Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
15 ส.ค. เวลา 06:12 • ปรัชญา
watthakhanun
เมื่อพวกเราเจริญพระพุทธมนต์ถวายหลวงพ่อพระประธานและถ่ายรูปหมู่ร่วมกันแล้ว ทางวัดก็พาไปกราบ "หลวงพ่อโยก" หลวงพ่อโยกก็คือพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คาดว่าเป็นทองคำ แล้วก็มีการพอกปูนซ่อนเอาไว้ เพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือทหารพม่า
ปรากฏว่าก่อนหน้านี้ท่านหันไปด้านตะวันออกตรง แต่พอสร้างวิหารครอบ ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลวงพ่อท่านหันหลบพวกนั่งร้านหรืออย่างไร ? ก็เลยกลายเป็นหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เมื่อจับหมุนกลับมาทิศเดิม ท่านก็หันกลับไปทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีก แต่ว่าวิหารได้ออกแบบให้หันทิศตะวันออกตรงไปแล้ว จึงกลายเป็นว่าหลวงพ่อต้องนั่งเอียงข้าง ไม่ตรงกับทางเข้าวิหาร
ส่วนที่สำคัญก็คือว่าข้าราชการท่านใดก็ตาม ถ้าหากว่าต้องการจะโยกย้ายไปจังหวัดไหน หรือว่ากลับถิ่นฐานบ้านช่องของตัวเอง ก็มักจะมากราบขอพรหลวงพ่อโยก แล้วส่วนใหญ่ก็สำเร็จเสียด้วย..! กระผม/อาตมภาพเข้าไปถวายดอกบัวหลวงพ่อโยกแล้ว กราบเรียนหลวงพ่อบอกว่า "ไม่โยกย้ายนะขอรับ" แล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ เนื่องเพราะท่านบอกว่า "อย่างของคุณนั้นนอกเหตุเหนือผล ต่อให้ขอ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะโยกย้ายได้" เสียงที่ว่ามานั้น เป็นเทวดาที่รักษาหลวงพ่อทองคำอยู่ภายในองค์หลวงพ่อโยก..!
หลวงพ่อทองคำนั้นน่าจะเป็นทองเนื้อเจ็ด หน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้วเศษ สีสันสดใสสวยงาม ตามที่มองเห็นภายใน แต่ไม่แน่ใจว่าสภาพภายนอกจะเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นศิลปะอยุธยาที่มีเศียรเป็นหนามขนุน ซึ่งรูปแบบพวกนี้เราจะมีความเข้าใจ ก็ต่อเมื่อศึกษาลักษณะของพระพุทธรูปยุคสมัยต่าง ๆ มา ถึงพอที่จะรู้กัน
เมื่อกราบหลวงพ่อโยก ขอพรกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็นั่งรถรางเทียมกลับไปที่มหาวิหารหลวงพ่อสด ได้เข้าไปกราบสักการะแล้วถ่ายรูปหมู่ร่วมกันที่นี่
จากนั้นก็ชมนิทรรศการต่าง ๆ แต่ปรากฏว่าสถานที่เมื่อจัดนิทรรศการ โดยเฉพาะเกี่ยวกับศีล ๕ แล้วทางด้านจังหวัดอ่างทอง ได้ระดมเอาบรรดานักเรียนโรงเรียนต่าง
ๆ ที่มีโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับศีล ๕ มาแสดง จึงทำให้ล่าช้า เพราะว่าสถานที่คับแคบ กลับตัวก็ยาก เพียงแต่ว่าเด็กทุกคนมีความสามารถมาก อธิบายขยายความเนื้อหาที่ตนเองรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี จึงได้รับรางวัลจากหลวงพ่อโพไซดอน - พระเดชพระคุณพระเทพสมุทรวัชราจารย์ (จรัล สิริธมฺโม) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรปราการ รักษาการประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ หนกลาง เรียกว่าแจกกันจน "มือเป็นระวิง"..!
เมื่อชมนิทรรศการครบแล้ว โดยเฉพาะบรรดาคนขับรถต้องหอบเอาข้าวของต่าง ๆ ที่หลวงปู่หลวงพ่อของตนเองช่วยกันซื้อหา ขึ้นรถกันไปเป็นหอบ ๆ แม้กระทั่งน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ก็ยังซื้อเอามะม่วงดองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอ่างทองไปหลายกล่องเลยทีเดียว..!
ครั้นเข้าไปในศาลาโดมเอนกประสงค์เพื่อทำการตรวจประเมินแล้ว พวกเราก็มองด้วยความชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าผู้ว่าราชการจังหวัดก็ดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดก็ดี นายอำเภอทุกอำเภอ ตลอดจนกระทั่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้าส่วนราชการมา
กันครบถ้วน แล้วไม่ได้ครบถ้วนเฉย ๆ เพราะว่าอยู่จนกระทั่งตรวจประเมินเสร็จ ทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนสุด ๆ เพราะว่าหลังคาโดมเอนกประสงค์ก็คือเมทัลชีทที่เรียกตามภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่าสังกะสีนั่นเอง..! กลายเป็นบรรยากาศตัดกันสุดขั้วกับเมื่อวานนี้
เมื่อวานนี้การตรวจประเมินที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เราอยู่ในศาลาปฏิบัติธรรมที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นยะเยือก เหมือนกับฤดูหนาว แต่ว่าที่นี่กลายเป็นฤดูร้อนจัด
เป็นอย่างมาก ทำเอาบรรดา "มเหสักโข" ทั้งฝ่ายราชการและคณะกรรมการนั่งเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน เนื่องเพราะว่าพัดลมไอน้ำก็ดี พัดลมตั้งพื้นก็ตาม ส่งลมมาติดอยู่แค่ภายนอก ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องนั่งกระซิบกระซาบกับเพื่อนคณะกรรมการว่า "ดูเอาก็แล้วกัน บรรดาปลาซิวปลาสร้อยเขาทำบุญไว้ดี มีพัดลมให้เย็นสบาย แต่ว่าบรรดาปลาวาฬ ปลาฉลาม ตลอดจนกระทั่งปลาอินทรีย์ครีบสีน้ำเงิน ต้องมานั่งเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน..!"
ด้วยความที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ให้ใจกับงานโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ เป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นไปตามโครงการยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซึ่งมีการเซ็นเอ็มโอยูกัน ระหว่างคณะสงฆ์กับกระทรวงมหาดไทย แปลว่าเราจะต้องเจอหน้ากันลักษณะแบบนี้อีกหลายปี ท่านจึงให้ใจแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ก็ดี ทางส่วน
ราชการก็ตาม มากันครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องชมว่าหลวงพ่อเจ้าคุณประเวช เจ้าคณะจังหวัดอ่างทองนั้น แม้ว่าตัวเล็กแต่ว่าทำงานเก่งมาก ประสานงานให้ทุกฝ่ายมาให้ความร่วมมือกันอย่างชนิดที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนอยู่จนกระทั่ง ๑๑ โมงกว่า ถึงได้ทำการปิดประเมิน ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน
กระผม/อาตมภาพไม่ได้อยู่ร่วมฉันเพล เนื่องเพราะว่าไข้เริ่มจับอีกแล้ว จากหนาวสุดมาเจอร้อนสุดเข้า ร่างกายรู้สึกว่ารับไม่ไหว จึงได้ให้น้องเล็กพาวิ่งกลับยังที่พักวัดอุทยาน พร้อมกับฉันข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีติดรถอยู่ รวมทั้งมะม่วงดองด้วย เป็นอาหารมื้อเพล ไปถึงทางวัดอุทยานได้ก็เข้าที่พักสลบไสลไปเลย กว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาได้ ก็เล่นเอาบ่ายโขทีเดียว ต้องบอกว่าสภาพร่างกายชักจะเสื่อมโทรมไปตามสังขารที่อายุกาลผ่านวัยขึ้นทุกที
สมัยบวชใหม่ ๆ เฝ้าอยู่หน้าห้องที่ทำงานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือตึกริมน้ำ สถานที่ตรงนั้นเรียกว่า "หน้าตึก" เพราะว่าเป็นห้องที่ต่อออกมาโดยที่ใช้มุ้งลวดล้อมรอบ ลมเข้าได้ทุกทิศทุกทาง แม้เป็นหน้าหนาวที่หนาวจนกระทั่งน้ำมันชาตรีแข็งตัวหมดทั้งขวด..! กระผม/อาตมภาพก็ยังใส่อังสะตัวเดียวอยู่ได้สบาย ขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อถามว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?" ยังกราบเรียนท่านไปว่า "ยังไม่หนาวครับ" แต่พอหลังอายุ ๓๐ มาแล้ว ไม่ต้องให้หลวงพ่อท่านถาม แต่ว่าวิ่งไปหาเครื่องกันหนาวมาใส่เอง..!
พอถึงอายุ ๔๐ ปีขึ้นมา จากที่ทำงานกันข้ามวันข้ามคืนเท่าไรก็ไม่เหนื่อย บางทีเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งตี ๒ ตี ๓ ถึงจะได้พักนอนสัก ๒ ชั่วโมง แล้วลุกขึ้นมาเดินจงกรมต่อ พอหลังอายุ ๔๐ มาเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยเหมือนกัน แต่พอหลังอายุ ๕๐ นี้ เริ่มรู้สึกแล้วว่า จากที่ขึ้นเขาลงห้วยเท่าไรก็เหมือนกับเครื่องจักรเครื่องยนต์ ตอนนี้กลับรู้สึกว่าขึ้นบันไดแล้วเมื่อย..!
พอหลังอายุ ๖๐ ตอนนี้กำลังไม่พอที่จะรักษาตัวแล้ว ถึงเวลาถ้าไม่รีบพัก ไม่ไข้จับก็คอพับหมดสภาพไปเลย..! จึงได้แต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปแต่ละงาน หรือว่าแต่ละวัน พูดง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไปได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น..!
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๘
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย