15 ส.ค. เวลา 02:00 • ธุรกิจ

“social proof” ลูกค้าเยอะ เพราะ “คุณภาพ” หรือแค่การตลาด ⁉

Social Proof เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของการทำธุรกิจในยุคนี้ที่ได้ผลมาก นี่คือทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ชี้ให้เห็นว่า ความคิดเห็นของคนอื่น ๆ มีผลต่อการตัดสินใจ
สมมุติว่าถ้าเรามีตัวเลือกเป็นร้านอาหาร 2 แห่งที่มีคุณภาพ รสชาติ และราคาพอ ๆ กันแต่ถ้าร้านใดร้านหนึ่งมีคนนั่งในร้านเยอะกว่า หรือมีคนต่อแถวที่หน้าร้านเยอะกว่า เราจะมีโอกาสเลือกร้านนั้นมากกว่า เพราะเป็นตัวเลือกของคนจำนวนมาก
✅ 71% ของผู้บริโภค มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าหลังได้รับคำแนะนำหรือเห็นสินค้าในโซเชียลมีเดีย
✅ 54% ใช้โซเชียลเพื่อค้นคว้าข้อมูลสินค้า
✅ ผู้ที่ใช้โซเชียลมีแนวโน้มใช้จ่ายมากขึ้นถึง 4 เท่า
✅ 81% ของผู้บริโภคได้รับอิทธิพลจากโพสต์ของเพื่อนหรือคนในครอบครัวบนโซเชียลมีเดีย
✅ 76% ของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ตัดสินใจซื้อสินค้าจากคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์
✅ 53% ของผู้บริโภคไทยมีส่วนร่วม (engage) กับอินฟลูเอนเซอร์ เช่น ติดตาม ไลค์ คอมเมนต์
✅ 42% ของกลุ่ม Gen Z และ Millennials เคยซื้อวัตถุดิบตามที่เห็นในคลิปทำอาหาร หรือตามหาร้านนั้นๆ
สิ่งเหล่านี้คือตัวเลขที่มาจากผลสำรวจที่แสดงให้เห็นถึงพลังของ Social Proof ได้อย่างชัดเจน ที่ผ่านมา Social Proof มักถูกเอามาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การตลาดให้เห็นกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะในมุมของ “การกระตุ้นการขาย” และ “สร้างความน่าเชื่อถือ” ด้วยการทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกว่าคนส่วนมากเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่นำไปประยุกต์ใช้ได้เช่น
📌 กลยุทธ์ “Seeding” การตลาดผ่านหน้าม้า
📌 การทำป้าย “สินค้าขายดี” ให้คนสนใจเพื่อกระตุ้นยอดขาย
📌 การโปรโมทด้วยความเป็นที่สุดให้คนสนใจ เช่น “ สินค้าอันดับ 1 จากญี่ปุ่น” หรือ ยอดขายสูงสุดในประเทศ เป็นต้น
หรือตัวอย่างที่ชัดเจนพอให้เห็นภาพคือ UNO! Coffee แบรนด์กาแฟที่ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลเป็นอย่างมากกับภาพคนมาต่อแถว รอคิวยาว ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้คนสนใจมากคือการนำเสนอกาแฟที่มีชื่อเรียกว่า “เกอิชา” ในราคาแก้วละ 85 บาทหากดูผิวเผินก็จะมีความรู้สึกว่า ทำไม? กาแฟแพงจัง ราคาดูสูงจากปกติ
แต่ถ้าหากลงข้อมูลดูรายละเอียดพบความจริงที่ว่า กาแฟสายพันธุ์ “เกอิชา” เป็นกาแฟที่มีราคาสูงที่สุดในโลก และเป็นรู้จักของคอกาแฟเป็นอย่างดีถึงเรื่องคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ด้วยกลยุทธ์นี้สามารถดึงคนเข้าร้านได้ กับกาแฟพรีเมียมราคาถูก หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศกาแฟสายพันธุ์ “เกอิชา” จะถูกขายแก้วละ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,200 บาท)
หรือถ้าจำกันได้ไม่นานมานี้ก็มีกระแสของ “ชิโอปัง” ซึ่งเป็นขนมปังเกลือมาแรงที่หน้าตาคล้ายกับครัวซองต์ แต่มีจุดเด่นคือผิวบางกรอบ โดยเฉพาะตรงฐานขนมปังจะกรอบและมันเนยเป็นพิเศษเริ่มเป็นกระแสในโซเชี่ยลมาตั้งแต่ปลายปี 2024 มีอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวไทยไปลองชิโอะปังร้านดังในเกาหลี แล้วรีวิวว่าอร่อย ชวนให้หลายคนตามไปลองชิมกัน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชิโอะปังร้านนี้อร่อยมาก เกิดเป็นกระแสคนไทยที่ไม่ได้ไปเกาหลีก็อยากลองว่าเจ้าชิโอะปังจะมีรสชาติยังไง จนเมื่อมีร้านเบเกอรี่ในเมืองไทยนำเมนูนี้มาขายก็กลายเป็นกระแสที่ร้านเบเกอรี่ได้รับความนิยมมีคนสนใจต่อแถวรอซื้อกันยาวเหยียด
ไม่ใช่แค่นั้นแม้แต่แบรนด์สินค้าพื้นบ้านเองก็ใช้ประโยชน์จาก Social Proof ได้เช่นกัน เช่นหมูย่างเมืองตรัง ร้านอาหารท้องถิ่นที่กลายเป็น “แลนด์มาร์ก” เพราะการรีวิวของยูทูบเบอร์ชื่อดังอย่าง Mark Wiens หลังคลิปเผยแพร่ ยอดผู้เข้าชมทะลุ ล้านวิวภายในไม่กี่วันทำให้ยอดขายร้านเพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วง 2 เดือนหลังคลิปลง เป็นต้น
คำถามที่น่าสนใจคือกระแสที่คนสนใจมากมายแบบนี้มันเกิดจากคำว่า “คุณภาพ” หรือเป็นแค่ “การตลาด”
ถ้าให้ตอบกันตรงๆ ก็คือการตลาด แต่แบรนด์เองก็ต้องรักษาคุณภาพสินค้าด้วย เมื่อจุดกระแสให้คนสนใจได้แล้ว สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือทำอย่างไรให้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง ไม่ใช่มาแค่ครั้งเดียวแล้วหายไป เป้าหมายของคนทำธุรกิจอย่างแรกคือทำอย่างไรก็ได้ดึงคนให้สนใจเข้าร้านได้เยอะๆ เมื่อมีปริมาณลูกค้ามากโอกาสขายสินค้าก็ย่อมมากตาม แม้ในจำนวนเหล่านี้อาจไม่ได้กลายมาเป็นลูกค้าประจำทั้งหมด แต่ถ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นได้ก็ถือเป็นความสำเร็จเช่นกัน
ดังนั้นการใช้ Social Proof เพื่อจุดกระแสอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอสำหรับเพิ่มยอดขายในระยะยาวจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์อื่นเข้ามาผสมผสานด้วยเช่นการทำระบบสะสมแต้ม , การบริการหลังการขาย , การจัดทำโปรโมชันอื่นๆ
หรือการสร้าง Community ผ่าน Social Media เช่น ลงรูปลูกค้า (ที่อนุญาตให้ลงได้) , การแชร์รูปในร้าน , การจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เป็นต้น กลยุทธ์เหล่านี้คือการเปลี่ยนแค่กระแสให้กลายมาเป็นความประทับใจที่นำไปสู่การเพิ่มฐานลูกค้าได้มากขึ้น
#SocialProof #ลูกค้าเยอะ #บริการหลังการขาย #การตลาดผ่านหน้าม้า #กระตุ้นยอดขาย
โฆษณา