วันนี้ เวลา 07:12 • ศิลปะ & ออกแบบ

ภัณฑารักษ์ สะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน : นวภัสร์ ตันติคุณาวงศ์

การก้าวเข้าสู่ภัณฑารักษ์ เปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่โลกอีกมิติหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยความทรงจำ เรื่องราว และหลักฐานทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สั่งสมไว้ ภัณฑารักษ์จึงมิใช่เพียงผู้ทำงานกับวัตถุ หากแต่เป็นผู้เฝ้ารักษามรดกทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เพื่อให้ความรู้และคุณค่าเหล่านั้นดำรงอยู่และส่งต่อไปยังอนาคต
การทำงานในบทบาทดังกล่าว เริ่มต้นด้วยการดูแลรักษา (preservation) วัตถุโบราณ ศิลปวัตถุ และงานศิลปกรรมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ การเก็บรักษาไม่ใช่เพียงการป้องกันการเสื่อมสลาย หากแต่รวมถึงการบันทึกประวัติที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ เช่น แหล่งที่มา เทคนิคการสร้างสรรค์ และบริบททางสังคมในห้วงเวลาที่วัตถุนั้นถือกำเนิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ทำให้วัตถุหนึ่งชิ้นมีความหมายมากกว่า “ของเก่า” แต่เป็นหลักฐานที่สะท้อนตัวตนของสังคมและผู้คน
ภัณฑารักษ์ยังทำหน้าที่ในฐานะนักวิจัย (researcher) ผู้สืบค้นความรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สาธารณชน การตีความวัตถุแต่ละชิ้นจำเป็นต้องอาศัยทั้งหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์และความรอบรู้ในเชิงศิลปะ วัตถุเล็ก ๆ อย่างเครื่องปั้นดินเผา อาจสะท้อนวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความเชื่อของผู้คนในอดีตกว่าหลายร้อยปี ขณะที่จิตรกรรมหนึ่งภาพ อาจเป็นบันทึกเชิงสัญลักษณ์ของสังคมและศรัทธา เมื่อภัณฑารักษ์ทำหน้าที่ตีความอย่างถูกต้อง วัตถุเหล่านั้นก็จะไม่ใช่สิ่งไร้เสียงอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นผู้เล่าเรื่องราวที่มีชีวิต
อย่างไรก็ตาม บทบาทของภัณฑารักษ์มิได้หยุดอยู่ที่การเก็บและการตีความเท่านั้น หากแต่ยังต้องทำงานในฐานะนักเล่าเรื่อง (storyteller) และนักออกแบบประสบการณ์ (experience designer) การจัดแสดงที่ดีไม่ใช่เพียงการนำวัตถุออกมาวางเรียงในตู้กระจก แต่คือการออกแบบเส้นทางและบรรยากาศที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
ภัณฑารักษ์ต้องกำหนดโครงเรื่อง จัดวางลำดับการเล่าเรื่อง ใช้แสง สี เสียง หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่กระตุ้นทั้งความคิดและความรู้สึก ผู้ชมจึงมิใช่เพียงผู้ผ่านเข้ามาชม แต่กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในบทสนทนากับอดีต
ที่สำคัญ ภัณฑารักษ์ในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องทำงานร่วมกับสังคมและชุมชน บทบาทของพิพิธภัณฑ์มิใช่เพียงสถานที่เก็บรักษาของเก่า หากแต่เป็น “พื้นที่สาธารณะ” ของชุมชน การดึงเสียงของผู้คนในท้องถิ่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดง การทำงานวิจัยร่วมกับชุมชน หรือการใช้พิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกัน ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมมีชีวิตอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุที่เงียบงัน
ในขณะเดียวกัน ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลยังเป็นอีกความท้าทายหนึ่ง ภัณฑารักษ์ต้องปรับตัวในการใช้ฐานข้อมูลดิจิทัล การสร้างพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (virtual museum) หรือการใช้เทคโนโลยีสามมิติในการบันทึกและเผยแพร่วัตถุ การปรับตัวดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยให้การอนุรักษ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงมรดกวัฒนธรรมได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่
การเป็นภัณฑารักษ์จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ในแง่ของการค้นคว้าและรักษาข้อมูลอย่างถูกต้อง และศิลป์ในแง่ของการตีความและถ่ายทอดให้ผู้คนเข้าถึงได้ การทำงานดังกล่าวต้องอาศัยทั้งความรู้ ความสามารถ และหัวใจที่เคารพต่อคุณค่าของวัฒนธรรม เพราะสิ่งที่ภัณฑารักษ์รักษาไว้ ไม่ใช่เพียงวัตถุ แต่คือความทรงจำของสังคมและตัวตนของผู้คน
กล่าวได้ว่า ภัณฑารักษ์คือ “สะพาน” ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน และเป็นผู้มอบแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ให้ภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง การเป็นภัณฑารักษ์จึงมิใช่เพียงวิชาชีพหนึ่ง หากแต่คือพันธกิจที่มีคุณูปการต่อสังคมและมนุษยชาติ เพราะในทุกครั้งที่ภัณฑารักษ์หยิบวัตถุหนึ่งชิ้นขึ้นมาเล่าเรื่องราว นั่นคือการทำให้อดีตยังคงเปล่งเสียง และยังคงดำรงคุณค่าในโลกของปัจจุบันและอนาคต
โฆษณา