18 ส.ค. เวลา 01:04 • เพลง & ซีรีส์ เกาหลี

ถอดองค์ประกอบสร้าง 'ความลึกลับ' ฉบับซีรีส์เกาหลีจาก 5 เรื่องน่าสนใจใน Disney+ Hotstar

เมื่อพูดถึงซีรีส์เกาหลี นอกจากเรื่องราวความรักดราม่าที่ค่อนข้างขึ้นชื่อ แต่หนึ่งในแนวที่เกาหลีทำได้อย่างเฉียบคมมากๆ คือซีรีส์ที่มี ‘ความลึกลับ’ เป็นองค์ประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นแนวระทึกขวัญ, สืบสวน-สอบสวน ไปจนถึงแฟนตาซีภูติผีปีศาจ
ซึ่ง ‘ความลึกลับ’ นี้ไม่ใช่แค่เพียงความมืด ความเงียบ หรือต้องมีผีโผล่ออกมาเท่านั้น แต่คือการผสานหลายๆ องค์ประกอบทั้งเนื้อหา ที่ต้องเลือกจะเปิด หรือซ่อนอะไร, จังหวะการเล่า การเฉลยปม ผสานกับ Art Direction ในทุกๆ มิติ
ผลลัพธ์คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนดู ทั้งความไม่แน่ใจ สับสน ไปจนถึงหวาดกลัว ทำให้เกิดความน่าติดตาม อยากรู้เรื่องราวต่อไป จนเกิดอาการที่เรียกว่าติดซีรีส์นั่นแหละ !
วันนี้เราขอพาไปสำรวจ ‘ความลึกลับ’ ผ่านซีรีส์เกาหลี 5 เรื่องบน Disney+ Hotstar ที่มีทีเด็ดในการสร้างความลึกลับของตนเอง รับรองว่าดูซีรีส์สนุกขึ้นแน่นอน ! โดย 5 เรื่องที่เลือกมาวันนี้มี
  • 1.
    Light Shop (2024) : ความลึกลับจากแสงสว่างของร้านโคมไฟกลางซอยเปลี่ยว
  • 2.
    Nine Puzzles (2025) : ความลึกลับจากเรื่องราวบนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย
  • 3.
    The Judge from Hell (2024) : ความลึกลับของพื้นที่แห่งการตัดสิน ด้วยระบบโลกหลังความตาย
  • 4.
    The Golden Spoon (2022) : ความลึกลับของโชคชะตา ที่สลับไปมาด้วยอำนาจ ‘ช้อนทอง’
  • 5.
    Revenant (2023) : ความลึกลับจากวิญญาณร้าย ที่กลายเป็นความไม่มั่นคงในจิตใจ
‘Light Shop’ ความลึกลับจากแสงสว่างของร้านโคมไฟกลางซอยเปลี่ยว
ซีรีส์แฟนตาซี-ลึกลับ เล่าเรื่องราวของกลุ่มคนแปลกหน้ามากหน้าหลายตา ที่แวะเวียนมาเยือนที่ร้านโคมไฟปริศนาที่ตั้งอยู่ในตรอกมืด ซึ่งเชื่อว่าทุกคนที่ดูซีรีส์ Light Shop ไป 2-3 ตอนแรก มักจะรู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย โดยถูกจับโยนเข้าไปในบรรยากาศของถนนที่ทั้งมืด เงียบ เปลี่ยว มีเพียงแสงไฟจาก ‘ร้านโคมไฟ’ ปริศนา ที่เราไม่รู้ที่มาที่ไป
สิ่งแรกที่สร้างบรรยากาศของความลึกลับในเรื่องนี้ คือวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง (non-linear) แต่ค่อยๆ เผยข้อมูลและมุมมองผ่านแต่ละตัวละครที่มาเยือนร้านโคมไฟ ให้คนดูค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวแบบไม่เรียงลำดับ และผสานเข้ากับการออกแบบทุกองค์ประกอบศิลป์ ภาพรวมใช้โทนสีที่มืดและหม่น แสงและเงาสลัว ฝนที่ตกเพื่อปิดบังทัศนวิสัยและกลบเสียงภายนอก ราวกับถนนแห่งนี้เป็นอีกพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ
สิ่งที่ Contrast กับบริบททั้งหมดมีเพียง ‘ร้านโคมไฟ’ ที่เป็นจุดส่องสว่าง รวมกับ Setting และพร็อพในร้าน เช่น โคมไฟหลากรูปทรง เฟอร์นิเจอร์ย้อนยุค สื่อถึงการเป็นพื้นที่เปลี่ยนผ่านระหว่างโลก 2 ใบ รวมถึงโทนสี Warm Light ในร้านโคมไฟ ยังช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่น เป็นพื้นที่ให้เราได้ทบทวน ตกตะกอนเรื่องราวและความรู้สึกในใจ พร้อมที่จะปล่อยวางเพื่อจากลา หรือจะยึดติดแล้วจมดิ่งอยู่ในความมืดไปตลอดกาล
