Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
16 ส.ค. เวลา 08:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ราคากาแฟ-ชาพุ่งแรง เหตุภาษีนำเข้า ฉุดผู้ประกอบการรายเล็กเสี่ยงอยู่ไม่รอด
ราคากาแฟในสหรัฐฯ พุ่ง 14.5% แตะ 8.41 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เหตุภาษีนำเข้ากระทบหนัก ร้านกาแฟ-ผู้ประกอบการรายเล็กเตือนอาจต้องขึ้นราคา-ลดคุณภาพ สั่นคลอนตลาดและผู้บริโภค
ราคากาแฟและชาที่ยังพุ่งไม่หยุดในสหรัฐฯ กลายเป็นแรงกดดันใหม่ต่อผู้ค้าปลีกและผู้นำเข้า หลังข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่าราคากาแฟในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นถึง 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉลี่ยราคากาแฟคั่วบดอยู่ที่ 8.41 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์
ขณะที่มูลค่านำเข้าอาหารของสหรัฐฯ กว่า 74% หรือราว 1.63 แสนล้านดอลลาร์ กำลังถูกเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้สินค้าหลายประเภทตั้งแต่เมล็ดกาแฟ ชาพิเศษ ไปจนถึงเครื่องเทศ แสดงสัญญาณเงินเฟ้อ แม้ดัชนีราคาผู้บริโภคหมวดอาหารจะทรงตัวเมื่อเทียบเดือนต่อเดือน แต่ราคายังสูงกว่าปีก่อนถึง 2.9%
เจ้าของร้านกาแฟ Bethany’s Coffee Shop ในรัฐเนบราสกา ระบุว่าต้นทุนกาแฟของร้านเพิ่มขึ้น 18%-25% ตั้งแต่ต้นปี จนต้องเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม 3% ชั่วคราวระหว่างรอพิมพ์เมนูใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าราคาปรับตัวเร็วเกินกว่าจะปรับเมนูได้ทัน นอกจากกาแฟ ร้านยังเผชิญต้นทุนอะโวคาโดและมะเขือเทศที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กที่มีพนักงานหลายสิบคนต้องตัดสินใจขึ้นราคาเพื่อประคองธุรกิจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระบุว่า สำหรับสินค้าที่ไม่สามารถผลิตในประเทศได้ เช่น กาแฟหรือมะพร้าวน้ำหอม ผู้ประกอบการไม่มีทางเลือกนอกจากนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะเปลี่ยนแหล่งซื้อก็ยังเจอภาษีอยู่ดี สะท้อนข้อจำกัดที่ทำให้ธุรกิจเล็กติดกับดักต้นทุน
ผู้ประกอบการชาและเครื่องเทศหลายราย เช่น Anjali’s Cup เผยว่าแทบทุกวัตถุดิบหลักต้องนำเข้าจากอินเดีย เวียดนาม แอฟริกา และอเมริกาใต้ โดยชาอัสสัมจากอินเดียที่ใช้ทำชาคอนเซนเทรตไม่มีแหล่งทดแทน และถูกเก็บภาษีสูงถึง 50% ทำให้ต้องเผชิญแรงกดดันเพิ่มราคา ทั้งที่คู่แข่งรายใหญ่มีอำนาจต่อรองมากกว่า ขณะเดียวกันบรรจุภัณฑ์ซึ่งผลิตในจีนก็มีต้นทุนสูงขึ้น แม้จะหันไปใช้ทางเลือกอื่น แต่เจ้าของยืนยันว่าจะไม่ลดคุณภาพวัตถุดิบ เพราะเป็นหัวใจของแบรนด์
นักวิเคราะห์จาก KPMG เตือนว่าผลกระทบจากภาษีอาจลุกลามไปยังสินค้าหลากหลายบนชั้นวางซูเปอร์มาร์เก็ต และยิ่งรุนแรงขึ้นหากรวมกับการปรับลดงบประมาณโครงการ SNAP ซึ่งเป็นสวัสดิการอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย อาจทำให้สินค้าบางชนิดที่เคยมีขายตลอดทั้งปี เช่น บลูเบอร์รี่ ต้องหายไปจากตลาดบางช่วง
สินค้าที่ไม่ปลูกในสหรัฐฯ และเผชิญภาษีเพิ่ม ยังรวมถึงผลไม้ตระกูลกล้วยและกีวี ซึ่งทั้งหมดนี้จะกดดันทั้งผู้ผลิต ร้านค้า และผู้บริโภคในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ผู้ประกอบการเตือนว่าหากสินค้าที่มีคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์หลุดออกจากตลาด สหรัฐฯ อาจสูญเสียความหลากหลายทางรสชาติและความมีชีวิตชีวาของตลาดไปอย่างถาวร
3 บันทึก
8
2
3
8
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย