14 ส.ค. เวลา 03:58 • ความคิดเห็น
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน “วัดพระบาทน้ำพุ” คือภาพของความหวังในยุคที่คำว่า HIV หรือ เอดส์ เป็นเหมือนตราประทับประหารชีวิต ใครถูกตรวจพบว่าติดเชื้อ แทบจะถูกสังคมผลักไสออกไปจากความเป็นคน ไม่ใช่เพราะโรคร้ายทำลายร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เพราะสังคมในตอนนั้นยังไม่เข้าใจ และถูกครอบงำด้วยความกลัวปนความรังเกียจ คนป่วยไม่เพียงถูกตัดสิทธิ์ในทางการแพทย์ แต่ยังถูกตัดสิทธิ์ในการมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ในยุคนั้น วัดพระบาทน้ำพุจึงเป็น “ประตูสุดท้าย” ที่ผู้ป่วยหลายคนเดินเข้ามา ด้วยความเชื่อมั่นว่าที่นี่คือที่พึ่งทางใจและทางกาย บรรดาพระสงฆ์ได้รับการยกย่องในฐานะผู้เสียสละ เป็นนักบุญผู้แบกทุกข์ของผู้อื่นไว้บนบ่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหวังก็เริ่มกลายเป็น “เครื่องจักร” ที่ผลิตกระแสศรัทธาเป็นเงินทอง
เรามียาต้านไวรัสที่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตเกือบปกติได้ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ป่วยหลายคนกลับถูกกีดกันจากโอกาสเข้าถึงการรักษา มีเรื่องเล่าจากอาสาสมัครต่างชาติในยุคก่อนว่า การช่วยเหลือจากภายนอกมักถูกปฏิเสธหรือบิดเบือน เพื่อรักษาภาพความเรื้อรังของปัญหาไว้ เพราะยิ่งปัญหาไม่ถูกแก้ ยิ่งมีเรื่องเล่ามาเรียกน้ำตา ยิ่งมีน้ำตา ก็ยิ่งมีเงินบริจาคหลั่งไหลเข้ามา ของบริจาคมากมายล้นเกินจนบางส่วนถูกนำไปทิ้งขว้าง หรือขายต่อในตลาดมืด ข่าวที่ถูกเปิดโปงในปัจจุบันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ
นี่คือหน้ากากแห่งศรัทธาที่เปื้อนบาป บาปที่ไม่ได้มาจากการทำลาย แต่จากการ “รักษาสภาพบาป” ไว้เพื่อผลประโยชน์
ศาสนา: แผ่นดินของนักบุญในคราบนักธุรกิจ
ยุคนี้เรามีเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมโลกทั้งใบไว้ในฝ่ามือ แต่สิ่งที่ถูกเปิดโปงออกมา กลับทำให้ศรัทธาของผู้คนสั่นคลอน เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะตำบล หรือแม้แต่ “สีกากอล์ฟ” ที่เป็นเพียงปลายหางของพฤติกรรมซ่อนเร้น ล้วนชี้ให้เห็นว่าระบบศาสนาในบางมุมได้กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจ ศรัทธาคือสินค้าขายดี “บุญ” กลายเป็นแพ็กเกจที่มีราคาตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักล้าน และบาปก็ถูกซ่อนในห้องแอร์เย็นฉ่ำหลังพระอุโบสถ
การเมือง: สงครามที่ต้องไม่จบ เพราะมันคือแหล่งผลประโยชน์
สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา คือภาพสะท้อนความย้อนแย้ง ฝ่ายไทย ประชาชนเชิดชูทหาร ฝ่ายกัมพูชา ประชาชนก็เชิดชูทหารเหมือนกัน เบื้องหลังของความขัดแย้งคือเครือข่ายผลประโยชน์ที่ผูกพันกับเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน ทั้งการค้า การลักลอบ การก่อสร้างงบประมาณมหาศาลเพื่อเสริมกำลัง หรือแม้แต่การคอร์รัปชันที่หลบอยู่ใต้ข้ออ้างเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ”
นี่อาจเป็นสงครามที่ไม่มีใครอยากให้จบ เพราะถ้ามันจบ แหล่งรายได้หลายอย่างก็จะเหือดแห้งลง ความรักชาติกลายเป็นสินค้าทางการเมือง และเลือดของทหารกลายเป็นค่าใช้จ่ายในสมการผลประโยชน์
อำนาจนิยม: ศัตรูร่วมของเสรีภาพ
ไทยกับกัมพูชาต่างกันเรื่องระบอบการปกครอง ฝั่งหนึ่งเป็นรัฐราชาธิปไตย ฝั่งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้คอมมิวนิสต์ แต่สุดท้ายสิ่งที่เหมือนกันคืออำนาจนิยม อนุรักษ์นิยมจับมือกับอำนาจนิยมอย่างไม่ลังเล เพราะสิ่งที่ปกป้องคือ อำนาจ ไม่ใช่ ประชาชน และไม่ว่าจะใช้ธงสีไหน ก็ซ่อนมือที่กำบังผลประโยชน์อยู่ข้างหลังทั้งสิ้น
สิ่งสกปรกใต้พรมที่เราไม่เคยเห็น
เบื้องหลังมูลนิธิการกุศลบางแห่ง ที่รับบริจาคในนามช่วยเด็ก แต่เด็กกลับได้เพียงเศษเสี้ยวของเงินนั้น
เครือข่าย NGOs ที่ตั้งขึ้นเพื่อ “กินงบ” มากกว่าช่วยเหลือ
การใช้ข่าวเศร้าเป็น “คอนเทนต์” เพื่อเรียกยอดบริจาคออนไลน์
ระบบราชการที่ตั้งกฎเพื่อสร้างช่องให้ตัวเองหาผลประโยชน์
อุตสาหกรรมสื่อที่เลือกข้างเพราะเงินโฆษณา มากกว่าความจริง
สถาบันการศึกษาที่ผลิตคนออกมาเป็นแรงงานเชื่อฟัง มากกว่าประชาชนที่คิดเป็น
ธุรกิจอาหารและยาที่ออกแบบให้คนป่วยเรื้อรัง เพื่อให้มียอดขายต่อเนื่อง
เราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างมี “เบื้องหลัง” และเบื้องหลังนั้นมักไม่ใช่ภาพสวยงามที่เราเคยเชื่อ โลกอาจไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสมัยก่อน แต่วันนี้เรามีไฟฉายแรงสูงที่ส่องเข้าไปในเงามืดได้มากขึ้น และเมื่อแสงสว่างฉายลงไป สิ่งที่เราเห็นก็ไม่อาจ “ทำเป็นมองไม่เห็น” ได้อีกต่อไป
โฆษณา