21 ส.ค. เวลา 16:25 • ความคิดเห็น
ผมเคยฟังเรื่องของ “เสี่ยอู๊ด” เจ้าพ่อพระเครื่องที่ครั้งหนึ่งเคยดังระเบิดในยุคหนึ่ง ร่ำรวยเงินทองมหาศาล มีทั้งรถหรู บ้านใหญ่ และคนรายล้อม ใครอยากได้ทุน อยากได้งาน อยากให้ช่วยเหลือ เสี่ยก็ยื่นมือให้โดยไม่ลังเล บางคนได้ทุนการศึกษาเพราะเขา ดาราหลายคนก็เคยขอความช่วยเหลือจากเขา แม้แต่พระผู้ใหญ่หลายรูปก็เคยอาศัยบารมีของเขา
1
เสี่ยอู๊ดไม่ได้หยุดอยู่แค่การให้แบบเล็กๆ น้อยๆ เขาทำบุญสร้างวัด สร้างอาคารโรงพยาบาลหลายแห่ง เงินทำบุญหมดไปเป็นพันล้านบาท ชื่อของเขาเคยถูกสลักไว้บนป้ายหน้าตึกโรงพยาบาลหลายแห่งในฐานะผู้มีพระคุณ เป็นชื่อที่ใครๆต้องเอ่ยถึงด้วยความนับถือ
แต่เมื่อโชคชะตาพลิกผัน เขาถูกจับติดคุก ชีวิตที่เคยสูงเสียดฟ้ากลับดิ่งลงสู่หุบเหว ไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีใครยืนอยู่ข้างๆ แม้แต่คนที่เคยยกมือไหว้ขอความช่วยเหลือ บางคนทำเป็นไม่รู้จัก บางคนหลบหน้าหนี ป้ายชื่อที่เคยติดอยู่บนตึกโรงพยาบาล ถูกถอดออกเหมือนไม่เคยมีเขาอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นั้นอีกเลย
เมื่อเขาออกจากคุกและกลับไปยังวัดที่เคยสร้าง เคยบริจาคเงินให้มากมาย จากที่เคยเป็นแขกคนสำคัญได้นั่งเก้าอี้สวยงามเปิดงานพิธีใหญ่ๆ กลับกลายเป็นแค่คนเดินผ่านไปมา ไร้คนสนใจ ไม่มีแม้แต่สายตาต้อนรับ
ในรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” เสี่ยอู๊ดพูดประโยคที่สะเทือนใจที่สุดว่า
“ผมไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมอีกแล้ว”
เขายังเล่าว่าในคุก เขาเคยพยายามฆ่าตัวตาย เพราะไม่เหลือศรัทธาในอะไรอีกแล้ว ทั้งในตัวเอง ในคนรอบข้าง หรือแม้แต่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยกราบไหว้ทุกวัน แต่เขาก็ไม่ตาย เหมือนฟ้าจะบอกว่าบทเรียนชีวิตยังไม่จบ
และแล้ว เรื่องราวของเขาก็ปิดฉากลงอย่างน่าเศร้า เสี่ยอู๊ดได้จากโลกนี้ไปด้วยการฆ่าตัวตาย ชีวิตที่เคยเป็นตำนานแห่งความมั่งคั่งและการให้ จบลงด้วยความเงียบเหงาและความเจ็บปวดที่ไม่มีใครอยากพบเจอ
ถ้ามองลึกลงไป เรื่องของเสี่ยอู๊ดสะท้อนกฎธรรมชาติข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ “ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง” ลาภ ยศ ชื่อเสียง หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ ไม่มีอะไรเป็นของเราแท้ ๆ สิ่งที่คนเรียกว่า “บุญ” หรือ “กรรม” มันก็ไม่ใช่ตั๋ววีไอพีให้เรารอดพ้นจากกฎของความเปลี่ยนแปลง
บางทีสิ่งที่เสี่ยอู๊ดเผชิญอาจเป็นผลของกรรมเก่าที่สั่งสมมา บางทีอาจเป็นบทเรียนใหญ่หลวงที่จักรวาลฝากไว้ให้เราเรียนรู้ ว่าการให้ที่ผูกไว้กับชื่อเสียงและการยอมรับนั้นเปราะบางเพียงใด และการคาดหวังว่าบุญจะซื้อความคงทนให้ชีวิตนั้นเป็นเพียงมายา
เรื่องนี้ทำให้ผมย้อนถามตัวเองว่า
เรากำลังยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยงอยู่หรือเปล่า
ถ้าวันหนึ่งทุกอย่างที่เรามีหายไปหมด เราจะเหลืออะไรให้เกาะยึด นอกจากใจที่เข้าใจธรรมะ
หรือเรากำลังหลงอยู่ในมายาของบุญและบาป โดยลืมไปว่าบุญแท้จริงนั้นอยู่ที่ “ใจที่ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”
เพราะสุดท้าย ไม่ว่าเราจะเชื่อเรื่องเวรกรรมหรือไม่ กฎของเหตุและผลมันก็ทำงานอยู่เสมอ และความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่จีรังถาวร นอกจากการยอมรับและเข้าใจความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง
ขอฝากลิงค์ คลิป คุณแพรี่ไพรวัลย์
บอกเล่าเกี่ยวกับเสี่ยอู๊ดไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ
โฆษณา