14 ส.ค. เวลา 03:51 • ความคิดเห็น
สำนึกบุญคุณ หรือว่า.....
สืบทอดพันธุกรรมแห่งความลืมเลือน
หลายคนก็คงจะเคยได้ยินมาว่า คุณฮุน มาเนต บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน เซน เคยเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ของประเทศไทย และต่อมาได้รับโควตาจากรัฐบาลไทยให้ไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา ณ สถาบันการทหารชื่อก้องโลกอย่าง West Point จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2542
คำถามที่ชวนให้ฉุกคิดก็คือ เมื่อเขามีโอกาสก้าวสู่ความสำเร็จด้วยเส้นทางที่ประเทศไทยเปิดให้ เขาจะ สำนึกในบุญคุณ และ อยากตอบแทนคุณแผ่นดินไทย ที่เคยมอบโอกาสนี้หรือไม่
ก่อนจะตอบคำถามนี้อย่างผิวเผิน เราควรลองขุดลึกลงไปใน รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ และ โครงสร้างความคิดของสังคมกัมพูชา เสียก่อน
พันธุกรรมทางประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบี้ยว
หากมองย้อนกลับไปในยุค เขมรแดง (1975–1979) ภายใต้การนำของ พอล พต กัมพูชาถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห่งการล้างสมองครั้งใหญ่ คนที่มีปัญญา มีความรู้ หรือเป็นปัญญาชน ไม่ว่าจะเป็นครู อาจารย์ ศิลปิน วิศวกร นักกฎหมาย นักปราชญ์ กลายเป็นศัตรูของระบอบ ผู้ที่เพียงแค่ “สวมแว่นสายตา” ก็ถูกมองว่าเป็นชนชั้นศัตรู ต้องถูกนำไปสังหารทิ้งใน “ทุ่งสังหาร”
ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่คือ ความจริงอันโหดร้าย ที่ยังคงหลอกหลอนคนรุ่นหลัง หัวกะโหลกถูกกองไว้ราวกับภูเขา เด็กทารกยังถูกจับฟาดกับต้นไม้เพื่อปลิดชีวิต ความโหดเหี้ยมนี้ไม่เพียงทำลายชีวิตผู้คนนับล้าน แต่ยังทำลาย ทุนทางปัญญา ของประเทศแทบทั้งหมด
ผลลัพธ์คือ กัมพูชาถูกตัดขาดจากรากเหง้าทางความรู้และคุณธรรม ช่วงเวลาไม่กี่ปีนั้นได้สร้าง พันธุกรรมทางสังคมแบบบิดเบี้ยว ความหวาดระแวง ความระแวงต่อเพื่อนบ้าน และการยึดมั่นในอำนาจนิยมมากกว่าคุณค่าของความกตัญญู
ไทย: ผู้ให้ที่ไม่เคยถูกจดจำ
กัมพูชาในช่วงหลังยุคเขมรแดง ไม่เพียงต้องฟื้นฟูประเทศที่แทบพังราบ แต่ยังต้องพึ่งพาเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยอย่างมหาศาล
เราช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง และ ผู้หนีภัยจากเขมรแดง นับแสน ๆ คน ภาพที่เราเคยเห็นในสารคดี เด็กหญิงมอมแมมร้องไห้ ขี้มูกไหล ไม่สวมเสื้อผ้า ตามหาพ่อแม่อย่างไร้ความหวัง ไม่ใช่ภาพจัดฉาก แต่คือความจริงที่ฝังอยู่ในความทรงจำของคนไทยจำนวนมาก
ประเทศไทยเปิดชายแดน ส่งอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และการคุ้มครองให้กับคนเหล่านี้ เราเป็นดั่ง กันชนชีวิต ให้กัมพูชาฟื้นลมหายใจอีกครั้ง และจนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจกัมพูชาก็ยังต้องพึ่งพาการค้าและการลงทุนจากไทยในสัดส่วนมหาศาล ตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน
บุญคุณที่ถูกแทนที่ด้วยข้อพิพาท
แต่สิ่งที่น่าขบคิดคือ แม้กัมพูชาจะพึ่งพาไทยในหลายมิติ เรากลับอยู่ในสภาวะขัดแย้งกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทเรื่องพรมแดน ปราสาทพระวิหาร หรือการสร้างวาทกรรมทางการเมืองที่ชี้ว่าไทยเป็น “คู่แข่ง” หรือ “ผู้รุกราน”
นี่จึงชวนให้ถามว่า บุญคุณในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ถูกถ่ายทอดต่อผ่านคนรุ่นหลังได้จริงหรือไม่? หรือว่าโครงสร้างทางการเมืองและอำนาจนิยมภายในประเทศนั้นมีอิทธิพลมากพอที่จะ “ลบ” ความกตัญญูออกไปจากความทรงจำของสังคม
คำถามที่ค้างคา
ดังนั้น หากจะถามว่าคุณฮุน มาเนต จะสำนึกบุญคุณต่อประเทศไทยหรือไม่ เราอาจต้องมองให้ลึกกว่าคำตอบในเชิงบุคคล เพราะคำตอบอาจถูกกำหนดโดย วัฒนธรรมทางการเมืองของกัมพูชา ที่ถูกหล่อหลอมจากประวัติศาสตร์การล้างสมองและการทำลายปัญญาชน จนความกตัญญูกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยในทางการเมือง
นี่ไม่ใช่การเหมารวมคนทั้งชาติ แต่คือการมองตามข้อเท็จจริงว่า สำนึกบุญคุณนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกปลูกฝังในระดับโครงสร้างของรัฐ และเมื่อผู้นำต้องรักษาอำนาจด้วยการสร้างวาทกรรมที่ชี้ว่า “เพื่อนบ้านคือคู่แข่ง” การยอมรับบุญคุณอาจกลายเป็นสิ่งที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของตนเอง
สุดท้าย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “บุญคุณ” แบบที่เราพูดกันในระดับครอบครัว แต่ขับเคลื่อนด้วย ผลประโยชน์และอำนาจ และถ้าเรายังคิดว่าการให้โอกาสจะเปลี่ยนใจผู้นำของประเทศหนึ่งได้ เราอาจจะกำลัง โรแมนติกเกินไปกับการเมืองระหว่างประเทศ
บางที สิ่งที่เราควรถาม
ไม่ใช่ว่าเขาสำนึกบุญคุณหรือไม่
แต่ควรถามว่า เราพร้อมหรือยัง ที่จะมองโลกอย่างเข้าใจความจริงของมัน
โฆษณา