Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สหรัฐฯ เก็บภาษีกาแฟบราซิล 50% คนขายอาจเจ็บ แต่คนซื้อเจ็บตัวกว่า
บราซิล หนึ่งในประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 50% ซึ่งเพิ่มขึ้นอีก 40% จากเดิมที่ 10% ของประกาศในวันที่ 2 เมษายน
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ยกเว้นการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าส่วน 40% กับสินค้าของบราซิลเกือบ 700 รายการ หรือคิดเป็น 44% ของมูลค่าสินค้าที่บราซิลส่งออกไปยังสหรัฐฯ
แต่กาแฟ หนึ่งในสินค้าส่งออกขึ้นชื่อของบราซิลนั้น ไม่ได้รับการยกเว้นดังกล่าว
ถึงอย่างนั้น แม้กาแฟบราซิลจะถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้ารวมจากสหรัฐฯ สูงถึง 50% แต่กลับมีการประเมินว่า อุตสาหกรรมกาแฟของบราซิลอาจได้รับผลกระทบที่จำกัด
ในทางตรงกันข้าม ผู้นำเข้ากาแฟในสหรัฐฯ อาจเจ็บหนักมากกว่าในสถานการณ์นี้..
เพราะอะไร กาแฟบราซิล จึงอาจยังยืนอยู่ได้ แม้เจอภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่รุนแรง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
บราซิล นับเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกกาแฟหลักของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 37% และ 18-19% ของผลผลิตและการส่งออกทั้งหมด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ อยู่ตรงที่ปลายทางการส่งออกกาแฟที่สำคัญของบราซิล คือ สหรัฐฯ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตและส่งออกกาแฟของบราซิล จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยกาแฟ เป็นสินค้าที่จะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 50%
อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตและส่งออกกาแฟของบราซิล จะได้รับผลกระทบมากน้อยขนาดไหน เราอาจต้องดูว่า กาแฟจากบราซิลสำคัญกับสหรัฐฯ อย่างไร ?
กาแฟ นับเป็นสินค้าที่สำคัญต่อผู้บริโภคของสหรัฐฯ สัดส่วนกาแฟราว 99% ของการบริโภคในสหรัฐฯ นั้น ล้วนมาจากการนำเข้า ทำให้สหรัฐฯ ต้องกลายเป็นประเทศผู้นำเข้ากาแฟสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก
ในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้ากาแฟมูลค่าสูงเกือบ 3 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 18% จากมูลค่าการนำเข้ากาแฟทั่วโลก
ขณะที่กว่า 70% ของมูลค่ากาแฟนำเข้า เป็นเมล็ดกาแฟดิบ อีกทั้งสหรัฐฯ มักนำเข้าสายพันธุ์อะราบิกามากกว่า ทำให้ต้นทางในการนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบส่วนใหญ่ อยู่ที่ประเทศแถบอเมริกาใต้
โดยบราซิลและโคลอมเบีย ถือเป็นต้นทางหลัก มีสัดส่วนกว่าครึ่งของเมล็ดกาแฟดิบนำเข้า แบ่งเป็นบราซิล 30.41% และโคลอมเบีย 21.69%
เมื่อสหรัฐฯ มีต้นทางหลัก มาจากทั้งบราซิลและโคลอมเบีย แต่โคลอมเบีย ถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าที่ 25% ซึ่งต่ำกว่าบราซิล
ทว่าโคลอมเบียอาจไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่าบราซิลมากนัก เนื่องด้วยบราซิล ค่อนข้างมีความเหนือกว่า ทั้งในแง่ของปริมาณและราคา
ในแง่ของปริมาณ เป็นผลมาจากลักษณะการผลิตที่แตกต่างกัน สำหรับภาคการผลิตกาแฟในโคลอมเบีย ยังคงเป็นการผลิตหรือเพาะปลูก โดยเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก และเน้นการเก็บเกี่ยวด้วยมือ
ขณะที่บราซิล แม้มีการผลิตโดยเกษตรกรรายย่อย ใช้พื้นที่ไม่มาก แต่ผลผลิตเมล็ดกาแฟดิบเกือบ 70% นั้น มาจากผู้ผลิตที่ใช้พื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ อีกทั้งมีการปรับใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้การเก็บเกี่ยวส่วนมากนั้น เป็นการใช้เครื่องจักร
นอกจากนั้น พื้นที่การผลิตของบราซิล อยู่บนพื้นที่ราบ ระดับสูงไม่มาก ทำให้ความอ่อนไหวต่อสภาพดินและอากาศนั้นต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการผลิตบนพื้นที่สูง หรือการเพาะปลูกบนเทือกเขาแอนดีสของโคลอมเบีย
จากพื้นที่การเพาะปลูก และการปรับใช้เทคโนโลยีสำหรับการผลิตและเก็บเกี่ยว ทำให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟดิบของบราซิล เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลการประเมินผลผลิตจากกระทรวงการเกษตรสหรัฐฯ ในปี 2024 พบว่า ผลผลิตเมล็ดกาแฟอะราบิกาจากบราซิลนั้น มีแนวโน้มสูงเกือบ 50% ของผลผลิตเมล็ดกาแฟอะราบิกาทั่วโลก
ขณะที่ในแง่ของราคา ด้วยปริมาณผลผลิตที่มากของบราซิล ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยโดยรวม จึงมีแนวโน้มต่ำกว่าหลายพื้นที่ โดยในช่วงที่ผ่านมา ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากบราซิล ได้ในราคาถูก
และถึงจะรวมผลของภาษีนำเข้า ราคาที่ได้จากบราซิล ก็อาจยังถูกกว่าราคาที่ได้จากโคลอมเบีย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
ปี 2023 ราคาเฉลี่ยของเมล็ดกาแฟอะราบิกา 1 ตัน อยู่ที่ราว 4,540 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ซื้อเมล็ดกาแฟดิบ 1 ตัน ด้วยราคาเฉลี่ยจาก
บราซิล - 3,782 ดอลลาร์สหรัฐ
โคลอมเบีย - 4,900 ดอลลาร์สหรัฐ
หากปรับขึ้นราคาด้วยระดับภาษีนำเข้าที่ทั้ง 2 ประเทศถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ พบว่า ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ จะต้องซื้อเมล็ดกาแฟดิบจาก
บราซิล - 5,673 ดอลลาร์สหรัฐ
โคลอมเบีย - 6,125 ดอลลาร์สหรัฐ
สถานการณ์ข้างต้น คงไม่ใช่แค่กับโคลอมเบีย แต่รวมถึงผู้ผลิตเมล็ดกาแฟดิบจากประเทศอื่น ที่อาจยังไม่สามารถทดแทนพื้นที่ของกาแฟดิบจากบราซิล ทั้งในแง่ปริมาณและราคา
ด้วยเหตุนี้ ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ อาจยังต้องซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากบราซิลอยู่ แม้ต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงขึ้นก็ตาม
ในอีกด้าน แม้สหรัฐฯ ถือเป็นปลายทางการส่งออกกาแฟ อันดับ 1 ของบราซิล สัดส่วนอยู่ที่ราว 16% แต่ราคากาแฟที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าส่งออกขึ้นชื่อของบราซิลนี้ มีแนวโน้มที่จะสามารถขยายพื้นที่การตลาดได้ ในอีกหลายปลายทาง เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าอุตสาหกรรมกาแฟในบราซิลจะไม่ได้รับผลกระทบ จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เลย
ในระยะสั้น มีความเป็นไปได้ที่ผู้ส่งออก อาจต้องยอมลดราคาลงบางส่วน เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเมล็ดกาแฟดิบในสหรัฐฯ ไว้ โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อยในบราซิล ที่ต้นทุนการผลิตไม่ได้ต่ำเท่ารายใหญ่ การส่งออกไปยังสหรัฐฯ อาจยังคงสร้างกำไรได้มากกว่า การส่งออกไปขายยังพื้นที่อื่น
ขณะที่ในระยะกลางถึงระยะยาว ประเทศผู้ผลิตเมล็ดกาแฟดิบรายอื่น โดยเฉพาะประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีต่ำกว่าบราซิล อาจเร่งปรับปรุงคุณภาพการเพาะปลูก ขยายกำลังการผลิต เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านราคา ซึ่งอาจขึ้นมาแย่งส่วนแบ่งตลาดเมล็ดกาแฟดิบของบราซิลไป
1
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในกลุ่มคนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ผู้บริโภคกาแฟในสหรัฐฯ เอง เพราะไม่ว่าสัดส่วนตลาดเมล็ดกาแฟดิบของบราซิลในสหรัฐฯ จะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องจ่ายค่ากาแฟแพงขึ้นอยู่ดี..
References
- CEPII (Gaulier, G. and Zignago, S.)
- Global Trade Algorithmic Intelligence Center
- National Coffee Association USA
- The New York Times
- The Observatory of Economic Complexity
- Solidaridad
- Statista
- United States Department of Agriculture
- Valor International
ธุรกิจ
เศรษฐกิจ
3 บันทึก
24
3
3
24
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย