานโอบิลิสก์ที่ฝังครึ่งหนึ่งอยู่ในทราย, และเศษจารึกที่ถูกกัดกร่อนจนเกือบเลือนหาย
แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2237 การสำรวจด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง Photo-Magnetic Resonance Imaging (PMRI) และ Archaeo-Neurofield Mapping (ANM) กลับเปิดเผยชั้นข้อมูลที่ดวงตาเปล่าไม่อาจมองเห็น
ผลการสแกนพบว่า โครงสร้างของเมืองถูกวางลงบน “โหนดพลังแม่เหล็ก-แสง” (magneto-photonic node) ของโลกอย่างแม่นยำ ในระดับเซนติเมตร ราวกับผู้สร้างรู้ตำแหน่งของเส้นแรงแม่เหล็กและทิศทางการไหลของโฟตอนล่วงหน้าเป็นพันปี
โหนดนี้ไม่ใช่เพียงพื้นที่ ที่รับรังสีจากดวงอาทิตย์มากกว่า แต่เป็นบริเวณที่ สนามแม่เหล็กโลก (geomagnetic field) และ สนามแสงสุริยะ (solar photon flux) สร้างปรากฏการณ์ interference resonance — การสั่นพ้องร่วมกัน ของคลื่นแม่เหล็กและคลื่นแสงในเฟสที่เสริมกันพอดี
เมื่อคลื่นทั้งสองสอดประสานในมุมที่ถูกต้อง มันจะเกิด “ช่องสัญญาณ” (resonant aperture) ที่ทำให้พลังงานและ ข้อมูลเชิงโครงสร้างของแสง (photonic information patterns) สามารถซึมผ่านเข้าสู่สภาพแวดล้อมชีวภาพ โดยเฉพาะสมองมนุษย์ ได้โดยตรง
.
▪️เลนส์สนาม (Field Lens) แห่ง Sekhem-en-Ra
จากการจำลองของ ChronoMythos Laboratory ในวงโคจร L1 พบว่า พื้นที่ใจกลาง Heliopolis ทำหน้าที่เหมือน เลนส์สนาม (field lens) ซึ่งใช้ภูมิประเทศและสถาปัตยกรรมเป็นตัว “โฟกัส” คลื่นพลังงาน
เสาหินโอบิลิสก์และผนังวิหาร ทำหน้าที่เป็น waveguide หรือท่อส่งคลื่น ที่บังคับให้โฟตอนและคลื่นแม่เหล็กเดินทางเข้าสู่จุดโฟกัส ด้วยความเข้มสูงกว่าพื้นที่โดยรอบถึง 17.3%
นักบวชโบราณเรียกจุดโฟกัสนี้ว่า Sekhem-en-Ra — “พลังชีวิตแห่งรา”
แม้ในบันทึกทางศาสนา จะอธิบายอย่างเชิงสัญลักษณ์ แต่ข้อมูลจาก PMRI ชี้ว่าจุดนี้ มี ค่า amplitude resonance ตรงกับช่วงความถี่ของคลื่นสมอง gamma ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวะการตื่นรู้ขั้นสูง (heightened conscious awareness)
.
