14 ส.ค. เวลา 17:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ผมเชื่ออย่างงี้นะว่า วิธีที่จะก้าวข้ามผ่านความผิดพลาด และผิดหวัง ได้ดีที่สุด ก็คือการยอมรับผลของมันให้ได้ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก้าวเดินต่อไป
เฉกเช่นเดียวกับที่อาจารย์โกเอ็นก้าของผม จะพูดเสมอตอนกลับเข้ามาฟังคำสอนตอนไปฝึกปฏิบัติวิปัสสนา
"Start Again"
ที่ผมจะเขียนต่อจากนี้ มันคือคำสารภาพ และการยอมรับความจริงว่า ผมก็ผิดพลาดได้ และผิดมาบ่อยมากด้วย โดยความผิดพลาดครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในชีวิตครับ
1
ผมขอไล่เรียงเป็นทีละจุด ดังนี้ครับ
- ผมมีความฝันที่อยากจะเห็นแบรนด์ของคนไทย สามารถเติบโตไปได้มากกว่าแค่ในประเทศไทย อยากจะเห็นแบรนด์ที่ไปในระดับ Regional ขึ้นไปได้ และผมก็อยากจะลงทุนในบริษัทที่สามารถทำแบบนี้ได้
ผมได้ควานหา และเจอผู้บริหารบางคน ที่มี Passion แรงกล้า ตั้งอกตั้งใจมาก กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ ผมก็ซื้อไอเดีย คนเหล่านี้ ผมปลาบปลื้มเค้าเป็นการส่วนตัวมาก
พอผมเชื่อ ผมก็ลงทุนกับพวกเขา เช่น WARRIX กับ SABINA ที่มี Passion แบบนั้น
- ความผิดพลาดข้อแรก: หลอกตัวเองว่าคุณภาพมันจะดี
1
บริษัทอย่าง WARRIX ถ้าพูดตรง ๆ โดยเนื้อแท้ ก็ไม่ได้มีคุณภาพดีเท่าไรนัก ต้องพึ่งพาความสุดยอดของผู้บริหารมาก
1
แบรนด์ยังใหม่ ไม่ได้อยู่มานาน ประสบการณ์ของเจ้าของก็ยังไม่ได้มากขนาดนั้น
จำนวนสาขาก็ยังน้อย สินค้าที่เป็น Product Champion จริง ๆ ผมว่าก็ไม่มี ผมไม่คิดว่า เสื้ออย่างโปโลที่ชอบขาย จะมี Potential พอจะเป็น Product Champion ได้
1
แต่เพราะความมุ่งมั่นของคุณฮิม ที่ผมรู้สึกว่า ซื้อใจผมได้ อีกทั้งในบริษัทนี้ก็มีประธานบอร์ด เป็นระดับอาจารย์จุฬา ที่เด่นในด้านกลยุทธ์ธุรกิจ อันดับต้น ๆ ของประเทศเลย
ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้น่าจะช่วย Synergy กันได้บ้าง
แต่ผมก็คิดผิด เพราะการจะสร้างบริษัทใหม่สักแห่ง ที่ Product ก็ธรรมดา ๆ ไม่ได้แตกต่างจากของเจ้าอื่นมากนัก สินค้าไม่ได้มี Switching Cost อะไรเลย ธุรกิจไม่ได้มี Moat จริง แถมอยู่ในสภาวะที่มีคู่แข่งไม่น้อยด้วย
1
กลยุทธ์การทำธุรกิจอาจจะแปลกใหม่ เช่น เริ่มขายเสื้อใน 7-11, ทำ Collab กับเหล่าศิลปิน, จัดงานวิ่ง งานกีฬาของตัวเอง
ฟังดูดี แต่ผลที่ได้ ก็ไม่ได้ช่วยผลประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืนเลย
1
แน่นอน ผมชอบที่บริษัทมีความกล้าลองผิดลองถูก เพราะผมเชื่อว่า ถ้ามีความกล้าลองผิดลองถูกมากพอ ถ้าเกิดค้นพบสูตรความสำเร็จ ในระยะยาวบริษัทจะไปได้อีกไกล
ซึ่งผมก็พบว่า ที่ทำมาตลอดตั้งแต่ผมติดตามบริษัทมา 2 ปีกว่า ๆ เนี่ย ยังนึกไม่ออกเลยว่า อะไรที่เรียกว่าสำเร็จจริง ๆ
แต่เรื่องนี้จะไปโทษผู้บริหารก็ไม่ได้ และผมจะไม่โทษพวกเขาเลย เพราะผมเคยตั้งคำถามอยู่เหมือนกันนะว่า "ถ้าผมอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา ผมจะทำอย่างไร ?"
