แต่ทั้งนี้ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน AI ที่ว่าเก่งพวกมันยังเก่งเฉพาะทาง แต่ละโมเดลก็จะเน้นงานในแต่ละด้านแตกต่างกันไปยังจัดเป็น AI ประเภท ANI(Narrow Artificail Intelligence) ซึ่งขั้นถัดไปของ AI ที่เหล่า Big tech company ต่างเร่งแข่งกันพัฒนาก็คือ AGI(Artificail General Intelligence) AI ที่เรียนรู้ใหม่ได้ทุกเรื่องไม่ต่างกันกับมนุษย์เรา
เมื่อเห็นสภาพการณ์แบบนี้เหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง MIT และ Harvard เริ่มมี Drop เรียนหรือไม่ก็ลาออกกลางคันด้วยความกลัว AGI ที่กำลังจะมา
ตัวอย่างเช่น Alice Blair เข้าเรียนที่ MIT ในปี 2023 แต่ตอนนี้เธอลาออก (permanent leave) และทำงานเป็น technical writer ที่ศูนย์ Center for AI Safety แทน เธอระบุว่า “ฉันกลัวว่า AGI อาจมาถึงเร็วจนฉันอาจไม่มีชีวิตจนจบการศึกษา” อันนี้คือแนวคิดสุดโต่งว่า AI จะมาทำให้มนุษย์สูญพันธ์กันเลยทีเดียว
หรืออย่างรายงานสำรวจใน Harvard พบว่ากว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาปริญญาตรี 326 คน มีความกังวลว่า AI จะส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำงานของพวกเขา วิตกว่า AI อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออาชีพ หากเศรษฐกิจและตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วเกินไป การเรียนต่อไปอาจจะเปล่าประโยชน์
ทั้งนี้ก็ยังมีกลุ่มที่มองว่าผู้คนเริ่มตื่นกลัว AI มากเกินไป อย่างเช่น Gary Marcus นักวิชาการคนสำคัญมองว่าความเสี่ยง “ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์” ยัง ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงในเร็ว ๆ นี้ เพราะ AI ยังแก้ไขปัญหาเช่น hallucinations หรือ reasoning ไม่ได้ (ตรงนี้ผมกลับไม่เห็นด้วยกับแกนะปัญหา hallucinations และความสามารถให้เหตุผลถ้าคนใช้ AI ก็คงรู้ดีว่าปัญหาพวกนี้จัดการได้หมดแล้ว) และยังมีงานด้าน AI safety ที่เป็นคุณค่าในสายอาชีพแม้ยังไม่มีคำตอบชัดเจน
AI พัฒนาเร็วมากครับ บางคนอาจเริ่มได้รับผลกระทบกันบ้างแล้ว และใช่ครับบทความนี้ผมก็ใช้ Chatgpt ช่วยร่างให้ งานเร็วกว่าเดิมอย่างน้อยเป็นเท่าตัว ไม่แปลกใจที่เห็นบางตลาดงานเริ่มเอาคนออกรัว ๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้มี AI Agent ให้ใช้อีกด้วย กิจการไม่ต้องเลี้ยงคนเสียแค่ค่า Sub แล้วคนจะอยู่อย่างไร . . . .