22 ส.ค. เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

แม้การเจรจาภาษีลดลงเหลือ 19% แต่ผลจากสงครามการค้าท่ามกลางความเปราะบางในประเทศ ยังกดดันเศรษฐกิจไท

ยเสี่ยงโตต่ำต่อเนื่องนาน
• SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอาจขยายตัวเฉลี่ยไม่ถึง 1% ยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ Technical recession ในครึ่งหลังของปี และจะยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องในปีหน้า
• SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.8% ในปีนี้ และ 1.5% ในปี 2569 ปรับดีขึ้นบ้างจากผลการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วงก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูง แต่แรงส่งหลักของเศรษฐกิจจะทยอยแผ่วลงในช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกหดตัวหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้ การท่องเที่ยวชะลอ และการลงทุนภาครัฐเบิกจ่ายช้ากว่าคาด
• สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือ 19% ช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดลงได้บ้าง แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทย ที่อาจต้องเจอแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป ตลอดจนค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วเทียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ
• ในระยะต่อไปต้องติดตามความเสี่ยงจากสงครามการค้า ทั้งประเด็นภาษีสวมสิทธิที่มีอัตราภาษีที่ 40% การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่ออัตรากำไร (Margin), สินค้าจีนทะลัก และมาตรการกีดกันการค้าทั่วโลก
• แนวโน้มภาคธุรกิจไทยยังเสี่ยงสูง ต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯ และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าไทยกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการลดภาษีนำเข้าของโลก
• เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวมากในปี 2568-2569 เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แม้จะปรับดีขึ้นบ้างหลังภาษีสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่มองไว้
• โลกจะยังเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า เพราะหลายประเทศยังเจรจากับสหรัฐฯ ไม่จบ และสหรัฐฯ จะทยอยเก็บภาษีรายสินค้าเพิ่มอีก ผลกระทบที่ไม่ชัดเจนนี้จะสร้างความไม่แน่นอนต่อนโยบายการเงินโลก
• SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะลดลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปีหน้า ช่วยลดความตึงตัวของภาวะการเงินและพยุงเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง
SCB EIC ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 1.8% (เดิม 1.5%) และปี 2569 เป็น 1.5% (เดิม 1.2%) ปัจจัยหลักมาจากการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2568 ที่ประกาศออกมา 2.8%YOY สูงกว่าที่ประเมินไว้เล็กน้อย จากการเร่งส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัวส่วนหนึ่งจากฐานต่ำ
และจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่เจรจาได้ต่ำกว่าคาดเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งหลักในตลาดสหรัฐฯ ช่วยให้แนวโน้มส่งออกและลงทุนปรับดีขึ้นบ้างมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และต่อเนื่องไปปี 2569 แรงส่งหลักที่จะแผ่วลง คือ
(1) การส่งออกจะหดตัวแรง โดยเฉพาะหลังหมดผล Front-loading ในตลาดสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าไทยจะลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เริ่มเก็บจริง
(2) การท่องเที่ยวจะชะลอตัว SCB EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 เหลือ 32.9 ล้านคน และจะทยอยฟื้นตัวในปี 2569 โดยความขัดแย้งบริเวณชายแดนอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวยังมีความท้าทายจาก Tourism war และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ชะลอลง
(3) การลงทุนภาคเอกชน แม้ขยายตัวดีในไตรมาส 2 แต่ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐาน ภาพการลงทุนจะชะลอลงในระยะข้างหน้าจากผลของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ
(4) แรงส่งภาครัฐแผ่วลง ตามการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้ และปัจจัยฐานต่ำในปี 2567 เริ่มมีผลช่วยน้อยลงในระยะสั้น แม้อัตราภาษีสหรัฐฯ เหลือ 19% และไทยยื่นข้อเสนอใหม่ที่คำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ และบรรเทาความกังวลผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการจากการเปิดตลาดลงได้บ้าง แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยที่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป
ตลอดจนค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วช่วงที่ผ่านมาหากเปรียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทยมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากสงครามการค้าที่ยังต้องติดตาม ได้แก่ (
1) สินค้าส่งออกที่มี Import content สูงเสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสวมสิทธิเพิ่ม 40%
(2) การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น กระทบ Margin ของผู้ประกอบการ และ
(3) การรับมือปัญหา Import flooding และการปกป้องตลาดภายในประเทศทั่วโลกที่จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าอดีตมาก ส่วนหนึ่งจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงขึ้นมากจากอดีต ทำให้การพึ่งพา Growth model เดิมของไทยที่เติบโตด้วยการค้าโลกจะเป็นไปได้ยากขึ้น
นอกจากประเด็นการค้า ยังมีประเด็นความขัดแย้งไทยและกัมพูชาเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมผ่านช่องทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และแรงงาน ผลกระทบขึ้นกับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้และความยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมแนวโน้มของภาคธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก โดยยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งที่เผชิญภาษีสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน
และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น หรือหากสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ มี Import content สูง อาจเสี่ยงถูกเพ่งเล็งกรณีสวมสิทธิ สำหรับการเปิดตลาดนำเข้าจากสหรัฐฯ ในเบื้องต้นคาดว่า ผลกระทบยังจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากภาครัฐอาจออกมาตรการกำหนดโควตากลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวมากและปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวมากในปี 2568-2569 แม้จะปรับดีขึ้นบ้าง หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ประกาศออกมารุนแรงน้อยกว่าที่ประเมินไว้และเลื่อนวันเริ่มบังคับใช้อีก 1 เดือน รวมถึงประเทศต่าง ๆ มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัว 2.4% ในปี 2568 และ 2569 ดีกว่าที่เคยมองไว้เล็กน้อย แต่ทิศทางยังชะลอลงจาก 2.8% ในปี 2024
อย่างไรก็ดี ภาษีนำเข้ารายสินค้าที่สหรัฐฯ อาจทยอยประกาศเพิ่มเติม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยาและเวชภัณฑ์ ไม้ เครื่องบิน เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
นโยบายการเงินโลกยังมีแนวโน้มผ่อนคลายลงอีก แต่ความเสี่ยงจากสงครามการค้าจะมีผลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 50 bps ในปีนี้ (เดิมมอง 25 bps) หากข้อมูลการจ้างงานเดือน ส.ค. ยังออกมาต่ำ เนื่องจากคณะกรรมการเริ่มให้ความสำคัญกับข้อมูลตลาดแรงงานมากขึ้นหลังตัวเลขปรับย้อนหลังแย่ลงมาก และลดอีก 75 bps ในปีหน้า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 25 bps เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้า
แต่เลื่อนการลดครั้งสุดท้ายเป็นในไตรมาส 4 ของปีนี้ (เดิมไตรมาส 3) จากกำแพงภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่รุนแรงน้อยลง และรอความชัดเจนภาษีรายสินค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะยาซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจยูโรโซนสูง วัฏจักรการลดดอกเบี้ยรอบนี้ของยูโรโซนจะจบลงภายในสิ้นปีนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงปลายปี
และอาจลดดอกเบี้ยอีกรวม 20 bps ในปี 2569 และเตรียมมาตรการผ่อนคลายนโยบายแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากความไม่แน่นอนที่ยังคงสูง และเงินเฟ้อที่สูงจากปัจจัยชั่วคราว แต่อาจกลับมาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับลดลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปี 2569 จาก
(1) ภาวะการเงินยังตึงตัวจากการชะลอลงของสินเชื่อและเงินบาทแข็งค่า อาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
(2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวต่ำกว่า
ในอดีตอย่างมีนัย และ
(3) อัตราเงินเฟ้อไทยต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องนาน SCB EIC ประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 จะต่ำลงเหลือ 0.2% (เดิมมองไว้ 0.5%) จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงต่อเนื่อง โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือนจะกลับเป็นบวกได้ในไตรมาส 4 แม้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังมีไม่มาก แต่ครัวเรือนไทยอาจกำลังเผชิญ “Debt Deflation” อยู่ ภาระหนี้สูงอาจลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือน ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง จนทำให้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) สูงขึ้นได้ในที่สุด
อ่านต่อบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่...
โดย : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
โฆษณา