9 ชั่วโมงที่แล้ว • การศึกษา

ทฤษฏีการเงินแบบ Keynesian และผลกระทบที่เราควรรับรู้

ทฤษฎีการเงินของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) ถือเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะในด้านการจัดการเศรษฐกิจมหภาคในภาวะวิกฤต แนวคิดของเคนส์เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ (Great Depression) ช่วงทศวรรษ 1930 เมื่อระบบทุนนิยมเสรีในแบบดั้งเดิมไม่สามารถแก้ไขปัญหาการว่างงาน การผลิตที่ซบเซา และภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
เขาจึงเสนอว่ารัฐไม่ควรยืนอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้ “กลไกตลาด” ปรับตัวเองแต่จำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทโดยตรงผ่านนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) และนโยบายการเงิน (Monetary Policy)
หัวใจสำคัญของทฤษฎีเคนส์คือ การอธิบายว่าในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ความต้องการใช้จ่ายของเอกชนจะหดตัว ทั้งการบริโภคและการลงทุน เมื่อทุกฝ่ายพยายามประหยัดพร้อมกัน ผลลัพธ์กลับทำให้เศรษฐกิจชะงักงันมากขึ้นและเกิดการว่างงานเป็นวงกว้าง
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลจำเป็นต้อง “กระตุ้นอุปสงค์รวม” โดยเพิ่มการใช้จ่ายสาธารณะ เช่น การสร้างถนน เขื่อน โรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งการจ้างแรงงานทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ก่อผลผลิตโดยตรง แต่มีเป้าหมายเพื่อแจกจ่ายรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจะฟื้นเพราะรายได้ที่รัฐใช้จ่ายออกไปถูกหมุนเวียนต่อเป็นการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน
ตัวอย่างชัดเจนคือ นโยบาย New Deal ของสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ที่ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลสร้างงานและโครงสร้างพื้นฐาน จนช่วยบรรเทาภาวะถดถอยครั้งใหญ่ลงได้ในระดับหนึ่ง อีกตัวอย่างคือการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เมื่อหลายประเทศหันกลับไปใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อพยุงระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายภาครัฐย่อมนำมาซึ่ง “ภาระหนี้สาธารณะ” เพราะรายได้จากภาษีในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำมักไม่เพียงพอ รัฐจึงต้องกู้ยืมเพื่อใช้จ่าย การก่อหนี้เช่นนี้มีสองด้าน ด้านหนึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ลดการว่างงาน และกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้น อีกด้านหนึ่งสร้างภาระดอกเบี้ยและหนี้สินที่จะตกทอดไปในอนาคต รัฐบาลในภายหลังต้องแบกรับภาระการชำระหนี้ และมักหันไปเพิ่มภาษีหรือปรับลดงบประมาณด้านสวัสดิการเพื่อลดภาระดังกล่าว
แนวคิดเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐ ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดวิกฤต รัฐบาลไทยมักเลือกใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุล (Deficit Spending) เพื่อดึงอุปสงค์กลับเข้าสู่ระบบ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมีหลายช่วงเวลา
เช่นในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008–2009 รัฐบาลออก “โครงการไทยเข้มแข็ง” ใช้งบประมาณกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน โรงเรียน โรงพยาบาล รวมถึงโครงการจ้างงานชุมชน จุดประสงค์ตรงกับแนวคิดเคนส์คือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีรายได้และเกิดการใช้จ่ายต่อเนื่อง ผลในระยะสั้นทำให้การว่างงานไม่รุนแรงเหมือนหลายประเทศ และเศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวเร็วขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้น รัฐต้องจัดเก็บภาษีมากขึ้นในระยะถัดไป
อีกตัวอย่างคือมาตรการกระตุ้นหลังวิกฤตโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา รัฐบาลออกโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” แจกเงินสด 5,000 บาทต่อเดือน, โครงการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐออกเงินสมทบให้ประชาชนใช้จ่าย, และโครงการ “เราชนะ” ที่เติมเงินเข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนแนวทางเคนส์อย่างชัดเจน คือการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อพยุงกำลังซื้อในเวลาที่ภาคเอกชนหดตัว แม้จะช่วยให้เศรษฐกิจไม่ทรุดหนัก แต่ก็ทำให้หนี้สาธารณะไทยทะลุเกณฑ์ 60% ของ GDP และสร้างข้อถกเถียงเรื่องภาระการคลังในอนาคต
ผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง ปรากฏทั้งด้านบวกคือ มาตรการเหล่านี้ช่วยพยุงรายได้และลดผลกระทบจากวิกฤต เช่น พนักงานออฟฟิศหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รายได้หายไปในช่วงโควิดก็ยังมีเงินอุดหนุนมาจับจ่าย
แต่ในด้านลบ ชนชั้นกลางมักเป็นกลุ่มที่ต้องรับภาระภาษีโดยตรงในอนาคต เพื่อชดเชยหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากสวัสดิการน้อยกว่ากลุ่มรายได้น้อย ในขณะที่ไม่ได้มีช่องทางหลบเลี่ยงภาษีเหมือนกลุ่มรายได้สูง ทำให้ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มที่ “ได้ประโยชน์ชั่วคราวแต่ต้องรับภาระระยะยาว” จากนโยบายการคลังแบบเคนส์
และหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นจะส่งผลเสียที่สะท้อนต่อทั้งภาครัฐและประชาชนโดยตรง ภาครัฐต้องกันงบประมาณจำนวนมากไปชำระดอกเบี้ย แทนที่จะนำไปลงทุนด้านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน หรือสวัสดิการ ขณะที่ประชาชน นอกจากต้องรับภาระผ่านการเก็บภาษีที่สูงขึ้นแล้ว ยังรวมถึงค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ หากรัฐบาลเลือกการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อจัดการหนี้
นอกจากนี้ หนี้ที่สูงยังทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ค่าเงินอ่อน และจำกัดความสามารถของรัฐในการก่อหนี้ใหม่เพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคต ดังนั้น แม้การก่อหนี้จะช่วยบรรเทาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ แต่หากขาดการบริหารจัดการที่รอบคอบ หนี้สาธารณะก็อาจกลายเป็นภาระระยะยาวที่กดทับการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนเอง
กล่าวโดยสรุป แนวคิดของเคนส์ทำให้รัฐกลายเป็น “ตัวแสดงหลัก” ที่มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายและนโยบายการคลัง แม้จะช่วยบรรเทาวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็สร้างข้อแลกเปลี่ยนในรูปแบบหนี้สาธารณะและภาระทางการคลังในอนาคต ซึ่งท้ายที่สุดผลกระทบจะสะท้อนกลับมายังประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่เป็นเสมือน “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจ ต้องร่วมแบกรับภาระนี้ผ่านการเสียภาษีและการถูกจำกัดสวัสดิการในอนาคตต่อไป
ที่มา:
โฆษณา