14 ส.ค. เวลา 02:04 • การศึกษา

กรณีเด็กทำร้ายครู: เหตุจูงใจและแนวทางแก้ไข(ในอนาคต)

ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในครั้งนี้ด้วย และหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ครับ
ในฐานะผู้ปกครอง(พ่อแม่) และได้รับรู้เหตุการณ์ผ่านสื่อออนไลน์ รู้สึกสะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก ทั้งจากแรงจูงใจ/พฤติกรรมผู้ก่อเหตุ ผู้ที่ได้รับผลทางตรง(คือคุณครูผู้หญิง) และนักเรียนผู้อยู่ในห้องเรียนทั้งหมด
ผมขอวิเคราะห์เหตุการณ์(ในวิดีโอที่ปรากฏนี้)โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ
* การวิเคราะห์สาเหตุและแรงจูงใจ และ
* แนวทางการป้องกันและแก้ไขในอนาคต
คำเตือน: เหตุการณ์ในวิดีโอมีความรุนแรงและอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ การวิเคราะห์นี้มีวัตถุประสงค์ทางวิชาการและหาแนวทางป้องกันร่วมกัน มิได้มีเจตนาซ้ำเติมผู้ใด
ส่วนที่ 1: การวิเคราะห์สาเหตุและแรงจูงใจ (Analysis of Causes and Motivations)
พฤติกรรมความรุนแรงระดับนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยไม่มีที่มาที่ไป แต่มักเป็นผลมาจากปัจจัยซับซ้อนหลายอย่างประกอบกัน จากภาพที่เห็นซึ่งเป็นการจู่โจมที่รุนแรงและดูเหมือนจะไตร่ตรองมาแล้ว (เดินตรงเข้าหาเป้าหมายทันที) สามารถสันนิษฐานสาเหตุและแรงจูงใจที่เป็นไปได้ดังนี้
1. ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้กระทำ(Individual Factors)
* ภาวะขาดการควบคุมอารมณ์และความโกรธ (Poor Impulse & Anger Control): ผู้ก่อเหตุอาจมีปัญหาในการจัดการกับความโกรธหรือความคับข้องใจ เมื่อถูกกระตุ้นถึงจุดหนึ่ง จึงระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นความรุนแรงทางกายภาพอย่างสุดขั้ว
* ปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการดูแล: อาจมีภาวะป่วยทางจิตเวชบางอย่างแฝงอยู่ เช่น โรคระเบิดอารมณ์ (Intermittent Explosive Disorder - IED) หรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพ(Personality Disorders) ซึ่งทำให้มีแนวโน้มตอบสนองต่อความขัดแย้งด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุ
* ประวัติการถูกกระทำรุนแรง(Cycle of Violence): เป็นไปได้ว่าผู้ก่อเหตุอาจเคยเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวหรือในสังคมมาก่อน ทำให้ซึมซับและเรียนรู้ว่าการใช้กำลังเป็นวิธีแก้ปัญหาหรือแสดงอำนาจ
* ความรู้สึกด้อยค่าหรือต้องการการยอมรับ: การใช้ความรุนแรงอาจเป็นวิธีการแสดงออกถึงอำนาจ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอ่อนแอหรือไร้ค่าของตนเอง และสร้างการยอมรับในหมู่เพื่อนบางกลุ่ม(แม้จะเป็นการยอมรับในทางที่ผิด)
2. ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Factors)
* การกลั่นแกล้งที่รุนแรงและยาวนาน (Severe & Prolonged Bullying): นี่เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้สูงที่สุด ผู้ก่อเหตุอาจเป็น "เหยื่อ" ของการกลั่นแกล้ง(Bullying) มาเป็นเวลานาน ทั้งทางวาจา สังคม หรือไซเบอร์ จนเกิดความเครียด ความแค้นสะสม และเลือกที่จะตอบโต้กลับอย่างรุนแรงเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป (Retaliatory Violence)
* ความขัดแย้งส่วนตัวที่รุนแรง: อาจมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องชู้สาว การหักหลัง หรือความขัดแย้งที่ทำให้เสียหน้าอย่างรุนแรง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการแก้แค้น
* การไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี: ผู้ก่อเหตุขาดทักษะในการสื่อสารและการเจรจาต่อรอง เมื่อเกิดปัญหาจึงข้ามขั้นตอนการพูดคุยไปสู่การใช้กำลังทันที
3. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ (Environmental & Situational Factors)
* การขาดการกำกับดูแลจากครูหรือผู้ใหญ่: เหตุการณ์เกิดขึ้นในห้องเรียนที่ดูเหมือนจะไม่มีครูอยู่ควบคุม ซึ่งเป็น "โอกาส" ให้การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครห้ามปรามในทันที
* ปรากฏการณ์ไทยมุง(Bystander Effect): นักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจและกลัวเกินกว่าจะเข้าไประงับเหตุ ปรากฏการณ์นี้คือการที่แต่ละคนคิดว่า "เดี๋ยวคงมีคนอื่นเข้าไปช่วย" ทำให้ไม่มีใครเริ่มลงมือช่วยเหลือ ประกอบกับความกลัวว่าจะได้รับอันตรายไปด้วย ดังที่ได้ยินในเสียงประกอบวิดีโอว่า "แล้วเพื่อนไม่ห้ามอะ" และมีเสียงตอบว่า "ก็มันกลัว"
