เมื่อวาน เวลา 10:28 • ธุรกิจ

เมื่อเวียดนามแซงหน้า: ถอดบทเรียนการแก้ปัญหาทุเรียนจากเวียดนาม สัญญาณเตือนที่ไทยต้องตระหนัก!

ในขณะที่เวียดนามเร่งสร้างมาตรฐานระดับโลก ไทยในฐานะแชมป์เก่ากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข บทความนี้จะพาไปดูว่าเวียดนามทำอย่างไร และประเทศไทยมีแนวทางในการรับมือกับปัญหานี้อย่างไรบ้าง
ข่าวการส่งออกทุเรียนของเวียดนามที่พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดไปขายต่างประเทศ ได้มากกว่า 207,000 ตัน ระหว่างเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่า 10 เท่า ของปริมาณทุเรียนที่ส่งออกไปในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน 2568 ในขณะที่การส่งออกทุุเรียนแช่แข็งในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ทำได้ไม่น้อยหน้ากัน คือ เพิ่มขึ้น 64.3% หรือประมาณ 16,000 ตัน
ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนที่ดังพอสมควรสำหรับประเทศไทย ในฐานะเจ้าแห่งทุเรียนที่เคยครองตลาดมายาวนาน
สิ่งที่น่าสนใจและน่าจับตามองอย่างยิ่งคือ แนวทางที่เวียดนามใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและเป็นข้อกำหนดสำคัญของประเทศผู้นำเข้า
ถอดบทเรียนจากเวียดนาม: การทำงานที่รวดเร็วและเป็นระบบ
จากข่าวที่ได้รับมา แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของเวียดนามในการวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
1) สร้างแผนที่การปนเปื้อนแคดเมียม: เวียดนามมีแผนที่จะพัฒนา "แผนที่การปนเปื้อนแคดเมียม" (Cadmium Contamination Map) สำหรับพื้นที่ปลูกทุเรียน เพื่อเป็นมาตรการสำคัญในการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยของอาหาร ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีหนึ่งที่แสดงความจริงใจในการยอมรับว่าปัญหาเกิดขึ้น และมีการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเป็นระบบ
2) ใช้ระบบดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการ: ข้อมูลทั้งหมดจะถูกทำให้เป็นดิจิทัลและบูรณาการเข้ากับระบบการจัดการพื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้หน่วยงาน ธุรกิจ และเกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดายและป้องกันความเสี่ยงเชิงรุก
3) ปรับปรุงคุณภาพดิน: มีการนำแนวทางการปรับปรุงดินเพื่อลดปริมาณโลหะหนักมาใช้ เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การเติมปูนขาวเพื่อเพิ่มค่า pH ของดิน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพเพื่อจำกัดการดูดซับแคดเมียมของพืช
แนวทางเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเวียดนามไม่ได้มุ่งเน้นแค่การเพิ่มปริมาณการส่งออกในระยะสั้น แต่พวกเขากำลังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรักษามาตรฐานและขยายตลาดไปยังตลาดพรีเมียมอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
แล้วประเทศไทยมีแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร?
ในฐานะที่ (เคย?) เป็นประเทศผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก ประเทศไทยก็มีความตระหนักในเรื่องนี้เช่นกัน จากการรวบรวมข้อมูลพบว่าภาครัฐของไทย โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาและป้องกันการปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตรอยู่บ้าง
1) มาตรการควบคุมและป้องกัน: มีการออกมาตรฐานควบคุมและป้องกันการปนเปื้อนของโลหะหนักในผลผลิตทางการเกษตร โดยมีการกำหนดค่าปริมาณสารปนเปื้อนสูงสุดที่อนุญาต (Maximum Residue Limit - MRL) และมีการเฝ้าระวังคุณภาพของผลผลิต
2) การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่: มีการส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อให้สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการเพาะปลูกที่ปลอดภัยได้อย่างทั่วถึง
3) การตรวจรับรองคุณภาพ: มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและออกใบรับรองคุณภาพ GAP (Good Agricultural Practices) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
จากเวียดนามสู่ไทย: สัญญาณเตือนที่ต้องรีบแก้ไข
แม้ประเทศไทยจะมีแนวทางในการรับมือ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากกรณีของเวียดนามคือ ความรวดเร็วและกลยุทธ์เชิงรุก ที่มุ่งเน้นการสร้างระบบการจัดการที่ทันสมัยและครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน
การที่เวียดนามสามารถ "สร้างแผนที่การปนเปื้อน" หรือใช้ระบบดิจิทัลในการจัดการ แสดงให้เห็นถึงการทำงานแบบบูรณาการและการนำนวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐและประชาชนของไทยต้องหันมาตระหนัก
หากเรายังคงเน้นแต่ปริมาณการส่งออกโดยขาดการวางแผนระยะยาวในการสร้างมาตรฐานและความปลอดภัยในระดับโลก เราอาจจะสูญเสียตลาดทุเรียนให้กับคู่แข่งอย่างเวียดนามในที่สุด
นี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะได้ถอดบทเรียนจากเพื่อนบ้าน และเร่งปรับปรุงแนวทางการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์ทุเรียน และสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมทุเรียนไทยในอนาคต
โฆษณา