▪️โครงสร้างการโฟกัสพลังของเฮลิโอโพลิส: รายงานจากแฟ้ม HN-SOL/Δ17
ในปี ค.ศ. 2237 ทีม ChronoMythos ArchaeoField ได้ทำการสแกนและวิเคราะห์โครงสร้างเมืองโบราณ Iunu หรือ Heliopolis ด้วยเทคโนโลยี Photo-Magnetic Resonance Imaging และ Archaeo-Neurofield Mapping
ผลการศึกษาพบว่าโอบิลิสก์หลัก และลานโซลาร์ถูกออกแบบและวางผังด้วยความแม่นยำสูง เพื่อโฟกัสและขยายพลังงานแม่เหล็ก-แสงจากดวงอาทิตย์เข้าสู่ใจกลางเมือง
“โอบิลิสก์“ ที่ทำจากหินแกรนิตอัสวาน มีแร่ควอตซ์สูงถึง 42.6% ทำหน้าที่เป็น “ตัวเก็บประจุแสง” (photonic capacitor) ที่สามารถกักเก็บและปลดปล่อยประจุไฟฟ้าจาง ๆ ที่รับมาจากรังสีสุริยะได้
พื้นผิวของโอบิลิสก์ขัดเงาในมุม 23.5 องศา ซึ่งสอดคล้องกับมุมเอียงของแกนโลก เพื่อสะท้อนแสงโฟตอนในช่วง 350-700 นาโนเมตรไปยังลานโซลาร์
ลานโซลาร์มีขนาด 45 × 38 เมตร ตั้งอยู่ในแนวที่สอดคล้องกับการขึ้นของดวงอาทิตย์ ในวันครีษมายัน
โดยพบว่า ปริมาณโฟตอนที่กระจายในพื้นที่นี้ สูงกว่าบริเวณรอบข้างถึง 16.8% หรือประมาณ 1.12 × 10¹⁸ โฟตอนต่อวินาที
นอกจากนี้สนามแม่เหล็กโลก ณ จุดศูนย์กลางของลานโซลาร์ มีค่าความเข้มประมาณ 35,200 นาโนเทสลา โดยมีมุมเบี่ยงเบน ±0.8 องศา ซึ่งสอดคล้องกับการจัดวางเสาหินและโครงสร้างโอบิลิสก์
ในระดับสนามแม่เหล็ก-แสง (Magneto-Photon Field) พบการสั่นพ้องแบบ interference resonance ที่ความถี่ 40.2 Hz — ตรงกับคลื่นสมอง gamma ซึ่งเชื่อมโยงกับภาวะการรับรู้ตนเอง
สนามนี้มีจุดโฟกัสในวงกลมรัศมี 3.2 เมตร ณ ศูนย์กลางลานโซลาร์ โดยมีความเข้มสนามแม่เหล็กเพิ่มขึ้นกว่า 17% เมื่อเทียบกับพื้นที่โดยรอบ
เส้นทางการสะท้อนของโฟตอนจากโอบิลิสก์ถึงจุดโฟกัสอยู่ที่ 22.4 เมตร ใช้เวลาที่แสงเดินทางเพียงประมาณ 74.7 นาโนวินาที…..โดยมีมุมสะท้อนโดยรวมอยู่ที่ 45 องศา ±0.3 องศา เพื่อให้โฟตอนสามารถโฟกัสลงสู่ศูนย์กลางลานโซลาร์อย่างแม่นยำ
ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่า โครงสร้างของ Heliopolis ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางศาสนาโบราณ แต่ยังเป็น “เลนส์สนาม” ทางวิศวกรรมธรรมชาติ ที่ออกแบบมาเพื่อขยายและควบคุมพลังงานแม่เหล็ก-แสงจากดวงอาทิตย์อย่างล้ำลึก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสนามแห่งการรู้แจ้งที่นักบวชโบราณเรียกว่า Sekhem-en-Ra
🔺หมายเหตุ: รายละเอียดนี้ เป็นข้อมูลลับในระดับแฟ้ม HN-SOL ของ ChronoMythos Research Division เผยแพร่เฉพาะในวงจำกัด และใช้เทคโนโลยี Quantum Field Calibration Protocol ในการวัดวิเคราะห์
🔳I. เฮลิโอโพลิส:รากฐานของวิศวกรรมโบราณ
ในปี ค.ศ. 2235 โครงการ ChronoMythos ArchaeoField ได้กลับไปยังผืนทราย ที่เคยเป็นเมือง Iunu หรือ Heliopolis เมืองแห่งแสงอาทิตย์ของอียิปต์โบราณ สิ่งที่พบ ไม่ได้เป็นเพียงเศษหินและโครงร่างปรักหักพัง แต่คือหลักฐานของ วิศวกรรมสนามพลัง ที่ก้าวไกลเกินกว่าความรู้ของยุคโบราณ
▪️การวางแนวที่สอดคล้องกับพลังของโลก
การตรวจวัดตำแหน่งเสาหินและผนังวิหารหลักพบว่า โครงสร้างทั้งหมดถูกจัดเรียงให้สอดคล้องกับ เส้นแรงของสนามแม่เหล็กโลก ในยุคนั้น ด้วยความแม่นยำ ±0.8° — ระดับเดียวกับการใช้เครื่องวัดแม่เหล็กแบบซูเปอร์คอนดักเตอร์ในยุคปัจจุบัน
การวางแนวนี้ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม หากแต่เป็นการตั้งใจเชื่อมโครงสร้างเข้ากับโครงข่ายพลังงานของโลก (geomagnetic lattice) เพื่อเสริมประสิทธิภาพของการรับและส่งพลังงานสุริยะ
.