* วัฒนธรรมในโรงเรียนที่เพิกเฉยต่อความรุนแรง: หากโรงเรียนมีวัฒนธรรมที่ปล่อยปละละเลยปัญหาการกลั่นแกล้ง หรือมองว่าเป็นแค่ "เรื่องเด็กๆ ทะเลาะกัน" จะทำให้ปัญหาสั่งสมจนบานปลายเป็นเหตุรุนแรงได้
ส่วนที่ 2: แนวทางการป้องกันและแก้ไขในอนาคต (Prevention and Solutions)
การแก้ไขปัญหานี้ต้องทำอย่างเป็นระบบและครบวงจร ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับสังคม
1. มาตรการเร่งด่วน(สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว)
* ดูแลเหยื่อ: ให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์และเยียวยาจิตใจของนักเรียนที่ถูกกระทำอย่างเร่งด่วน รวมถึงเพื่อนนักเรียนที่เป็นพยานในเหตุการณ์(Witnesses) ซึ่งอาจมีภาวะตกใจกลัว(Trauma) ได้เช่นกัน
* จัดการผู้กระทำ: แยกผู้กระทำออกจากสภาพแวดล้อมเดิมทันทีเพื่อความปลอดภัยของผู้อื่น และดำเนินการตามระเบียบของโรงเรียนและกฎหมายอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการประเมินสภาพจิตใจเพื่อหาทางบำบัดรักษา
* การสืบสวน: โรงเรียนต้องสืบสวนหาต้นตอของปัญหาอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่ตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่ต้องทำความเข้าใจว่า "ทำไม" เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น
2. มาตรการป้องกันในระดับโรงเรียน(School-Level Prevention)
* สร้างระบบเฝ้าระวังและรายงานที่มีประสิทธิภาพ:
1) ติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดเสี่ยงและมีผู้ดูแลตรวจสอบเสมอ
2) มีช่องทางการรายงานปัญหาการกลั่นแกล้งหรือความรุนแรงที่เป็นความลับและปลอดภัย เช่น ตู้แดงร้องทุกข์, สายด่วนครูที่ปรึกษา, หรือระบบออนไลน์ เพื่อให้นักเรียนกล้าที่จะขอความช่วยเหลือ
* เพิ่มการกำกับดูแลของครู: จัดเวรครูดูแลนักเรียนในช่วงเวลาว่างหรือช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ไม่ปล่อยให้ห้องเรียนว่างโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล
* สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ยอมรับความรุนแรง (Zero-Tolerance Culture): ประกาศนโยบายและบังคับใช้อย่างจริงจังว่าโรงเรียนจะไม่ทนต่อการกลั่นแกล้งและความรุนแรงทุกรูปแบบ
* จัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างทักษะทางสังคม (Social-Emotional Learning):
1) การจัดการอารมณ์(Emotion Regulation): สอนให้นักเรียนรู้จักอารมณ์ของตนเองและวิธีจัดการกับความโกรธ ความเครียด
2) การเอาใจเขามาใส่ใจเรา(Empathy): สอนให้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
3) การแก้ไขความขัดแย้ง(Conflict Resolution): สอนทักษะการสื่อสาร เจรจาต่อรอง เพื่อแก้ปัญหาโดยไม่ใช้กำลัง
* บทบาทของครูที่ปรึกษาและนักจิตวิทยาโรงเรียน: ต้องทำงานเชิงรุกในการสังเกตพฤติกรรมเสี่ยงของนักเรียนและเข้าให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
3. มาตรการเชิงระบบและสังคม(Systemic & Societal Level)
* ความร่วมมือระหว่างบ้านและโรงเรียน: สร้างช่องทางการสื่อสารที่เข้มแข็งระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน เพื่อช่วยกันสอดส่องดูแลพฤติกรรมของบุตรหลาน
* ลดการตีตราปัญหาสุขภาพจิต: สังคมต้องส่งเสริมให้การไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องปกติ เพื่อให้เยาวชนที่ประสบปัญหากล้าที่จะขอความช่วยเหลือ
* สื่อและสังคมออนไลน์: ควรมีการรณรงค์ให้สื่อนำเสนอข่าวความรุนแรงอย่างสร้างสรรค์ ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบและแนวทางป้องกัน แทนที่จะนำเสนอเพื่อความสะใจ ซึ่งอาจสร้างพฤติกรรมเลียนแบบ
โดยสรุป:
เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าความรุนแรงในโรงเรียนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไข การลงโทษผู้กระทำผิดเป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ แต่การสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมให้เยาวชนเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ คือการป้องกันที่ยั่งยืนที่สุดครับ.
โฆษณา