19 ส.ค. เวลา 03:03 • ข่าว

กระเเส Justice FOR ZARA QAIRINA กับกระเเสการเมืองในประเทศมาเลเซีย

การเสียชีวิตของ Zara Qairina Mahathir เด็กหญิงวัย 13 ปี ที่โรงเรียนประจำในรัฐซาบาห์ ได้จุดชนวนให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ในมาเลเซียภายใต้ชื่อ "Justice for Zara" โดยมีผู้คนกว่า 3,000 คนเข้าร่วมที่ลานจอดรถ Labuan Food Court เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลคลี่คลายคดีอย่างโปร่งใสและยุติความรุนแรงในสถานศึกษาอย่างเด็ดขาด
การชุมนุมนี้เกิดขึ้นข้ามพรรคการเมือง สะท้อนว่าประเด็นความรุนแรงต่อเด็กได้กลายเป็น "วาระมนุษยธรรม" ของประเทศ ขณะเดียวกันสำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซียได้สั่งขุดศพเพื่อชันสูตรอย่างเป็นทางการ โดยมีทีมแพทย์นิติเวชและทนายความของครอบครัวร่วมสังเกตการณ์เพื่อสร้างความโปร่งใสสูงสุด
การสืบสวนขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของตำรวจกลางเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากอิทธิพลภายนอก เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่กระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในโรงเรียนและจัดการกับปัญหาการกลั่นแกล้งอย่างจริงจัง
ภาพข่าวจากมาเลเซีย
ลาบวน (Labuan) เป็นดินแดนสหพันธ์แห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย 🇲🇾 ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียวในทะเลจีนใต้ ใกล้กับประเทศบรูไน
เกาะลาบวนมีชื่อเสียงในฐานะ ศูนย์กลางทางการเงินนอกชายฝั่ง (offshore financial centre) และเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงจากซากเรือจมหลายลำ ซึ่งเป็นซากเรือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และซากเรืออื่นๆ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวที่สนใจประวัติศาสตร์
ผู้จัดคือ “Kelab Wanita Sejahtera” โดยมีดาโต๊ะ โมห์ด ราฟี อาลี ฮัสซัน แกนนำจากพรรครัฐบาลร่วมขึ้นนำ พร้อมตัวแทนจาก PKR และ Warisan ร่วมวงปราศรัย เนื้อหากดดันให้รัฐ “ไม่ปล่อยให้ความรุนแรงต่อเด็กถูกมองข้ามอีกต่อไป” ภาพผู้คนในชุดดำหลากวัย สะท้อนพลังสาธารณะข้ามสายงานและฐานะทางสังคมอย่างเด่นชัด ขบวนการนี้จึงก้าวพ้นพรมแดนการเมือง กลายเป็น “วาระมนุษยธรรม” ของทั้งประเทศ
ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าคดีเดินหน้าอย่างเข้ม สำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซีย (AGC) สั่งขุดศพเพื่อนำมาชันสูตรอย่างเป็นทางการ หลังเกิดข้อกังขาหลายด้าน ต่อมามีการขุดศพเมื่อคืน 9 ส.ค. และเคลื่อนร่างถึงโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เวลาราว 22.30 น. เริ่มชันสูตรเช้าวันที่ 10 ส.ค. โดยทีมพยาธิแพทย์ 4 คน และที่ปรึกษานิติเวช ร่วมตรวจอย่างละเอียดนานกว่า 8 ชั่วโมง ภายใต้การสังเกตการณ์จากทนายครอบครัวและตำรวจ
อย่างไรก็ดี กระแสข่าวลือที่ลุกลามทางออนไลน์โดยเฉพาะ “ทฤษฎีเครื่องซักผ้า” ถูกทนายครอบครัวปฏิเสธชัด ว่าเป็นเพียงการคาดเดา ไม่ใช่ข้อมูลที่มารดาของผู้ตายให้ไว้ พร้อมขอให้ลบข้อมูลที่สร้างความเสียหาย และให้ผู้โพสต์นำรายละเอียดส่งตำรวจเพื่อเอาผิดตามกฎหมายไซเบอร์ของมาเลเซียต่อไป เพื่อไม่ให้การสืบสวนไขว้เขว
กิจกรรมที่ประชาชนเรยกร้อง
เส้นเวลาเหตุสะเทือนใจจากร่องรอยก่อนตาย สู่แรงกดดันให้รัฐเร่งคลี่คดี
คืนเกิดเหตุ 16 ก.ค. เวลาตีสามถึงตีสี่ มีผู้พบเด็กหญิงหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำ ในพื้นที่หอพักโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ เธอถูกนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตวันที่ 17 ก.ค. รายงานเบื้องต้นสื่อท้องถิ่นระบุว่า ครอบครัวพบรอยช้ำขณะทำพิธีอาบน้ำศพ ก่อนตัดสินใจยื่นรายงานตำรวจ เพิ่มคำให้การ และขอให้มีการขุดศพเพื่อตรวจสอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อคลิปเสียงความยาว 44 วินาทีของบทสนทนาระหว่างแม่กับลูก สร้างข้อสงสัยต่อ “ทฤษฎีตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ” ที่เธอถูกบอกเล่าในตอนแรก.
วันที่ 2 ส.ค. ตำรวจซาบาห์ยื่นสำนวนสืบสวนเบื้องต้นต่อ AGC และเริ่มกระบวนการให้ความเห็นทางคดี ขณะที่ผู้ว่าการรัฐซาบาห์และผู้นำการเมืองระดับชาติ ต่างออกมาขอ “คลี่ทุกเงื่อนงำ ไม่ละเว้นผู้ใด” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยังย้ำไม่ให้ “การเมืองแทรกแซงการสืบสวน” และขอประชาชนหลีกเลี่ยงการคาดเดาทำลายพยานหลักฐาน.
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจกลาง Bukit Aman รับไม้คุมสอบสวนต่อ เพื่อให้คดีเดินอย่างเป็นระบบระดับชาติ สร้างมาตรฐานการทำงานเดียวกัน และป้องกันอิทธิพลนอกคดี กระบวนการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐในการ “เอาจริง” กับความรุนแรงต่อเด็กและการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา.
“ความจริงต้องไปต่อ” เมื่อกระแสสังคมกดดันให้ระบบยุติธรรมโปร่งใส
มุมหนึ่ง กระแส “Justice for Zara” คือบทเรียนสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมแบบสันติ ผู้คนมารวมตัวโดยสมัครใจ แต่งชุดดำเป็นสัญลักษณ์ ไร้ความรุนแรง เนื้อหาบนเวทีชัดเจนหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สืบสวนอย่างโปร่งใส ไม่ปกป้องผู้กระทำผิดและข้ามเส้นแบ่งทางการเมืองอย่างน่าจับตา สื่อมาเลย์หลายฉบับรายงานเอกภาพในพื้นที่ พร้อมยืนยันตัวเลขผู้เข้าร่วมหลักพันตั้งแต่เช้าจรดบ่าย.
อีกมุมหนึ่ง พลังของข่าวลือบนโลกออนไลน์ก็ท้าทายความยุติธรรมไม่แพ้กัน การแชร์ข้อมูลคาดเดาอาจทำลายกระบวนการสืบสวน สร้างบาดแผลซ้ำให้ครอบครัวผู้ตาย และเปิดช่อง “อาชญากรรมไซเบอร์ทับซ้อนคดีหลัก” ทนายครอบครัวจึงประกาศให้ลบและหยุดเผยแพร่ทันที พร้อมเรียกผู้โพสต์เข้าให้ปากคำ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อปกป้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริง.
คลี่ปมเชิงระบบ เมื่อ “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ประเด็นที่สังคมมาเลเซียถกเถียงไม่ใช่แค่ “ใครผิด” หากแต่คือ “ระบบผิดตรงไหน” เพราะความรุนแรงในสถานศึกษาไม่ควรถูกจัดการด้วยคำขอโทษหรือคำมั่นว่าจะ “ดูแลให้ดี” เท่านั้น นักจิตวิทยาและนักนโยบายศึกษาย้ำว่า สถานศึกษาต้องสร้างวัฒนธรรมไม่ยอมรับการรังแก และมีช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ สอดคล้องกับสัญญาณเชิงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ที่ยืนยัน “เปิดทางให้ตำรวจทำงานเต็มที่” และพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ.
ในอีกด้าน ประเทศไทยเองกำลังขยับ “ยกระดับความปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายสถาบันประกาศงดกิจกรรมรับน้องรุนแรง ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ออกประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย พร้อมขู่ลงโทษวินัยร้ายแรงหากฝ่าฝืน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนเทรนด์ภูมิภาคที่เดินหน้า “สังคมการศึกษาไร้ความรุนแรง” อย่างจริงจัง.
ประชาชนได้อะไรจากการยืนหยัดเรียกร้องความจริง
ประการแรก ประชาชนได้ “ความโปร่งใส” เป็นเดิมพันร่วมกัน การขุดศพพร้อมชันสูตรโดยทีมแพทย์นิติเวชหลายฝ่าย เป็นขั้นตอนมาตรฐานที่ยกระดับความน่าเชื่อถือของผลทางการแพทย์ และช่วยลดข้อสงสัยในสังคม เมื่อผลชันสูตรมีฐานวิชาการแข็งแรง การตัดสินใจทางคดีจะยืนอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึก.
ประการที่สอง สังคมได้ “บทเรียนการรู้เท่าทันข้อมูลผิด” คำชี้แจงจากทนายครอบครัวเกี่ยวกับข่าวลือเครื่องซักผ้า เป็นตัวอย่างการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และเน้นให้ร่วมมือกับตำรวจแทนการแชร์ซ้ำบนโซเชียล ความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ใช้แพลตฟอร์ม คือเกราะคุ้มกันคดีเด็กที่บอบบางจาก “ความโกลาหลดิจิทัล”.
ประการที่สาม การรวมตัวอย่างสันติในลาบวนได้ “สร้างแรงกดดันเชิงบวก” ต่อระบบยุติธรรม พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ความรุนแรงต่อเด็กเป็นเส้นแดง” ที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป พลังข้ามพรรคการเมือง ยังทำให้ข้อเรียกร้อง “ปลอดการเมือง” และดึงประเด็นกลับสู่สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.
ประการที่สี่ เหตุการณ์นี้สะท้อน “ความจำเป็นของแนวทางป้องกันต้นน้ำ” โรงเรียนและหอพักต้องมีกติกาชัดเจน ช่องร้องเรียนปลอดภัย ระบบคุมความเสี่ยง 24 ชั่วโมง และการอบรมครู–นักเรียนเรื่องการแทรกแซงเมื่อเห็นเหตุรุนแรง การป้องกันที่ดีช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุสุดโต่ง ก่อนกลายเป็นคดีร้ายแรง.
เเถลงการณ์โดย JSJ
จากลาบวนถึงห้องชันสูตร สิบคำถามชวนคิด สังคมจะเดินไปอย่างไร
เหตุใดการชันสูตรแรกเริ่มจึงไม่เกิดขึ้นทันที?
ใครมีอำนาจสั่งให้คืนความจริงทางการแพทย์แก่ครอบครัวได้เร็วขึ้น?
ระบบดูแลนักเรียนประจำปลอดภัยพอหรือยัง?
กล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุมเพียงพอหรือไม่?
ครู–ผู้ดูแลได้รับการอบรมรับมือเหตุฉุกเฉินแค่ไหน?
ช่องร้องเรียนภายในโรงเรียนเชื่อถือได้เพียงใด?
ารบูรณาการตำรวจ–อัยการ–สาธารณสุขในคดีเด็กทำได้ไวแค่ไหน?
กฎหมายคุ้มครองเด็กและความผิดไซเบอร์ใช้รับมือข่าวลือได้จริงหรือ?
สื่อและประชาชนควรยืนเส้นแบ่งจริยธรรมตรงไหนเมื่อรายงานคดีเยาวชน?
และจะยกระดับวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับการรังแก” ให้เป็นกติกาสังคมได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่แค่โจทย์ของมาเลเซีย แต่เป็นกระจกสะท้อนทั้งภูมิภาค รวมถึงไทย ที่ต้องจัดสมดุล “สิทธิเด็กเสรีภาพสื่อความยุติธรรม” ให้เดินไปด้วยกันอย่างมีหลักฐานรองรับ
เสียงจากรัฐ “จะไม่ให้ใครแทรกแซง” และ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”
หลังแรงกดดันเพิ่มสูง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการเมืองแทรกแซง และจะเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานตามขั้นตอน ทั้งยังเรียกร้องให้สังคมยึดข้อเท็จจริง ไม่ด่วนสรุปต่อหน้าสื่อหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะเดียวกัน Bukit Aman รับช่วงสอบสวน เพื่อให้มาตรฐานการสืบสวนอยู่ในมือหน่วยกลาง ลดอิทธิพลและเพิ่มความเป็นเอกภาพ.
เมื่อบ้านและโรงเรียนต้องเปิดใจคุยกัน
ข้อมูลเชิงลึกจากคุณ นุชนาฎ สุขเกตุ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและอดีตนักจิตวิทยา ซึ่งทำงานในโครงการป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้ให้ภาพที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน สู่ห้องเรียน และระบบนิเวศของสถานศึกษาในที่สุด
สัญญาณเตือนภัยที่ผู้ปกครองต้องสังเกต
ผู้ปกครองคือคนแรกที่จะต้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน แต่ปัญหาคือเด็กจำนวนไม่น้อยมักจะเก็บงำความลับนี้ไว้คนเดียวด้วยความกลัว อับอาย หรือไม่รู้ว่าจะบอกใคร . คุณนุชนาฎได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกตอย่างละเอียด:
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด: หากลูกที่เคยร่าเริงและมีความสุขกับการไปโรงเรียนกลับแสดงอาการไม่อยากไปโรงเรียน เก็บตัวเงียบ หรือซึมเศร้า นี่คือสัญญาณแรกที่ไม่อาจมองข้ามได้
ร่องรอยทางร่างกาย: รอยช้ำ บาดแผล หรือร่องรอยบาดเจ็บที่ไม่สามารถอธิบายที่มาได้อย่างสมเหตุสมผล ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: ลูกอาจมีอาการหงอยเหงา ไม่สดใส หรือแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องที่โรงเรียน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการถูกกลั่นแกล้ง
จากกรณีการกลั่นเเกล้งผู้ปกครองต้องรับมืออย่างไร
การรับมือของผู้ปกครอง
1. การกลั่นแกล้งทางร่างกาย
การทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยการตี ต่อย เตะ หยิก หรือผลัก ส่งผลให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ รวมไปถึงการถ่มน้ำลายใส่ผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการทำลายข้าวของส่วนตัวของผู้อื่นเสียหาย
2. การกลั่นแกล้งทางวาจา
ทั้งการเปล่งวาจา หรือการเขียน เช่น กาารยุแหย่ เรียกชื่อ (ทั้งแบบหยาบคาย ล้อเลียนชื่อหรือปมด้อยของผู้อื่น) การพูดถึงเรื่องเพศอย่างไม่เหมาะสม การเยาะเย้ย หรือ​การข่มขู่
3. การกลั่นแกล้งทางสังคม
ไม่ว่าจะเป็นการทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง การแพร่กระจายข่าวลือที่เสียหาย ทำลายความสัมพันธ์ของผู้อื่น การกีดกันเพื่อนออกจากกลุ่ม ห้ามไม่ให้เพื่อนคนอื่นมาคบ หรือการทำให้คนอื่นอับอายต่อหน้าคนหมู่มาก
4. การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์
เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมากในสังคมที่เทคโนโลยี เข้ามามีบทบาท โดย social media ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งผู้อื่นบนโลกออนไลน์ที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะเด็กเยาวชนในวัยเรียน
ทำไมเด็กถึงเก็บเรื่องการบูลลี่ไว้เป็นความลับ?
การที่เด็กถูกบูลลี่นั้นส่งผลกระทบทางจิตใจเป็นอย่างมาก เมื่อเด็กถูกรังแกมักจะพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยตัวเอง เด็กบางคนรู้สึกว่าการที่บอกพ่อแม่อาจจะทำให้เค้าถูกมองว่าอ่อนแอและกังวลว่าพ่อแม่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร เพราะทราบว่าหากพ่อแม่รู้จะติดต่อโรงเรียนและทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ในที่สุด และเด็กกลัวว่าจะถูกตัดสินด้วยความรุนแรงและไม่เข้าใจ
ในขณะที่เด็กที่รังแกคนอื่น ตรงกันข้ามจะรู้สึกว่าตนเองจะอับอายถ้าพ่อแม่ของตัวจับได้ว่าทำผิด เด็กที่รังแกคนอื่นบางรายรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเค้าในสิ่งที่เค้าต้องเจอจึงนำความโกรธเกรี้ยวที่ตนได้รับนั้นไปลงที่เด็กคนอื่นที่ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเค้า
ดังนั้นหากพ่อแม่ และโรงเรียนทำความเข้าใจและจัดการปัญหาอย่างนุ่มนวลและเหมาะสมทั้งกับเด็กที่ถูกรังแกและเด็กที่รังแกผู้อื่นจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้
ผู้ปกครองจะป้องกันไม่ให้ลูกถูกบูลลี่อย่างไร ?
ผู้ปกครองควรจะมีความเข้าใจเสมอว่าในเรื่องราวเดียวกันอาจจะมีความจริงหลากหลายแง่มุม หากคุณพบว่าลูกของคุณกำลังถูกกลั่นแกล้ง ทางออกที่ดีที่สุดคือควรมีสติและหาข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นคุณครูและลูกของเราเองเพื่อฟังความจริงในอีกหลาย ๆ แง่มุม
ทางโรงเรียน D-PREP จึงอยากแนะนำวิธีที่ผู้ปกครองสามารถป้องกันไม่ให้ลูกถูกบูลลี่ทั้งหมด 6 ข้อด้วยกัน
ผู้ปกครองควรเรียนรู้
เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
(อ้างอิงทิศทางนโยบายและคำยืนยันจากฝ่ายการศึกษามาเลเซียในคดีนี้)
#JusticeForZara #StopBullying #มาเลเซีย
โฆษณา