ท้ายที่สุดแล้ว ‘ร้านโคมไฟ’ ในเรื่องนี้จึงคล้ายกับการตีความจากเรื่องเล่าของผู้คนที่ตื่นมาจากภาวะโคม่า หรือใกล้ความตายมาแล้ว ว่าพวกเขามีกจะเห็น ‘แสงที่ปลายอุโมงค์’ ก็เหมือนที่เหล่าตัวละครในเรื่องเห็นร้านโคมไฟนี้นั่นเอง
‘Nine Puzzles’ ความลึกลับจากเรื่องราวบนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย
ซีรีส์แนวสืบสวน เล่าเรื่องราวของโปรไฟเลอร์สาวที่เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมคุณอาตั้งแต่เมื่อปี 10 ก่อน โดยมีชิ้นส่วน ‘จิ๊กซอว์’ เป็นเบาะแสของคนร้ายตัวจริง
ความลึกลับในเรื่องนี้เกิดจากองค์ประกอบของเรื่องที่ถูกแตกออกเป็นชิ้นส่วนแบบ Fragmentation โดยมีทั้งเรื่องราวในอดีตและปัจจุบัน แต่ทั้งหมดล้วนมี ‘จิ๊กซอว์’ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงแก่นทั้งหมดไว้ด้วยกัน
Nine Puzzles วางภาพด้วยโทนสีเย็น มืด โดยเฉพาะสีเขียวเข้ม และมีการใช้สีคู่ตรงข้าวอย่าง ‘สีแดง’ เพื่อไฮไลต์ในฉากสำคัญ เช่น เน้นตัวละครนางเอก รวมถึงยังเป็นสัญญะของเลือดอีกด้วย
มุมกล้องหลายๆ ครั้งจะฉายให้เห็นภาพกว้าง พร้อมการเล่าแบบ slow‑burn เพื่อให้คนเห็นบริบทบรรยากาศในภาพรวมที่ตัวละครรู้สึกได้มากที่สุด แล้วจึงใช้การซูมอิน พร้อมใช้แสงเฉพาะจุดในบางฉากที่ต้องการเก็บเน้นหรือรายละเอียด เช่น เน้นไปที่จิ๊กซอว์ หรือใบหน้าผู้ต้องสงสัย
ซึ่งด้วยการดำเนินเรื่อง และเทคนิคต่างๆ ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกสงสัย อยากจะกระโดดเข้าหน้าจอไปต่อจิ๊กซอว์ภาพนี้ให้สมบูรณ์ เพื่อหาคำตอบว่าใครคือฆาตกรกันแน่ ช่วงที่ซีรีส์ฉายจึงเกิดกระแสการพูดคุยคาดเดากันไปหลายทฤษฎีแบบสุดๆ
‘The Judge from Hell’ ความลึกลับของพื้นที่แห่งการตัดสิน ด้วยระบบโลกหลังความตาย
ซีรีส์ดาร์กแฟนตาซี-อาชญากรรม เมื่อผู้พิพากษาฟื้นจากการตายหลังโดนปีศาจจากนรกเข้ามาสิงในร่าง และได้รับภารกิจที่ต้องพิพากษาดวงวิญญาณ จนเกิดเป็นเรื่องลี้ลับทั้งในโลกแห่งความจริง และโลกแห่งความตาย
ในแง่มุมของความลึกลับส่วนแรกมาจากพาร์ทแฟนตาซี กับ World-Building สร้างโลกแห่งความตาย ทั้งกฎเฉพาะต่างๆ ของนรก, ชื่อและลำดับชนชั้นของเหล่าปีศาจในนรก ที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวในปกรณัมกรีก, เนื้อหาจากคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะนางเอกของเรื่องที่มีแรงบันดาลใจมาจากเทวีแห่งความยุติธรรมหรือ ‘Justitia’ ตามความเชื่อแบบโรมัน มีความเกี่ยวโยงกับดาบและตาชั่ง อันเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินและความยุติธรรม
ไฮไลต์หนึ่งคือช่วงเวลาการตัดสินของ Justitia เมื่อจ้องมองนัยน์ตาสีม่วง คนร้ายจะถูกพาเข้าไปในพื้นที่แห่งจินตนาการเพื่อรับบทลงโทษ ซึ่งมี Transition เป็นลูกเล่นมุมกล้องต่างๆ เช่น มุมมกล้องกลับหัว
โดยในพื้นที่แห่งการตัดสินจะถูกแยกจากโลกแห่งความจริง มีความ Surreal ในหลายมิติ เช่นสัดส่วนของพื้นที่และการจัดวางสิ่งของที่มีความแปลกไปจากปกติ, สีสันที่สดใสจนดูเกินจริง และการจัดแสงที่ไม่ได้มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น แสงสีม่วงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ราวกับว่าเป็นพื้นที่ที่ผสานโลกแห่งความจริงและนรกเข้าด้วยกัน
และเมื่อพื้นที่หลอนๆ มารวมกับบทลงโทษที่โคตรสะใจของนางเอก ก็ยิ่งทำให้คนดูลุ้น รอเวลาแห่งการตัดสินครั้งต่อไป ว่าเหล่าคนร้ายจะโดนลงโทษยังไงอย่างตื่นเต้นนั่นเอง
‘The Golden Spoon’ ความลึกลับของโชคชะตา ที่สลับไปมาด้วยอำนาจ ‘ช้อนทอง’
ซีรีส์จาก Webtoon ที่เข้มข้นด้วยประเด็นทฤษฏีการแบ่งชนชั้นจาก ‘ช้อน’ ซึ่งฝึงลึกในเกาหลี (คล้ายๆ กับสำนวนคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในไทยนี่แหละ) โดยในเรื่องได้ใช้ ‘ช้อนทอง’ เป็นทั้ง Symbolic ในเรื่องชนชั้น โดย ‘สีทอง’ ตั้งแต่สมัยก่อนถือเป็นสีของโลหะบริสุทธิ์ที่เกี่ยวโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความศรัทธาและกษัตริย์ จนภายหลังถูกนำไปยึดโยงกับความมั่งคั่ง
พลังสุดลึกลับของช้อนทองในเรื่องนี้ เป็นตัวสร้างกฏเกณฑ์สุดแฟนตาซี ที่มอบโอกาสเปลี่ยนชีวิต ให้ตัวละครสามารถสลับบทบาทไปเป็นสมาชิกของครอบครัวที่ร่ำรวยกว่าได้ จึงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง สร้างจุดเปลี่ยนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้การสร้าง ‘ทางเลือก’ (Moral Dilemma) ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบในซีรีส์ ตัวผู้ชมจะเลือกเส้นทางไหน เช่นเดียวกับตัวละครที่ต้องคิดคำนึงถึงทางเลือกตอดเวลาก็สร้างความรู้สึกอึดอัด กดดันให้กับผู้ชมไปพร้อมกัน (เช่นสถานการณ์ว่าตัวเอกจะสลับตัวตอนไหน ที่ลุ้นกันแบบสุดๆ)
ในด้านองค์ประกอบศิลป์ มีการสร้างความ Contrast ระหว่างบ้านคนรวย ที่ใช้แสงสีโทนเย็นสีน้ำเงิน-เทา แสดงถึงความหม่นหมอง เย็นชา และกดดันในโลกใหม่ที่ตัวเอกต้องเผชิญ ส่วนฉากในบ้านเดิมมักใช้สีโทนร้อน มีแสงฟุ้ง ให้ความรู้สึกอบอุ่นระหว่างสมาชิกในครอบครัว
‘Revenant’ ความลึกลับจากวิญญาณร้าย ที่กลายเป็นความไม่มั่นคงในจิตใจ
ซีรีส์ระทึกขวัญลี้ลับที่เชื่อมโยงกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อสิ่งของที่พ่อทิ้งเอาไว้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นรอบตัว ตัวเอกที่ได้พบกับดวงวิญญาณในเงาสะท้อนจากกระจกของตนเอง จึงต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณที่สิงสู่
ตัวซีรีส์ไม่ได้มีการใช้ Jump Scare แต่ค่อยๆ สร้างบรรยากาศชวนหลอนด้วย ‘ความไม่ไว้วางใจ’ ทั้งต่อผู้คนรอบตัว, วิญญาณที่มองไม่เห็น และแม้กระทั่งต่อตัวเอง เป็นคำถามว่า “สิ่งที่เรากลัวที่สุดอยู่ข้างนอก หรือข้างใน ?”
ในแง่องค์ประกอบศิลป์มีการใช้สัญญะผ่าน Visual มากมาย ทั้งแสงและเงาเข้มๆ ที่สร้างความ Contrast, Setting และการจัดองค์ประกอบของเฟรมที่สร้างความอึดอัด ทั้งห้องเล็กๆ ซอยแคบๆ และบ้านร้าง ที่เชื่อมโยงกับความซับซ้อนในจิตใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือการแสดงของ ‘คิมแทรี’ ที่โดยปกติจะต้องแสดงเพื่อเล่นกับความคลุมเครือ แต่ในฉากสำคัญๆ กลับใช้แค่การแสดงผ่านแววตา เพื่อทำให้ผู้ชมแยกออกว่าหญิงสาวที่เราเห็นตรงหน้าคือคนหรือปีศาจ
เมื่อรวมกับเทคนิคของกล้องที่จับไปที่ใบหน้า มีความสั่นไหวเล็กน้อย ก็ช่วยส่งเสริมความ ‘ไม่มั่นคงทางจิตใจ’ ให้เห็นได้ชัดขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้อีกหนึ่งแนวซีรีส์ที่เกาหลีทำถึงมากๆ ก็คือ ‘แนวอาชีพ’ อย่างตอนนี้ที่ดูอยู่ก็มี Law and The City (ทนาย), The Nice Guy (มาเฟีย) และ Low Life (นักดำน้ำหาสมบัติ) แล้วเอาไว้ถ้ามีประเด็นไหนน่าสนใจจะหยิบมาเล่าให้ฟัง !
รวมถึงแนวอื่นๆ ด้วย ถ้าใครเป็นสายซีรีส์เกาหลีคุณภาพเน้น ๆ ก็ตามไปสตรีมที่ Disney+ Hotstar ได้เช่นกัน
โฆษณา