แล้วผมก็ได้คำตอบว่า "ผมก็คงทำไม่ต่างกัน เพราะกลยุทธ์ที่เค้าใช้ มันก็พยายามจะแตกต่าง จะสร้างแบรนด์ จะทำให้บริษัทโตได้แบบยั่งยืน"
แต่แค่ที่ทำมา มันยังไม่สำเร็จ ก็เท่านั้นเอง
เรื่องนี้สอนผมอีกครั้งว่า การจะสร้างบริษัทเกิดใหม่ ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง อยู่ได้เป็นหัวแถวไปยาว ๆ เนี่ย มันยากเหลือเกิน
- ความผิดพลาดข้อที่สอง: ผมซื้อหุ้นมาในราคาที่แพงเกินไป
1
ผมเริ่มชอบหุ้นตัวนี้ ตอนที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น ผมเริ่มซื้อตอนนั้นไปนิดหน่อย แต่ต้นทุนผมจริง ๆ ต่ำกว่านั้นเยอะ เพราะผมไม่ได้ซื้อก้อนเดียวหนัก ๆ
ในช่วงเวลานั้น ผมเชื่อว่าบริษัทจะทำได้ตามแผน เพราะผมชอบกลยุทธ์เค้ามาก ผู้บริหารพูดออกมาอย่างมี Passion
ผมคิดว่ามันแพงมาก แต่ผมก็ใช้เครื่องมือทางการเงินหนักมากมาคาดการณ์ และประเมินมูลค่า ตามสมมติฐานที่ผมตั้งไว้
1
ถ้ามันโตได้ตามที่คิด ราคา 10 บาทต่อหุ้น ก็อาจจะไม่ได้แพงเลย
แต่บริษัทก็ทำไม่ได้ โตไม่ได้ตามที่คิด กระแสเงินสดก็ไม่ดูดีแบบที่คิด สิ่งที่ทำออกมาก็ดูแป๊กมาก
เรื่องนี้ให้บทเรียนผมดีเลยล่ะว่า อย่าไปซื้อของแพง ถ้าคุณภาพมันไม่ดีจริง แม้ว่ามันจะมีโอกาสเติบโตสูงก็ตาม
1
หุ้นบางตัวเราอาจจะซื้อแพงได้ แล้วยังได้ผลตอบแทนดีด้วย แต่บริษัทนั้นจะต้องมีคุณภาพสูงมาก ขายสิ่งที่จำเป็น ที่ลูกค้าจะต้องใช้ซ้ำ ๆ เปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นยาก
1
ในโลกนี้มีบริษัทที่เป็นตัวอย่างแบบนี้อยู่ให้เห็นเยอะแยะ แต่ WARRIX ไม่ได้มีคุณสมบัติแบบนั้นเลย แต่แค่ในตอนนั้นมี Story ที่จะเติบโตได้
ซึ่งผมได้คำตอบยืนยันกับตนเองอีกครั้งว่า Story การเติบโตอย่างเดียวมันไม่พอ จะต้องมี Story ด้านความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน เช่นเดียวกันด้วย
1
พวกประเภทเติบโตอย่างไม่มีคุณภาพ เราจะต้องระวังให้ดี เพราะพอลงทุนแล้ว ก็ต้องมัวมาคอยกังวัลว่าจะต้องรีบขายตอนไหน ก่อนที่หุ้นจะร่วงลงมา
1
- ความผิดพลาดข้อที่สาม: มองโลกในแง่ร้าย น้อยเกินไปหน่อย
1
ผมเชื่อมานานแล้วว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่มีวันกลับไปเติบโตสูง ๆ ได้อีก 5% ก็ไม่น่าได้ 3% ในระยะยาวยังดูตึง ๆ
อาจจะเพราะผมได้เรียนเศรษฐศสตร์มา ช่วงนึงในชีวิตเป็นเวลาหลายปี ผมอินเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำมาก
1
เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมานาน ทำให้ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะมีมาตรการ Monetary Policy หรือ Fiscal Policy ใด ๆ ออกมาก็ตาม ถ้าเราไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ในระยะยาว เศรษฐกิจประเทศเราจะไม่มีทางกลับไปเติบโตได้ดีอีก และเราจะต้องติดกับดัก Higher Middle Income Trap ไปอีกนาน
1
ผมเลยไม่ได้เชื่อเรื่องการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือใช้นโยบายดอกเบี้ยเป็น 0 หรือติดลบ เพราะในระยะยาว มันจะไม่ช่วยอะไร เพราะเมื่อเราได้ใช้เครื่องมือที่จะช่วยกระตุ้นระยะสั้นไปหมดแล้ว จนไปเหลือกระสุนแล้ว ต่อไปเครื่องมือเหล่านี้ก็จะใช้งานไม่ได้อีก
1
มันก็เลี่ยงไม่พ้น ที่เราจะต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในสักวัน
ผมก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากอะไร ต้องแก้ยังไงดี รู้แค่มันต้องแก้ และประเทศเราจะอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว
เรื่องตลกก็คือ หลายปีผ่านมาตั้งแต่ผมสนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ ผมเคยเจอแค่พรรคเดียวเท่านั้น ที่พูดเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง และมีนโยบายที่อยากจะแก้เรื่องนี้จริงจังด้วย แต่เป็นนโยบายที่ไม่ถูกใจพวกคนมีเงินเท่าไรนัก
แน่นอน พรรคนี้ไม่เคยได้เป็นรัฐบาลครับ
แต่ผมก็พลาดไป ผมไม่คิดว่า เศรษฐกิจภาคครัวเรือนของประเทศเรา จะหนักขนาดนี้
1
อย่างการท่องเที่ยวซึ่งเป็นด้านที่ผมเคยทำวิจัยเมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมก็ไม่คิดเลยว่า มันจะแย่ขนาดนี้ได้
และที่สำคัญ ผมไม่เคยคิดเลยว่า ในยุคนี้ เราจะมีสภาพรัฐบาล และสภาพนายก ที่ย่ำแย่ได้ถึงเพียงนี้
1
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ประเทศของเราจะมีนายกที่โง่กว่าเด็กมัธยมบางคนเสียอีก
2
ผมพูดจริงนะ เพราะผมเคยเจอเด็กมัธยมที่ฉลาดกว่านายกของเราเสียอีก
1
เนี่ยแหละฮะ อีกหนึ่งความผิดพลาดของผม ที่ประเมินด้านลบอย่างสภาพเศรษฐกิจ ต่ำเกินไปหน่อย ลืมคิดไปว่า ไอ้ที่เราเคยคิดว่าจะแย่ มันสามารถแย่กว่าที่เราคิดได้อีก
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็สะท้อนมาให้เห็นในงบของปี 2568 นี้ เราคงได้เห็นแล้วว่า บริษัทแต่ละแห่ง ประกาศผลประกอบการออกมาอย่างไรบ้าง
- ความผิดพลาดข้อที่สี่: สำนึกรักในบ้านเกิดมากเกินไป จนปรับตัวได้ช้าไปหน่อย
1
ผมเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่ง Performance ที่ออกมาจนถึงตอนนี้ ก็ถือว่า ผมทำได้ดีมาก
ผมมีหุ้นหลายเด้ง และหุ้นเด้ง รวมกันแล้วหลายตัวมาก
แต่ผมก็ยังใช้เวลาในการพลิกหิน ตามหาหุ้นไทยคุณภาพดี อย่างต่อเนื่อง
1
ก่อนหน้านี้ ผมใช้พลังงานกับหุ้นไทยมากกว่าหุ้นนอก ค่อนข้างเยอะ
1
หุ้นไทยที่ผมหาเจอ ช่วงที่ผ่านมา มันทำผลตอบแทนได้ดีมาก ก่อนที่ตอนนี้มันจะตกลงมา กลับมาสู่เกือบจุดเดิม
1
ตอนมันขึ้นไป ผมก็ต้องคิดอยู่แล้วแหละว่า ตัวเองนี่เก่งมากเลยแฮะ ลงทุนในตลาดไหนก็กำไร หาหุ้นเด้งเจอได้ทุกปีเลย
ผมเริ่มต้นมาจากหุ้นไทย ผมก็จะมีความเชื่อแบบที่คนเชื่อตาม ๆ กันว่า ลงทุนหุ้นต่างประเทศยาก เราไม่มี Edge เท่าฝรั่ง
หุ้นไทยของดียังมีอยู่ แค่ต้องหาให้เจอ ต้องมองให้ขาดกว่าคนอื่น แล้วต้องการ Bet ให้หนักด้วย
แต่หลังจากผ่านการพลิกหินในตลาดหุ้นไทยอย่างน่าเบื่อ ผมก็ได้พบกับความจริงว่า ไอ้ตัวที่ว่าดีจริง ๆ และผ่านคุณสมบัติที่ผมตั้งไว้เนี่ย มันมีน้อยเหลือเกิน สุดท้ายมันก็หน้าตาเดิม ๆ ที่ต้องรอซื้อตอนราคาไม่แพง ซื้อแล้วก็ต้องรอขายอีก
1
คุณภาพพูดกันตามตรง ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น Growth ก็ใช่ว่าจะสูง การแข่งขันก็สูง Switching Cost ก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น Free Float ก็น้อย ปั่นกันได้ ราคาก็นำก่อนงบออกกันเป็นเรื่องปกติ
2
มันทำให้ผมเซ็งมากว่า ผมอยู่กับเรื่องแบบนี้มาหลายปี Playbook เคยใช้ได้ดี แต่ผมจะต้องทนอยู่กับพวกหุ้นพวกนี้ต่อไปแบบนี้หรอ สุดท้ายแล้ว Business Model อ่าน ๆ ไป มันก็เดิม ๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่
1
รายได้ Recurring ไม่ต้องถาม ไม่มีให้ดูหรอก ใช้ความเชื่อเอา
Backlog หรอ ความเชื่อมั่นหรือการหลอกตัวเอง
ECL ตั้งสำรอง เก็บเงินได้ดีไหม สุดท้ายต้องใช้ความเชื่อมั่นในผู้บริหารอีก
หุ้น P/E ถูกนะ รายได้กำไรโตตลอดเลย แต่ทำไมหน้าตา Cashflow พี่ทุเรศจังเลย
1
ผมจำไม่ได้แล้วว่า ทำไมวันนึงผมจึงตัดสินใจลองเปลี่ยนตัวเอง ไปใช้เวลากับบริษัทต่างประเทศมากขึ้น อาจจะเพราะว่า ผมเบื่อแล้ว ผมพยายามควานหาบริษัทดี ๆ แต่กลับพบแต่ความผิดหวัง
1
และพอหันกลับมาดูหุ้นต่างประเทศ ผลประกอบการก็โตตลอด อาจจะมากบ้างน้อยบ้าง ตรงหรือไม่ตรงตามที่นักวิเคราะห์คาดบ้าง แต่ผลประกอบการมันก็โต
1
บริษัทที่สร้างรายได้แบบ Recurring ก็มีให้เลือกเยอะแยะ
NRR ก็ดูได้
TAM ก็มีให้ดู
Guidance มีมาให้ ไม่ต้องมาเดาเอาเอง
ข้อมูลเอาจริง ๆ ก็ตามง่ายกว่า เพราะมี Public อยู่เต็มอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องอาศัยว่ารู้จักกับใครบางคนเหมือนตอนลงทุนหุ้นไทยเลย
ไอ้พวกบริษัทคุณภาพดีแบบนี้ ดันสามารถสร้างฐานใหม่ให้เพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ เช่น ลูกค้าเดิม ใช้บริการแล้วชอบ ก็เลยจ่ายเงินมากขึ้น แถม Switching Cost ก็สูงได้
แต่มองกลับมาที่หุ้นไทย ตัวที่ว่ากันว่าคุณภาพดี พอต้องถามเรื่อง Switching Cost คำตอบก็ยังดูน่ากังขา ผลประกอบการที่ออกมาเป๋ ก็สร้างความไม่สบายใจอยู่ตลอดว่า มันจะเป๋สั้น หรือเป๋ยาวนะ
1
เอาจริง ๆ ผมเห็นด้วยกับพี่คนนึงที่ผมชอบคุยกับแกนะ "หุ้นต่างประเทศมันง่ายกว่าจริง ๆ" มันไม่ต้องเล่นท่ายากก็ได้ เลือกตัวที่ Business Model ดี คุณภาพดี อยู่บน Megatrend ก็ได้เหมือนกัน
1
เนี่ยครับ ผมมารู้ตัวช้าเกินไปหน่อย
1
การได้ใช้เวลากับบริษัทระดับโลกมากขึ้น มันก็ทำให้ผมเปิดโลกมากขึ้นด้วย ผมได้เจอบริษัทแปลกใหม่เยอะแยะ ของดี ๆ ที่ไม่มีในตลาดหุ้นไทยทั้งนั้น
หุ้นบางตัว ผมเพิ่งได้ซื้อตอนที่มันก็ขึ้นมาเกือบ 10 เด้งแล้ว แต่ตอนนี้มันก็ยังขึ้นมาได้อีก 3 เด้ง
1
บริษัทนึง เพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นไม่นาน เป็นของดีราคาถูก ทำธุรกิจอยู่ในประเทศแปลก แต่งบดีมาก เป็นเจ้าตลาดในประเทศที่ทำธุรกิจอยู่ด้วย หุ้นตัวนี้ก็ขึ้นมาเกือบจะ 3 เด้งแล้วในปีนี้
แน่นอน ก็มีพลาดเหมือนกัน บางตัวก็ติดลบเยอะ แต่ยังเชื่อมั่นอยู่นะ
แต่ผลประกอบการที่ออกมา ถ้าไม่ดูราคาหุ้นเลยนะครับ มันก็ยังรู้สึกชื่นใจอ่ะครับ เพราะผลประกอบการมันโต Metrics ของธุรกิจมันดีครับ
ผมว่าผมพิมพ์มายาวมาก ซึ่งผมไม่ได้อยากเขียนยาวขนาดนี้ แต่ยิ่งเขียน มันก็ยิ่งพรั่งพรูออกมาครับ
ทั้งหมดนี้คือคำสารภาพในความผิดพลาดของผมครับ
1
ผมถือหุ้นตัวนี้ ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่เยอะถ้าเทียบกับความมั่งคั่งของตัวเอง แต่ถ้ามองเป็นตัวเงิน ผมว่าเอาจริง ๆ มันก็เยอะนะ
แต่นั่นแหละฮะ ผมพลาดเอง 555
พลาดแล้วพลาดอีก และเดี๋ยวอนาคตผมก็จะเจอกับความผิดพลาดอีกครับ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกระจายความเสี่ยง สำคัญเสมอครับ แม้ว่าเราจะทำการบ้านมาหนัก รู้เยอะ เชื่อมั่นในตัวผู้บริหารแค่ไหน แต่เชื่อเถอะครับ มันจะเรื่องที่เราไม่รู้อยู่ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่า แท้จริงแล้ว เราก็ไม่รู้
ผมเชื่อคำนี้นะว่า อย่ามั่นใจในอะไรมากเกินไปนัก จริง ๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้เก่งเท่าที่เราคิดเลยก็ได้ครับ และบางที ที่ผ่านมา ชีวิตเราอาจจะแค่โชคดีก็ได้
ดังนั้น ปิดความเสี่ยงทุกอย่าง เท่าที่จะสามารถทำได้เอาไว้ก่อน เพื่อ "วันที่โชคของเราหมดลง" เราจะได้ไม่เจ็บตัวจนชีวิตต้องพังทลายครับ
โฆษณา