22 ส.ค. เวลา 17:08 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🧠 Product Manager ยุคใหม่ ต้อง "ใช้ Vibe Coding เป็น แต่ต้องไม่ติดกับดักของมัน"

"Vibe Coding คือการเขียนโปรดักต์ด้วยสัญชาตญาณ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ใช้เหตุผล — และไม่ใช่ใครก็ทำได้ ถ้าไม่มีของ"
หลายคนเริ่มพูดถึง Vibe Coding ในฐานะ “ทักษะที่ Product Manager ยุคใหม่ควรมี” โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้ไม่ได้รอให้เราถาม แต่กำลังส่งสัญญาณกลับมาตลอดเวลา ผ่านพฤติกรรม คลิปรีวิว Reddit thread หรือแม้แต่ Feedback ใน Discord หรือ Medium
คำถามคือ… “Vibe Coding คืออะไรกันแน่? และถ้าอยากใช้ให้ได้ผล ต้องระวังอะไรบ้าง?”
====
🌊 Vibe Coding สำหรับ PM คืออะไร?
ถ้าคุณเคยฟัง PM บางคนพูดว่า…
* “รู้เลยว่าผู้ใช้ไม่ปลื้ม flow นี้” ทั้งที่ยังไม่มี user research
* “ตรงนี้ vibe ไม่ดี ต้อง simplify” แต่ไม่มี graph ใดมาชี้ชัด
* “ลอง tweak ตรงนี้หน่อย เดี๋ยวอัตราการใช้งานน่าจะดีขึ้น” ทั้งที่ไม่มี AB test ใดรองรับ
…นั่นแหละคือการใช้ sense ที่เรียกว่า “Vibe”
Vibe Coding ไม่ใช่ศาสตร์ลับ หรือศิลปะล้วนๆ แต่มันคือวิธีคิดที่ใช้ ประสบการณ์ หน้างานจริง ความไวต่อสัญญาณทางอารมณ์ และการเชื่อมโยงอย่างมี intuition เพื่ออ่านความเคลื่อนไหวของตลาดก่อนที่ตัวเลขจะรายงานผล
มันคือการ “ฟัง” สิ่งที่ยังไม่ได้พูดออกมา ผ่าน…
* เสียงสะท้อนจากทีม UX ที่เจอความลังเลของผู้ใช้ระหว่าง session
* การพูดถึง competitor ใน Reddit หรือ Discord
* พฤติกรรมแปลกๆ ที่เห็นจาก heatmap
* หรือแม้แต่กระแสที่กำลังก่อตัวใน community เล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็น
Vibe Coding คือการใช้ Tacit Knowledge ที่เกิดจากการคลุกวงใน ไม่ว่าจะเป็น…
* คนที่ดู user session มากกว่าคนอื่น
* คนที่มี radar จับจังหวะเทรนด์จากการอยู่ในกลุ่มเป้าหมาย
* หรือคนที่กล้าฟันธงเพราะเคยเจอ pattern นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในบริษัทอย่าง ByteDance หรือ TikTok — การตัดสินใจ UX หลายครั้ง ไม่ได้มาจาก data pipeline แต่จาก instinct ของทีมที่ “อยู่ในวังวนของผู้ใช้” จริงๆ โดยเฉพาะฝั่ง creator และ user ที่ active ที่สุด
และนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Vibe Coding — ไม่ใช่ของใหม่ แต่ในยุคที่โลกเร็วขึ้น ทีมที่กล้าใช้ sense ก่อน data จะตามทัน ก็คือทีมที่ “ออกตัวได้ก่อน” และมักจะชิงพื้นที่ตลาดไปได้ก่อนเสมอ
====
🧩 ตัวอย่างองค์กรที่ใช้ Vibe Coding ไปใช้?
1. GitHub Copilot
* GitHub ใช้ Vibe Coding ผสมกับ data-driven strategy ได้ดีมาก เช่นตอนเปิดตัว GitHub Copilot ซึ่งเป็น AI Coding Assistant ตัวแรกๆ ของวงการ
* พวกเขาไม่ได้รอให้ Developer เรียกร้อง แต่เห็น Vibe จาก community ว่าการ coding เริ่มน่าเบื่อ และทุกคนเริ่มคุยกันเรื่อง GPT ใน Stack Overflow
* ผลคือ GitHub ลงมือ prototyping และปล่อย beta ได้ไวในจังหวะที่ "ทุกคนกำลังสงสัยว่า AI จะทำอะไรกับ dev ได้บ้าง" — และสิ่งที่ตามมาคือ Product-market fit แทบจะทันที
2. Netflix กับ UI Decision
* Netflix เคย A/B test เรื่องแสดงปุ่ม “Watch Next” ว่าควรแสดงทันทีหลังหนังจบ หรือให้เครดิตขึ้นก่อน โดยที่ Data ชี้ว่าทำให้ engagement สูงขึ้น แต่ทีม PM สัมผัสได้จาก vibe ผู้ใช้ว่า...มันรีบเกินไป
* สุดท้ายพวกเขาเลือกให้มี delay และใช้ motion ที่นุ่มนวลขึ้น แทนที่จะเร่งยอดคลิกทันที — เพราะเขา "รู้ทันความรู้สึกคนดู" ก่อนที่ metric จะเตือน
====
⚠️ ข้อควรระวัง!! “Vibe Coding“
Vibe Coding คืออาวุธทรงพลังที่ให้ทีม Product เดินเกมได้เร็วกว่า Data-Driven หลายเท่า เพราะไม่ต้องรอตัวเลข ไม่ต้องรอ research — แต่ถ้าใช้โดยขาดวินัย ผลที่ได้อาจไม่ใช่ MVP...แต่กลายเป็น "Messy Product" แทน
สิ่งที่ต้องระวังหากคุณเลือกเดินทางสาย Vibe
1. “ใช้ vibe แทนการ validate”
* บ่อยครั้งที่ทีมมั่นใจใน instinct ตัวเองจนข้ามขั้นตอนสำคัญ เช่น การทำ usability test, customer interview หรือแม้แต่ A/B test ง่ายๆ
* เช่นในกรณีของ Clubhouse ที่ UX เรียบง่ายแบบไร้ data support ในช่วงแรก ทำให้ได้ speed สูง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแข่งขันกับ TikTok หรือ X ที่ตามมาทีหลังด้วยระบบแนะนำที่ดีกว่า
2. สร้างการทำงานแบบเพ้อฝัน
* หากทีมเต็มไปด้วยคนที่คิดคล้ายกัน มองโลกในแง่ดี และไม่มีใครกล้าทักท้วง ความเสี่ยงคือการตกอยู่ใน "vibe echo chamber" ที่ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นบนกระดาน Miro แต่พอออกตลาดจริงกลับไม่มีใครใช้
* เช่น หลายฟีเจอร์ใน Clubhouse ที่ทีมอินกันเอง แต่ไม่ได้แก้ pain point ของผู้ใช้จริง เป็นต้น
3. Vibe ทำหรือเปลี่ยนเร็ว แต่อาจจะง่อยได้ในระยะกลางขึ้นไป?
* สิ่งที่เคยเท่ห์ อาจกลายเป็น "cringe" ได้ในเวลาไม่กี่เดือน ถ้าคุณตัดสินใจพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยอิงกับ vibe เพียงอย่างเดียว ต้องเตรียมใจให้พร้อมว่ามันอาจหมดอายุเร็วเกินไปที่จะคืนทุนด้วยซ้ำ
ทางรอดจึงไม่ใช่การทิ้ง vibe...แต่ต้องมีระบบกลั่นกรองที่ชัดเจน เช่น มีขั้นตอน validate ที่เร็วแต่มีประสิทธิภาพ มีทีม diverse ที่กล้าตั้งคำถาม และกลไก feedback loop ที่เร็วทันการณ์
Vibe ที่ทรงพลัง ต้องมาคู่กับ Discipline ที่มั่นคง — ถึงจะกลายเป็น Superpower ได้จริง
====
🧠 Mindset ที่ PM ยุคใหม่ควรมี คือ “ไม่ปฏิเสธ Vibe” แต่จะ “ใช้มันยังไง?”
1. Vibe แล้ว Validate
* อย่าหลงเชื่อ vibe แรกเห็นว่าเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะ vibe ที่ดีอาจเป็นแค่ illusion ถ้าไม่ได้ถูก validate กับ real user
* Mindset ที่ดีคือใช้ vibe เพื่อหา direction แต่ต้องรีบเข้าสู่ phase ของการทดสอบ เช่น clickable prototype, quick survey หรือ user interview ที่เจาะจง
* ถ้าไม่ validate เร็ว PM ก็แค่คนที่กำลังเดาเก่งโดยมี AI เป็นผู้ช่วยเท่านั้น
2. บ่มเพาะ Sense ผ่านของจริง
* Sense ของ PM ไม่ได้เกิดจากการอ่าน case study แต่เกิดจากการอยู่ในหน้างานจริง, การดู behavior ของ user จริงๆ หรือแม้กระทั่งการลงไป test ด้วยตัวเองใน environment ที่ยังไม่ perfect
* และการยอมล้มเหลว แล้วเรียนรู้จากมัน เช่น PM ของ Airbnb ที่เคยต้องเข้าไปอยู่ในบ้าน host เอง เพื่อเข้าใจความรู้สึกของทั้ง host และ guest จริงๆ
3. Balance สองโลก (“Sense” vs “Insight”)
* PM ต้องเก่งเรื่อง balance ระหว่างการใช้ product sense/ประสบการณ์ กับ data/insight
* ระหว่างความรู้สึกของ user ที่อาจพูดไม่หมด vs data ที่อาจพูดไม่จริง
* เช่น ใน product บางประเภทอย่าง Health หรือ Finance ผู้ใช้มักไม่กล้าพูดความกลัวในใจออกมา Insight ต้องคั้นจาก vibe ที่ดูเหมือนไม่เป็น data ได้ด้วย เช่น ใช้ observation method หรือ contextual inquiry ที่ลึกกว่า survey ทั่วไป
====
✍🏻 Vibe Coding ไม่ใช่คำสวยหรู แต่คือ skill ใหม่ที่องค์กรยุค AI หันมาใช้จริงเพื่อความเร็ว และอ่านใจตลาดให้ทัน
แต่ PM ที่เก่งจริง ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้ vibe และเมื่อไหร่ควรหยุดฟังเสียงตัวเอง แล้วหันไปฟังเสียง user แทน
เพราะสุดท้าย Product ที่ดี…ไม่ใช่แค่เข้าใจความรู้สึกของตลาด แต่ต้องอยู่รอดในโลกจริงด้วย
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#VibeCoding
#ProductManagement
#FutureOfPM
#AI
#NoCode
#LowCode
#TechTrends
โฆษณา