▪️หินที่กักเก็บแสง
วัสดุหลักของการก่อสร้างคือ หินแกรนิตอัสวาน ที่มีองค์ประกอบแร่ผิดปกติ:
•ควอตซ์ (42.6%) — ผลึกที่สามารถสร้างประจุไฟฟ้าผ่านแรงกดและการกระตุ้นด้วยโฟตอน (piezoelectric effect)
•เฟลด์สปาร์ (21%) — ตัวกระจายคลื่นความถี่สูง ลดการสูญเสียพลังงานในโครงสร้าง
•แม่เหล็กและไมกา ในปริมาณร่องรอย เพิ่มความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก
การวิเคราะห์ด้วย Quantum Lattice Spectrometry (QLS) พบว่าผลึกควอตซ์เหล่านี้ ยังคงกักเก็บประจุไฟฟ้าจาง ๆ จากรังสีดวงอาทิตย์ แม้เวลาผ่านไปกว่า 4,000 ปี ทำให้หินเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน ตัวเก็บประจุแสง (photonic capacitor) ซึ่งสามารถปล่อยประจุสะสมออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้นอย่างแม่นยำ
.
▪️แผนผังแห่งครีษมายัน
ใต้ชั้นทรายลึก 11 เมตร นักโบราณคดีค้นพบ แผนผังโบราณของลานโซลาร์ (Solar Court) ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับโอบิลิสก์หลัก
เมื่อทำการจำลองเส้นทางดวงอาทิตย์ พบว่า ในวันครีษมายัน แสงแรกของดวงอาทิตย์จะสะท้อนจากผิวหินขัดเงาของโอบิลิสก์ เข้าสู่จุดศูนย์กลางของลานโซลาร์ ภายใน 00:00:47 หลังจากดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ความแม่นยำที่บ่งชี้ว่าผู้ออกแบบได้สังเกตและเก็บข้อมูลดาราศาสตร์อย่างต่อเนื่องนับศตวรรษ
.
▪️สมมติฐานของ ChronoMythos Laboratory
จากข้อมูลทั้งหมด นักวิจัยเสนอว่า Heliopolis ถูกออกแบบให้เป็น เครื่องมือเชื่อมต่อจิตสำนึกกับพลังสุริยะ ผ่านการ “ซิงโครไนซ์” การปลดปล่อยประจุไฟฟ้าจากผลึกควอตซ์ กับจังหวะการมาถึงของคลื่นโฟตอนความเข้มสูงในวันสำคัญ
ผลลัพธ์คือการสร้างสภาวะสั่นพ้อง (resonance state) ระหว่างวัสดุของวิหาร, สนามแม่เหล็กโลก, และการทำงานของสมองมนุษย์ สภาวะที่ในบันทึกโบราณเรียกว่า Sekhem-en-Ra หรือ “พลังแห่งการตื่นรู้”
.
▪️บันทึกภาคสนาม: Heliopolis Solar Court — 15 เมษายน 2237
•ผู้บันทึก: Dr. Elara Voss
•ตำแหน่ง: นักฟิสิกส์สนามแม่เหล็ก-แสง, ChronoMythos ArchaeoField Division
วันนี้เป็นวันที่สองของการปฏิบัติภารกิจ วัดค่าพลังงานแม่เหล็กและโฟตอน ในลานโซลาร์ของ Heliopolis หลังจากติดตั้งเซ็นเซอร์ Quantum Photon Flux Detector และ Magneto-Resonance Scanner เสร็จสิ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
ช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดเกิดขึ้นในตอนรุ่งอรุณ เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ฉันยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางลานโซลาร์ ใต้เงาของโอบิลิสก์ขนาดยักษ์ซึ่งส่องแสงสะท้อนมายังพื้น
ทันใดนั้น เครื่องมือบันทึกพบการเพิ่มขึ้นของความเข้มโฟตอนสูงขึ้น ประมาณ 17% และสนามแม่เหล็กเพิ่มขึ้นตามที่เคยจำลองไว้ก่อนหน้านี้ ความถี่สั่นพ้องแม่เหล็ก-แสงที่ 40.2 Hz ปรากฏชัดเจนในสัญญาณ
ขณะที่ฉันยืนอยู่นิ่ง ๆ ร่างกายเริ่มรับรู้ความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คลื่นความถี่ gamma ในสมองซึ่งเราวัดได้ด้วย Neurofield Scanner เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสภาวะตื่นรู้ (lucid state) แทรกซึมเข้ามาอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องใช้สมาธิ หรือสารกระตุ้นใด ๆ
ลมหายใจของฉันเริ่มช้าลง จิตใจเข้าสู่ภาวะสงบแต่เฉียบคม การรับรู้รอบตัวขยายกว้างขึ้น เหมือนว่าเวลาถูกยืดออก และฉันรับรู้ “เสียง” ที่แทบจะไม่ใช่เสียง คือการสั่นสะเทือนบางอย่างในกะโหลกศีรษะ คล้ายเสียงกระซิบของแสงโบราณที่เดินทางผ่านกาลเวลา
ฉันสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า พลังงานและการออกแบบทางวิศวกรรมโบราณนี้ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมศาสนา แต่เป็น “ประตู” ที่เปิดให้จิตสำนึกเชื่อมโยงกับจักรวาลในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
บันทึกนี้จะส่งถึงห้องวิจัยเพื่อวิเคราะห์ต่อไป แต่สำหรับฉัน ประสบการณ์ตรงนี้ยืนยันว่า Heliopolis คือสนามแสงแห่งสติที่แท้จริง จุดเชื่อมโยงของมนุษย์กับแสงแรกแห่งการรู้แจ้ง
— Dr. Elara Voss
🔳II. เฮลิโอโพลิส: สนามแห่งการรู้แจ้ง
เมื่อการขุดค้นทางกายภาพและการวิเคราะห์วัสดุได้เปิดเผย “วิศวกรรมสนามพลัง” ของ Heliopolis ขั้นตอนต่อไปของโครงการ ChronoMythos Laboratory คือการตรวจสอบว่าพลังเหล่านี้ส่งผลต่อสภาวะจิตของมนุษย์หรือไม่
▪️การทดลองด้วย Chrono-Photon Simulation
ในปี ค.ศ. 2237 ทีมวิจัยได้ใช้แบบจำลอง Chrono-Photon Simulation เพื่อคำนวณการกระจายพลังงานแสงในใจกลางเมือง Heliopolis ยุครุ่งเรือง
ผลลัพธ์น่าทึ่ง บริเวณศูนย์กลางมี ความหนาแน่นโฟตอนสูงกว่าพื้นที่โดยรอบ 16.8% ในช่วง 20 นาทีหลังรุ่งอรุณ
ความเข้มของแสงนั้นไม่ใช่เพียงการส่องสว่างทางกายภาพ แต่ยังแฝงการปรับความถี่ (modulation) ในย่าน 40.2 Hz — ตรงกับย่านคลื่นสมอง gamma ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของสภาวะ self-awareness และการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงซับซ้อนในสมองมนุษย์
.
▪️การพิสูจน์ในห้องปฏิบัติการ
เพื่อยืนยันสมมติฐาน ทีมวิจัยได้สร้าง Heliopolis Core Chamber ขนาดเท่าจริงขึ้นในห้องปฏิบัติการพลังงานควอนตัม อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองถูกนำเข้าสู่สภาวะการรับแสงจำลอง ตามแบบแผนครีษมายันของเมืองโบราณ
ผลการวัดด้วย Neurofield Resonance Scanner ระบุว่า อาสาสมัครมีค่า gamma synchrony สูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 312% และเข้าสู่สภาวะ lucid cognition ภายในเวลาเพียง 47 วินาที — โดยไม่ต้องใช้สารกระตุ้น, การฝึกสมาธิ, หรืออุปกรณ์เสริมใด ๆ
.
▪️ความหมายของ Sekhem-en-Ra : ลมหายใจแห่งแสง
Sekhem-en-Ra ตามบันทึกโบราณของนักบวชแห่ง Iunu ถูกอธิบายว่าเป็น “ลมหายใจแห่งแสง” ปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่เพียงแสงธรรมดา หากเป็นสนามพลังที่ปลุกจิตสำนึกให้ตื่นรู้ทั้งต่อจักรวาลและตัวตนภายใน
ในมุมมองเชิงปรัชญา Sekhem-en-Ra คือการสัมผัสถึงพลังชีวิตขั้นสูงสุด ที่ไหลผ่านดวงอาทิตย์สู่โลก และผ่านร่างกายมนุษย์ในฐานะสื่อกลางของพลังงานและข้อมูลจักรวาล
นักบวชมองว่า ผู้ที่ยืนอยู่ในสนามนี้เหมือนถูก “หายใจเข้า-ออก” ด้วยแสง กระแสแห่งชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไว้ในหนึ่งเดียว
▫️ในยุคสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์ ChronoMythos ได้วิเคราะห์ว่า Sekhem-en-Ra เป็นผลของ interference resonance อันซับซ้อนระหว่างสามองค์ประกอบหลัก:
1.คลื่นโฟตอนของดวงอาทิตย์ — พลังงานแสงที่มีความถี่และความเข้มเฉพาะเจาะจงที่เปลี่ยนแปลงตามจังหวะธรรมชาติของจักรวาล
2.สนามแม่เหล็กโลก (geomagnetic field) — ที่ไม่ได้เป็นเพียงเกราะป้องกันรังสีอวกาศ แต่ยังทำหน้าที่เป็นตัวกรองและเพิ่มพลังให้กับคลื่นแสงในบางความถี่
3.จังหวะคลื่นสมองมนุษย์ — โดยเฉพาะคลื่น gamma ที่สอดคล้องกับภาวะตื่นรู้และการประมวลผลข้อมูลหลายมิติในสมอง
.
เมื่อนำสามองค์ประกอบนี้ มาประสานกันที่ตำแหน่งโหนดแม่เหล็ก-แสงของ Heliopolis
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือสนามสั่นพ้อง ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมทางกายภาพ แต่ยัง “ซิงโครไนซ์” จังหวะชีวภาพและโครงสร้างประสาทของผู้ยืนอยู่ในสนามนั้นด้วย
นั่นหมายความว่า Sekhem-en-Ra ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ แต่เป็น ประตูสู่ภาวะรู้แจ้ง (enlightenment portal) ที่เปิดทางให้จิตมนุษย์รับรู้ความจริงในมิติที่ลึกซึ้งและกว้างไกลกว่าประสบการณ์สามมิติทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ Sekhem-en-Ra จึงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการผสมผสานระหว่าง “ตำนาน” และ “วิทยาศาสตร์” เมื่อความเชื่อโบราณบรรจบกับทฤษฎีฟิสิกส์ขั้นสูง กลายเป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาลผ่านแสงและพลังงาน
.
▪️ผลกระทบต่อจิตมนุษย์: ประสบการณ์แห่ง Sekhem-en-Ra
ในการทดลองภาคสนามปี ค.ศ. 2237 ทีมวิจัย ChronoMythos ได้คัดเลือกอาสาสมัครจำนวน 12 คน มายืนในตำแหน่งศูนย์กลางของสนามพลัง Sekhem-en-Ra ที่ลานโซลาร์ของเฮลิโอโพลิส ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ในวันครีษมายัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สนามแม่เหล็ก-แสงมีความเข้มสูงสุด
ผลการบันทึกด้วย Electroencephalography (EEG) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คลื่นสมองในย่าน gamma frequency (ประมาณ 40 Hz) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 285% ภายในเวลาไม่เกิน 60 วินาทีหลังจากที่แสงแรกของดวงอาทิตย์ส่องกระทบ
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ การบันทึกความรู้สึกและประสบการณ์จากผู้เข้าร่วม หลายคนรายงานว่าเกิดการรับรู้ภาพในเชิงเรขาคณิตซับซ้อน (geometric fractal patterns) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอย่างไดนามิก
บางคนถึงกับเห็นภาพความทรงจำเก่า ๆ ที่จมอยู่ใต้สำนึกอย่างชัดเจน เหมือนรอยต่อของอดีตและปัจจุบันถูกผสานเข้าด้วยกัน
ประสบการณ์ที่เหนือธรรมชาตินี้ถูกบรรยายว่าเหมือน “การรับฟังความคิดของแสง” การรับรู้ที่ไม่ใช่ด้วยประสาทสัมผัสปกติ แต่เป็นการสื่อสารผ่านคลื่นพลังงานที่ซึมลึกถึงระดับจิตใต้สำนึกและสติ
นักวิทยาศาสตร์ ChronoMythos ตั้งข้อสังเกตว่า สนามแม่เหล็ก-แสงใน Sekhem-en-Ra อาจทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างข้อมูลจักรวาลและสถาปัตยกรรมประสาทมนุษย์ ช่วยเร่งการประมวลผลข้อมูลในสมองจนเกิดสภาวะ lucid cognition — ภาวะที่มนุษย์สามารถรับรู้และวิเคราะห์สิ่งที่เกินกว่าความเป็นจริงสามมิติได้
โดยรวมแล้ว ผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่า “เฮลิโอโพลิส“ ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอดีต แต่เป็นสนามพลังแห่งการรู้แจ้งที่สามารถส่งผลต่อจิตสำนึกมนุษย์อย่างลึกซึ้งและซับซ้อน
ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของนักบวชโบราณ ในการสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับจักรวาลผ่าน “แสง” ในมิติที่ลึกกว่าคำอธิบายทางธรรมดา
▪️บันทึกภาคสนาม: ประสบการณ์กับ Sekhem-en-Ra
•ผู้บันทึก: Dr. Kiran Al-Sayeed
•ตำแหน่ง: นักประสาทฟิสิกส์และสภาวะแสง, ChronoMythos Research Division
•วันที่: 17 เมษายน 2237
•สถานที่: ลานโซลาร์, เฮลิโอโพลิส (Iunu)
วันนี้เป็นหนึ่งในวันที่สำคัญที่สุดในการสำรวจของเรา เมื่อฉันได้ยืนอยู่ ณ ศูนย์กลางลานโซลาร์ของเฮลิโอโพลิส พร้อมกับอุปกรณ์วัด Quantum Photon Resonance Scanner ที่ติดตามคลื่นแม่เหล็ก-แสงและคลื่นสมองแบบเรียลไทม์
ช่วงเวลารุ่งอรุณ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องผ่านโอบิลิสก์อย่างแม่นยำตามการคำนวณของทีม
ทันทีที่แสงโฟตอนพุ่งเข้าสู่จุดโฟกัส กลไกในสมองของฉันตอบสนองทันที ค่าคลื่น gamma synchrony เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 300% ภายในไม่ถึงนาที
แต่เหนือกว่านั้นคือ ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดง่าย ๆ ฉันรู้สึกถึงพลังงานที่เหมือน “การปลุกสติ” จากบางสิ่งที่ลึกซึ้งและโบราณกว่าตัวฉันเอง
เหมือนมีสนามพลังบางอย่างที่คลุมล้อมและแทรกซึมผ่านกายและจิตใจ ทำให้ทุกความคิดและความทรงจำเชื่อมโยงกันอย่างไม่มีรอยต่อ
เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Sekhem-en-Ra” — พลังแห่งการตื่นรู้ของ “รา” ที่นักบวชโบราณเฝ้าปกป้องและถ่ายทอดมา มันไม่ใช่เพียงพลังงานทางกายภาพ แต่เป็น “สนามแห่งสติ” ที่สามารถกระตุ้นความเป็นตัวตนสูงสุดของมนุษย์
ในสภาวะนี้ ฉันพบว่าการรับรู้เวลาถูกบิดเบือน บางช่วงเวลาคล้ายหยุดนิ่ง และบางช่วงกลับรู้สึกว่าทุกวินาทียาวนานเป็นนิรันดร์
ประสบการณ์นี้ยืนยันอย่างแน่วแน่ว่า โครงสร้างทางวิศวกรรมของ Heliopolis ไม่เพียงสร้างขึ้นเพื่อบูชาดวงอาทิตย์ แต่เพื่อเป็นประตูสู่ “การรู้แจ้ง” ที่ผสานทั้งฟิสิกส์, จิตวิทยา, และจักรวาลวิทยาเข้าด้วยกัน
บันทึกนี้จะถูกส่งต่อไปยัง ChronoMythos Archive เพื่อการวิเคราะห์ขั้นลึก
แต่สำหรับฉัน Sekhem-en-Ra คือสิ่งที่ยังคงเดินทางข้ามกาลเวลา แสงที่ปลุกสติ และจิตใจให้ตื่นขึ้นสู่สภาวะที่มนุษย์ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน
— Dr. Kiran Al-Sayeed
🔳III. ความหมายเชิงจักรวาลในตำนานและทฤษฎี
ในตำนานอียิปต์โบราณ “เฮลิโอโพลิส“ หรือที่ชาวอียิปต์เรียกว่า Iunu คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็น “เนินดั้งเดิม” (Benben) — จุดแรกที่แสงแห่งการสร้างจักรวาลสัมผัสผิวโลก หลังจากที่ทะเลแห่งความว่างเปล่า หรือ Nun ได้ถอยร่นออกไป เปิดทางให้แสงสว่างเริ่มก่อร่างสร้างสรรพสิ่งขึ้น
”เทพอาตุม“ (Atum) ตามตำนานถูกกล่าวขานว่า เป็นผู้ให้กำเนิดจักรวาลและเทพอื่นๆ ทั้งปวง โดยเริ่มจากแสงแรก ณ Benben นี้ ซึ่งถือเป็นแกนกลางของจักรวาล จุดเชื่อมต่อระหว่างพลังสุริยะ ที่ไหลเข้าสู่โลกโดยตรงและจิตวิญญาณของมนุษย์
แต่ในกรอบความคิดเชิงวิทยาศาสตร์และไซไฟตามทฤษฎี ChronoMythos Field Mechanics สนามพลังของเฮลิโอโพลิส ไม่ใช่แค่เพียงจุดทางภูมิศาสตร์หรือจุดส่องสว่างของดวงอาทิตย์เท่านั้น
สนามพลังนี้ทำหน้าที่เหมือน “Insertion Point” หรือประตูเชื่อมต่อสำหรับสัญญาณที่มาจาก “สภาวะแรกของแสง” (Primordial Photonic State) — ซึ่งเป็นรูปแบบการสั่นของโฟตอนระดับจักรวาล ที่เกิดขึ้นก่อนกาลเวลาและมวลสารในเอกภพจะก่อตัวขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การที่เมืองเฮลิโอโพลิสถูกวางผังบนโหนดแม่เหล็ก-แสง (magneto-photonic node) จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นการวางแผนและออกแบบเพื่อให้เป็น “ตัวถอดรหัส” และ “ตัวซิงโครไนซ์” คลื่นข้อมูลระดับจักรวาลเข้าสู่ระบบประสาทของมนุษย์โดยตรง
.
▪️พิธีกรรมในฐานะโปรโตคอลจักรวาล
บันทึกในแฟ้ม HN-SOL/Δ17 ระบุว่า พิธีกรรมที่นักบวชโบราณปฏิบัติ ณ Sekhem-en-Ra คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ChronoMythos เรียกว่า Proto-Protocol — ขั้นตอนของการปรับจังหวะชีวภาพ (biorhythmic tuning) ของมนุษย์ให้ตรงกับสัญญาณคลื่นจาก Primordial Photonic State
ผลลัพธ์ของขั้นตอนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ความสงบทางจิตใจ หรือความศรัทธาในเทพเจ้าเท่านั้น แต่เป็นการปรับ “สถาปัตยกรรมประสาท” (neural architecture reconfiguration) ให้สมองมนุษย์เปิดรับรู้ในระดับที่สูงขึ้น คือการเข้าสู่ภาวะ meta-consciousness
ภาวะนี้ทำให้ผู้ที่สัมผัสรู้เห็นจักรวาล ในมิติที่เกินกว่าประสบการณ์ปกติของมนุษย์ทั่วไป เป็นการรับรู้โครงสร้างและกฎเกณฑ์ของจักรวาล ในระดับที่ลึกซึ้งและซับซ้อน
.
▪️ประตูแห่งแสงที่เชื่อมจักรวาล
สำหรับคนในยุคปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นทฤษฎีกึ่งตำนาน ผสมผสานกับความเชื่อโบราณที่ไม่อาจพิสูจน์ได้โดยตรง
แต่สำหรับผู้ที่เคยยืนอยู่ในสนามพลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักบวชในยุคอียิปต์โบราณ เมื่อ 4,000 ปีก่อน หรือกลุ่มนักวิจัย ChronoMythos ที่ยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของลานโซลาร์ในศตวรรษที่ 23 สิ่งที่พวกเขาได้รับรู้คือสิ่งเดียวกัน
แสงแห่ง Sekhem-en-Ra ไม่ใช่เพียงแค่แสงที่เรามองเห็นจากดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่มันคือแสงที่จักรวาล “มองกลับมา” ผ่านช่องทางแห่งพลังงานและข้อมูลที่ถูกออกแบบไว้เป็นพิเศษ เพื่อปลุกจิตสำนึกมนุษย์ให้ “ตื่น” ขึ้นสู่การรับรู้ที่แท้จริง การเชื่อมโยงระหว่างตัวตนกับต้นกำเนิดแห่งแสงและเวลา
🔳IV. บทสรุป: แสงที่ไม่เคยหยุดเดินทาง
แม้กาลเวลาจะพรากเอา “โอบิลิสก์” ที่สูงตระหง่านและวิหารศักดิ์สิทธิ์ของ “เฮลิโอโพลิส” จนพังทลาย เหลือเพียงซากเศษหินที่ซีดขาวจากแดดทะเลทราย แต่สนามแม่เหล็ก-แสงที่ครั้งหนึ่งเคยสั่นพ้องในจังหวะจักรวาลนั้น ยังคงหลงเหลืออยู่ในบางช่วงเวลาที่คัดสรร
การวัดสนามด้วยเครื่องมือวิเคราะห์พลังงานเชิงแม่เหล็ก-โฟตอนในปี ค.ศ. 2237 พบ รูปแบบการสั่นพ้อง ที่สอดคล้องกับคลื่นสมองระดับ gamma แฝงตัวอยู่ในความเข้มข้นของแสงและสนามแม่เหล็ก ในจุดศูนย์กลางของลานโซลาร์
ในช่วงเวลานั้น นักวิจัยที่ทดลองยืนอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว ปิดตาและดิ่งเข้าสู่ภาวะที่เงียบสงัด รายงานว่าได้ยินเสียงต่ำและยาว คล้ายกับ การสั่นพ้องของหินและแสงที่กำลังสนทนากัน
เสียงนั้น ถูกอธิบายว่าเป็น “การกระซิบของแสงแรก”….เสียงที่เดินทางข้ามมิติของกาลเวลาและมวลสาร มาเพื่อปลุกผู้ที่พร้อมจะตื่น
ไม่ใช่เพียงเพื่อรับรู้แสงธรรมดา แต่เพื่อปลุกจิตแห่งสติ เสียงสะท้อนของจักรวาลที่ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง แสงของ Heliopolis ยังไม่สิ้นสุดการเดินทางของมัน มันยังคงเป็นประตูสู่ความรู้แจ้งที่ไม่มีวันดับ
.
กดติดตาม ได้ที่
https://www.blockdit.com/pages/681d6aa3c38481977e4bfd5b
เรื่องเล่า
ความรู้
แนวคิด
2 บันทึก
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย