22 ส.ค. เวลา 15:56 • การเมือง

ตาคลีแดนหัวใจ EP.11

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความหรือนิยายต่อๆไป
เดิมทีผู้เขียนตั้งใจว่าตอนที่ 15 ของตาคลีแดนหัวใจจะเป็นการปิดฉากแผ่นดินของเราทุกๆ Season แต่เนื่องจากมีการเพิ่มฉากที่พระเอกเป็นนักบินฝนหลวงเข้าไปตามแพลนที่วางไว้ก่อนจะเขียนเรื่องนี้แล้วมีการเพิ่ม Flashback เมื่อ 10 ปีก่อนเข้าไปบางตอน พร้อมให้ตัวละครมีบทบาทมากขึ้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมตอนจบจึงเป็นตอนที่ 18 แทนที่จะเป็นตอนที่ 15
เรืออากาศเอกกรกฎ พันธุ์ทนง "URANIUM" ได้รับการเลื่อนยศใหม่ได้เพียง 1 วันกำลังเดินมาช้าๆในชุดนักบินเครื่องบินขับไล่ F-16 สีเขียวมะกอกพร้อมด้วยเสื้อชูชีพสวมทับชุดนักบินเพราะภารกิจนี้คือการบินลาดตระเวณสำรวจน้ำท่วมภาคเหนือและการบินลาดตระเวณตามแนวชายแดนไทย-เชียงหลวง
เรืออากาศเอกกรกฎ พันธุ์ทนง "URANIUM'' หรือผู้กองนัทนั่งนิ่งอยู่ในห้องนักบินของ F-16MLU หมายเลข 40311/90025 จากนั้นฝากระจกห้องนักบินปิดลงมา มือของเขาวางอยู่บนคันบังคับอย่างมั่นคง ดวงตากวาดมองไปยังแผงหน้าจอและมาตรวัดต่างๆ อย่างละเอียด เสียงแผ่วเบาของระบบอิเล็กทรอนิกส์ในห้องนักบินผสานกับเสียงคำสั่งจากหอบังคับการที่ดังผ่านหูฟัง
ใต้ลำตัวเครื่องบิน F-16 ของ "URANIUM'' และ "ZEUS" มีทั้งถังเชื้อเพลิงภายนอกขนาด 300 Gallon ปลายปีกมีขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ Iris-T สองลูกที่พร้อมจะทำงานและที่ใต้ช่องนำอากาศเข้าฟากขวามีกระเปาะชี้เป้า SNIPER ATP สำหรับการตรวจการณ์ด้วยความละเอียดสูง นี่ไม่ใช่การบินฝึกซ้อม แต่เป็นภารกิจลาดตระเวณจริง
เสียงเครื่องยนต์ Pratt and Whitney F100PW220 ส่งเสียงคำรามไปทั่วกองบิน 4 ตาคลี พวกเขาดันคันเร่งไปข้างหน้าจนห้องนักบินสั่นสะเทือน แรงจีมหาศาลดันแผ่นหลังของพวกเขาแนบไปกับเบาะ ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้ง 2 เครื่องวิ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงตัดหน้าเขาตาคลีที่เป็นฉากหลัง
"ครูว่าไวนะ ตาคลีกับลำพูนก็แค่ปากซอย" ZEUS พูด "ครูครับ นี่ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีเราบินมาถึงลำพูนแล้วนะครับ" URANIUM "เอ็งจำคำครูไว้ เราไม่ได้มาบินเล่น มาบินลาดตระเวน" ZEUS พูดด้วยวลีเด็ดในฐานะครูการบิน "ครูดูข้างล่างสิครับ เหมือนยกทะเลมาไว้ที่ภาคเหนือไม่มีผิด" URANIUM ให้ครูของเขามองภาพที่อยู่เบื้องล่าง
ทั้งเรืออากาศเอกกรกฎ พันธุ์ทนง "URANIUM'' และนาวาอากาศตรีกมล ใจใส "ZEUS" บังคับ F-16 ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลีให้ลดระดับความสูงลงเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่พื้นที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ภาพเบื้องล่างปรากฏให้เห็นถึงความเสียหายจากอุทกภัยเป็นบริเวณกว้าง ผืนดินที่เคยเขียวขจีแปรเปลี่ยนเป็นผืนน้ำสีขุ่นที่กลืนกินทุกสิ่งอย่าง ถนนหลายสายถูกตัดขาด บ้านเรือนจมอยู่ใต้น้ำ มองเห็นเพียงหลังคาที่โผล่พ้นผิวน้ำเป็นหย่อมๆ ราวกับเกาะแก่งที่ไร้ผู้คน
พวกเขามองลงไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งจมอยู่ในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ระดับน้ำสูงจนเกือบมิดหลังคา บ่งบอกถึงความรุนแรงของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น หัวใจของนักบินหนุ่มทั้ง 2 นายอดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้
จากนั้นสายตาของพวกเขาก็เหลือบไปเห็น วัดพระพุทธบาทตากผ้า ที่ตั้งอยู่บนดอยสูงสง่า แม้ว่าผืนน้ำสีชาเย็นจะแผ่ขยายไปโดยรอบบริเวณวัด แต่ระดับน้ำกลับหยุดอยู่แค่เชิงเขา ไม่สามารถเอ่อล้นขึ้นไปยังตัววัดได้
พวกเขามองเห็น เจดีย์สีทอง ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนดอยสูง แสงอาทิตย์เวลา 10 โมงเช้าสาดส่องลงมากระทบกับยอดเจดีย์เป็นประกายระยิบระยับ ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและศรัทธาที่ยังคงยืนหยัดอยู่เหนือภัยพิบัติ ภาพของน้ำท่วมที่กลืนกินทุกสิ่ง กับภาพของวัดที่ยังคงความสงบและสวยงาม ทำให้เกิดความรู้สึกหลากหลายในใจของทั้งคู่ มันคือความเปราะบางของชีวิตและความเข้มแข็งของจิตใจมนุษย์
ภาพตัดมาบนยอดดอยอันเป็นที่สถิตของวัดพระพุทธบาทตากผ้า ภาพที่อยู่เบื้องล่างมันคือภาพที่ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงแต่ภาพของผืนน้ำสีขุ่นที่แผ่ขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด กลืนกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอป่าซางเอาไว้ทั้งหมด มองเห็นเพียงยอดต้นไม้และหลังคาบ้านบางหลังที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นหย่อมๆ
แต่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามแหลมสูงดังขึ้นมาบนท้องฟ้าภาคเหนือรอบที่สอง และในวินาทีต่อมา เครื่องบินขับไล่ F-16 หมายเลข 40311 และ 40307 ก็พุ่งเข้ามาในความสูง 800 ฟุตเหนือยอดเจดีย์ พร้อมความเร็ว 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันบินผ่านไปในระยะที่ใกล้ยอดเจดีย์ ตัวเครื่องสีเทาดำสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะพุ่งเลยไปจนกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในท้องฟ้ากว้าง
จากศาสนสถานไปดูที่เครื่องบินขับไล่จากกองบิน 4 ตาคลีทั้ง 2 เครื่องที่ยังคงบินวนมาสำรวจความเสียหายรอบที่ 3 ก่อนจะบินไปต่อเพื่อการปกป้องแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นจากภัยคุกคามจากข้าศึก หรือจากภัยธรรมชาติ เครื่องบินรบของกองทัพอากาศไทยก็ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่พี่น้องประชาชน
เรืออากาศเอกกรกฎและนาวาอากาศตรีกมลบังคับ F-16 บินผ่านเหนือจังหวัดลำพูนตามคำสั่งลาดตระเวน ภาพเบื้องล่างที่เคยคุ้นเคยของเมืองโบราณที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและป่าไม้อันงดงาม บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นมหานทีแห่งความเศร้าหมอง
พื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอเมืองลำพูน จมอยู่ใต้น้ำที่สูงถึงระดับคอ ภาพของหลังคาบ้านเรือนที่เหมือนกับแพลอยน้ำไร้จุดหมาย สร้างความรู้สึกหดหู่ใจอย่างที่สุด บางแห่งมองเห็นผู้คนที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาหรือที่สูงเพื่อหนีน้ำ ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความหวาดกลัว
จากบนท้องฟ้าเสียงคำรามของเครื่องยนต์ F-16 ยังคงดังสนั่น แต่ในหัวของศิษย์กลับเงียบงัน "URANIUM'' กัดฟันแน่น มือขากระชับคันบังคับ มือซ้ายจับคันเร่ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่ภาพเบื้องล่างอย่างแน่วแน่ เขารู้ดีว่าภารกิจของเขาไม่ใช่การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยตรง แต่คือการสำรวจและส่งข้อมูล เพื่อให้หน่วยงานภาคพื้นดินสามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
เขาหวนนึกถึงคำพูดของครูกมลที่บอกว่า "การบิน F-16 หรือการเป็นทหาร ไม่ได้มีแค่การรบ แต่การได้ทำหน้าที่เพื่อประชาชนในทุกสถานการณ์ มันคือความยิ่งใหญ่ที่เราได้ทำเพื่อแผ่นดินนี้"
ภาพของเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำคือความจริงที่เขาไม่อาจหลีกหนีได้
ความรับผิดชอบของเขาคือการเป็นดวงตาจากท้องฟ้าให้กับเพื่อนร่วมชาติ เพื่อให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด เขาส่งข้อมูลที่ได้เห็นไปให้ผู้บังคับการกองบิน 41 ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผู้การวิสุทธิ์ แม้หัวใจจะหนักอึ้ง แต่จิตวิญญาณแห่งการทำหน้าที่ยังคงเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวของนักบินหนุ่มนายนี้เสมอ
หลังจากเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้ง 2 เครื่องพุ่งทะยานจากไปแล้ว ท้องฟ้าเหนือจังหวัดลำพูนก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง แต่ทว่า เสียงของเครื่องยนต์ใบพัดก็ดังขึ้นมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
เครื่องบินโจมตีเบา AT-6TH Wolverine 2 เครื่อง หนึ่งในนั้นมีเรืออากาศโทเอกราช ดุสิตศักดิ์ ''MICKEY" นักบินหนุ่มจากฝูงบิน 411 กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ทำการบิน
มันบินร่อนอย่างเชื่องช้าในระดับความสูงที่ต่ำกว่ามาก เรืออากาศโทเอกราชกวาดสายตามองลงไปอย่างละเอียด ภารกิจของเขาไม่ใช่การลาดตระเวนเพื่อตรวจจับภัยคุกคาม แต่เป็นการตรวจการณ์เพื่อหาผู้ประสบภัยและประเมินสถานการณ์จากมุมมองที่ใกล้ชิด
จากห้องนักบินที่โล่งโปร่งของ วูล์ฟเวอรีน เขามองเห็นรายละเอียดของน้ำท่วมได้ชัดเจนยิ่งกว่านักบิน F-16 ก่อนหน้า เขาเห็นบ้านเรือนที่จมมิดลงไปในน้ำเกือบทั้งหลัง เห็นผู้คนที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากหลังคาบ้านและระเบียงชั้นสอง เขาเห็นความหวังที่ริบหรี่และร่องรอยของความสิ้นหวังในแววตาของผู้คนเบื้องล่าง
แม้จะไม่มีอาวุธหนักติดใต้ปีก แต่ภารกิจของเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน การบินของ URANIUM และ ZEUS อาจเป็นการปกป้องอธิปไตย แต่การบินของ MICKEY คือการปกป้องชีวิตผู้คนในยามวิกฤต
เขาทำหน้าที่เป็นดวงตาให้แก่หน่วยกู้ภัยภาคพื้นดิน กดปุ่มสื่อสารเพื่อรายงานพิกัดและรายละเอียดของพื้นที่น้ำท่วมอย่างแม่นยำ เครื่องบิน 2 เครื่องนี้บินวนไปตามจุดต่างๆ อย่างไม่เร่งรีบ ทำภารกิจสำรวจอย่างละเอียดและรอบคอบ
ไม่ว่านักบินจะขับเครื่องบินแบบใด กองทัพอากาศไทยยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อปกป้องน่านฟ้าและดูแลประชาชนบนผืนดิน นี่คือเรื่องราวที่ไม่ได้มีแค่ความเร็ว ความตื่นเต้น และชัยชนะในสนามรบ แต่ยังเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและความเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่เรืออากาศเอกกรกฎและครูกมล นักบิน F-16 รุ่นพี่ ยังคงบินลาดตระเวนอยู่ในระดับความสูงที่เหนือกว่า สังเกตเห็นเงาของอากาศยานทั้ง 2 เครื่องเคลื่อนที่อยู่เบื้องล่าง สายตาที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีทำให้เขาสามารถแยกแยะรูปร่างได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือ AT-6TH Wolverine ที่เพิ่งทำการบินตรวจการณ์น้ำท่วมก่อนหน้านี้
นกเหล็กวูล์ฟเวอรีนทั้ง 2 เครื่องนั้นบินอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า F-16 ของพวกเขาอย่างชัดเจน ราวกับนกตัวเล็กที่กำลังโผบินสำรวจผืนน้ำเบื้องล่างอย่างใกล้ชิด จากระดับความสูงนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า AT-6TH กำลังบินวนเวียนอยู่เหนือพื้นที่ที่เคยเป็นอำเภอเมืองลำพูน โดยเน้นการบินในบริเวณที่น้ำท่วมหนักเป็นพิเศษ
การปรากฏตัวของ AT-6TH ในระดับความสูงที่ต่ำกว่าทำให้นักบิน F-16 ฝูงบิน 403 ทั้ง 2 นาย เข้าใจได้ทันทีถึงความแตกต่างของภารกิจ พวกเขาไม่ได้แข่งกัน หรือแย่งพื้นที่ปฏิบัติการ แต่กำลังทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
F-16 ที่บินสูงกว่าทำหน้าที่เป็นเหมือนดวงตาที่มองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ในวงกว้าง เฝ้าระวังและส่งข้อมูลภาพรวมของพื้นที่ประสบภัย ในขณะที่ AT-6TH ที่บินต่ำกว่า จะสามารถมองเห็นรายละเอียดในระดับพื้นดินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ระบุตำแหน่งของผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ และประเมินความเสียหายในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
ในขณะที่ ZEUS และ URANIUM กำลังบังคับเครื่องบิน F-16 ลาดตระเวนอยู่บนท้องฟ้า ภาพจากบนอากาศได้ตัดลงมายังพื้นดินที่เต็มไปด้วยผืนน้ำสีขุ่น เรือของทหารจากกองทัพภาคที่ 3 และมณฑลทหารบกที่ 33 ทั้ง 5 ลำที่เต็มไปด้วยเด็กๆและประชาชน กำลังค่อยๆ แล่นฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกราก มองเห็นแต่หลังคาบ้านและยอดเสาไฟฟ้าที่โผล่พ้นน้ำเป็นหย่อมๆ ใบหน้าของเด็กๆ แต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอ่อนล้าจากการต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก
ในตอนนั้นเอง เสียงไอพ่นของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4 ก็ดังขึ้นจากท้องฟ้า สายตาของเด็กๆ แหงนมองขึ้นไปโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขามองเห็นเพียงจุดสีเทาดำขนาดเล็ก 2 จุดที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เสียงที่น่าหวาดหวั่นเมื่อครู่ในความรู้สึกของผู้ใหญ่ กลับกลายเป็นเสียงที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็กๆ
ความกลัวในแววตาของพวกเขาหายไปในชั่วขณะ แทนที่ด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้น พวกเขาพร้อมใจกันโบกมือเล็กๆ ไปยังท้องฟ้าอย่างร่าเริง ราวกับว่ากำลังโบกมือทักทายกับฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่
พลโทปิติศักดิ์ ชอบวิจิตร แม่ทัพภาคที่ 3 และลูกน้องที่กำลังอยู่บนเรือ มองตามสายตาของเด็กๆ พวกเขาเห็นเครื่องบินเครื่องนั้นที่กำลังบินลาดตระเวนอยู่บนความสูงที่เกินกว่าจะมองเห็นนักบินได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากความน่าเกรงขามของเครื่องบินรบ แต่มาจากความรู้สึกอบอุ่นใจว่าในความทุกข์ยากที่ถาโถมเข้ามา พวกเขายังมีผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองจากเบื้องบนอยู่เสมอ
เครื่องบินที่มาเป็นคู่บินผ่านไปแล้วจนลับตา
แต่ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยยังคงอยู่ในใจของทุกคนบนเรือ เด็กๆ บางคนกลับมานั่งเงียบๆ แต่ใบหน้าของพวกเขากลับไม่ได้แสดงความสิ้นหวังอีกต่อไป เพราะในความมืดมิดของภัยพิบัติ พวกเขามองเห็นแสงสว่างแห่งความหวังที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้ว
"ท่านแม่ทัพครับ F-16 เขาจะไปไหน" จ่าใหญ่ถามแม่ทัพบนเรือ "พวกเขาไปชายแดน ผมประทับใจที่เรายังมีเครื่องบินรบแบบนี้ปกป้องประเทศมากว่า 50 ปี" ท่านพูดต่อไป "จ่าเชื่อไหม ขนาดผมไม่ได้เกิดในสนามบิน ผมยังชื่นชมที่กองทัพอากาศไทยนำเครื่องบินแบบนี้มารบ ผมก็คิดว่าตอนรบกับกัมพูชาตอนนั้นจะไม่มี F-16 สุดท้ายเราก็ส่งไปรบจริงร่วมกับ Gripen สงครามครั้งนั้นกัมพูชาจึงเป็นฝ่ายแพ้ไป"
จ่าใหญ่ "เป็นผมก็สงสาร F-16 ครับท่าน ถ้าจะปลดไปมันก็น่าเสียดาย ท่านคิดว่ายังไงครับ" ท่านแม่ทัพภาคที่ 3 "ตอนนี้เรามี F-16 และ Gripen ฝูงใหม่ที่โคราชแล้วนะ จ่าไม่รู้เหรอ" จ่าตอบกลับ "ท่านแม่ทัพครับ ผมไม่ได้ตามข่าวจริงๆ
บัดนี้ครูและศิษย์บังคับ F-16 มุ่งหน้าจากจังหวัดลำพูนเข้าสู่เขตอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ทัศนียภาพเบื้องล่างของพวกเขายังคงเป็นภาพที่คุ้นตา แนวต้นยางที่ปลูกเรียงเป็นทิวยาวราวกับเส้นแบ่งพรมแดนที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางจากสองเมืองพี่น้องแห่งนี้
แต่ภาพที่เห็นในวันนี้กลับไม่เหมือนเดิม ผืนน้ำสีขุ่นมัว ท่วมสูงขึ้นจนเกือบมิดลำต้นยางบางต้น กลืนกินถนนที่คดเคี้ยวและบ้านเรือนที่เคยเป็นชุมชน ภาพของน้ำที่แผ่ขยายออกไปอย่างไร้จุดหมายทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นในห้องนักบินลดลงทันที
ZEUS เงยหน้าขึ้นมอง F-16 ที่บินโดยลูกศิษย์เขาผ่านกระจกห้องนักบิน เครื่องบินของเขาและ URANIUM ติดอาวุธเต็มพิกัดสำหรับภารกิจทางทหาร มันถูกออกแบบมาเพื่อความเร็วและอำนาจการทำลาย เพื่อทำสงครามกับศัตรูที่จับต้องได้
แต่ในภารกิจนี้ อาวุธเหล่านั้นกลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง กระสุนหรือขีปนาวุธใดๆ ก็ไม่อาจยิงใส่สายน้ำที่ถาโถมเข้าใส่ผืนแผ่นดินได้ ความเร็วที่เขามีไม่ได้มีไว้เพื่อไล่ล่า แต่เพื่อสำรวจให้ได้ข้อมูลมากที่สุด อาวุธที่เขาต้องใช้ไม่ใช่ขีปนาวุธ แต่คือกล้องและเซ็นเซอร์ที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมชาติสามารถวางแผนการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
พวกเขามองลงไปเบื้องล่างอีกครั้ง เห็นเพียง หลังคาของรถยนต์ ที่โผล่พ้นน้ำราวกับซากเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล มันคือภาพที่น่าหดหู่และสะเทือนใจอย่างยิ่ง
ภาพของ F-16 ที่ติดอาวุธเต็มพิกัดบินเหนือพื้นที่ประสบภัยพิบัติอย่างสงบ เน้นย้ำให้ทั้งคู่รู้สึกว่านี่คืออีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญยิ่งของกองทัพอากาศ ไม่ใช่เพียงแค่การปกป้องน่านฟ้าจากภัยคุกคามภายนอก แต่ยังเป็นการดูแลประชาชนของตัวเองในยามที่ธรรมชาติเข้าทำร้ายอย่างไม่เลือกหน้าเช่นกัน
ขณะนี้ภาพจากบนฟ้าสลับมาที่บ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ แทบจะจมมิดอยู่ในผืนน้ำสีขุ่นมัว มีเพียงแค่หลังคาบ้านที่ยื่นพ้นขึ้นมาอย่างน่าหวาดหวั่น เด็กๆ สามสี่คนกำลังนั่งรวมกันอยู่บนหลังคา ห่อตัวอยู่ในผ้าห่มเปียกๆ ด้วยความเหน็บหนาวและหวาดกลัว สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่น้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องล่างอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้น เสียงคำรามของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นก็ดังขึ้นมาจากฟากฟ้า มันเป็นเสียงที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เสียงที่ดังกว่าเครื่องบินพาณิชย์ที่พวกเขาเคยได้ยินเป็นประจำหลายเท่า เด็กๆ ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เบื้องบนนั้นมีเพียงผืนฟ้าสีครามสดใส ก่อนที่พวกเขาจะเห็นเงาของ เครื่องบินขับไล่ F-16 ปรากฏขึ้นในระยะที่ใกล้กว่าที่เคยเห็นมากนัก มันไม่ได้บินเร็วจนมองตามไม่ทัน แต่กำลังบินลาดตระเวนอย่างช้าๆ ในระดับความสูงที่ไม่น่ากลัว
เด็กชายคนหนึ่งตาโตขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่าใต้ท้องเครื่องบินทั้ง 2 เครื่องนั้นมีถังเชื้อเพลิงขนาด 300 แกลลอน ติดอยู่หนึ่งถัง มีกระเปาะชี้เป้าใต้ช่องอากาศ และที่ปลายปีกทั้งสองข้างยังมี จรวดมิสไซล์ ที่ดูน่าเกรงขามติดอยู่ด้วย มันคือเครื่องบินรบที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับภารกิจทางทหาร เด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มโบกมือเล็กๆ ไปที่เครื่องบินอย่างไม่รู้ตัว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเด็กคนอื่นๆ ที่พากันโบกมือขึ้นไปบนท้องฟ้า
จากระดับความสูงนั้น นักบินอาจจะไม่เห็นพวกเขา หรืออาจจะเห็น... แต่สำหรับเด็กๆ บนหลังคาบ้านที่จมน้ำนั้น ภาพของเครื่องบินรบที่บินผ่านไปอย่างเชื่องช้าในห้วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต คือสัญลักษณ์ของความหวังที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า มันเป็นสิ่งยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง และมีใครบางคนกำลังเฝ้าดูและปกป้องพวกเขาอยู่เสมอ
ภาพประกอบนิยาย
Sirawith Saemmanee
J.J.
Golden Eagle
กองทัพอากาศไทย
JSTCNX
snappy_eye90
เรียบเรียงโดย : THUNDERBIRD
โฆษณา