23 ส.ค. เวลา 00:49 • ธุรกิจ

การแข่งขันระหว่าง “กาแฟอเมซอน” กับ “กาแฟพันธุ์ไทย”

ศึกชิงตลาดกาแฟสดในประเทศไทย
ธุรกิจกาแฟสดในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา จากเดิมที่กาแฟสดถือเป็นสินค้าสำหรับคนเมืองหรือคนมีรายได้ระดับกลาง-สูง ปัจจุบันกาแฟสดได้กลายเป็นสินค้าที่เข้าถึงง่าย ราคาหลากหลาย และมีผู้เล่นหลายรายเข้ามาแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะ “กาแฟอเมซอน (Cafe Amazon)” และ “กาแฟพันธุ์ไทย (Punthai Coffee)” ที่ต่างใช้กลยุทธ์การขยายสาขาแบบ “Mass Market” เน้นเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มทุกพื้นที่
ทั้งสองแบรนด์เป็น “เชนกาแฟสัญชาติไทย” ที่มาจากการสนับสนุนของบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและค้าปลีก นั่นทำให้การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของกาแฟหรือรสชาติ แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ศักยภาพด้านทุน การขยายเครือข่าย และการสร้างแบรนด์ในระยะยาว
---
จุดกำเนิดของสองแบรนด์
Cafe Amazon
“กาแฟอเมซอน” ก่อตั้งโดย บมจ. ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) ในปี 2002 โดยตั้งเป้าหมายแรกเริ่มเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่แวะเข้าปั๊มน้ำมัน ปตท. ด้วยคอนเซปต์ “Taste of Nature” ที่ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติ ร่มรื่น และผ่อนคลาย
จากร้านเล็กๆ ในปั๊ม ปัจจุบัน Cafe Amazon มี สาขามากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ (และกว่า 300 แห่งในต่างประเทศ) กลายเป็นแบรนด์กาแฟที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในไทย และกำลังรุกเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม รวมถึงขยายไปญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และตะวันออกกลาง
Punthai Coffee
“กาแฟพันธุ์ไทย” เปิดตัวในปี 2011 โดยบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ปัจจุบันอยู่ในเครือกลุ่ม BJC ของตระกูลสิริวัฒนภักดี จุดเริ่มต้นของ Punthai มาจากความต้องการทำ “แบรนด์กาแฟสดราคาจับต้องได้” เพื่อแข่งขันในตลาดแมสเช่นเดียวกับ Cafe Amazon
Punthai ใช้กลยุทธ์ขยายสาขาในทำเลชุมชน ตลาดสด และหน้าห้างบิ๊กซี พร้อมราคาที่เข้าถึงง่าย เช่น เมนูกาแฟเริ่มต้นเพียง 35-40 บาท (ถูกกว่า Amazon เฉลี่ย 10-15 บาท) ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ และกำลังขยายอย่างต่อเนื่อง
---
กลยุทธ์การแข่งขัน
1. ทำเลและการขยายสาขา
Cafe Amazon ได้เปรียบอย่างชัดเจนในแง่ของทำเล เพราะการมีเครือข่ายปั๊มน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ ทำให้การขยายสาขาเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ นอกจากนี้ยังขยายไปยังห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน มหาวิทยาลัย และแม้กระทั่งสนามบิน
Punthai Coffee เน้นทำเลชุมชน เช่น ตลาดสด หน้าห้างบิ๊กซี หรือพื้นที่เช่าที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างได้ดีกว่า
2. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
Cafe Amazon เจาะกลุ่มกว้าง ตั้งแต่พนักงานออฟฟิศ นักเรียน คนเดินทาง ไปจนถึงนักท่องเที่ยว จุดเด่นคือเป็น “แบรนด์กลางๆ” ที่ไม่หรูหราเกินไป แต่ก็ไม่ถูกจนเสียภาพลักษณ์
Punthai Coffee เจาะตลาดลูกค้าราคาประหยัด คนทำงานทั่วไป วัยรุ่น และแม่บ้านที่ต้องการกาแฟสดราคาสบายกระเป๋า
3. กลยุทธ์ราคา
Amazon ราคากาแฟเฉลี่ย 45-60 บาท
Punthai ราคากาแฟเฉลี่ย 35-45 บาท
Punthai ใช้กลยุทธ์ ราคาถูกกว่าเล็กน้อย เพื่อดึงดูดลูกค้าในทำเลที่รายได้เฉลี่ยไม่สูง ขณะที่ Amazon เน้นรักษาภาพลักษณ์และคุณภาพให้เหนือกว่าเล็กน้อย
4. การสร้างแบรนด์และประสบการณ์ลูกค้า
Cafe Amazon สร้างภาพลักษณ์ “โอเอซิสแห่งการพักผ่อน” ด้วยการตกแต่งร้านสไตล์สวน ปลูกต้นไม้เยอะ เน้นบรรยากาศนั่งสบาย มีที่นั่งพักผ่อนและฟรี Wi-Fi ทำให้ลูกค้าหลายคนเลือกเป็นที่นั่งทำงานหรือพักระหว่างเดินทาง
Punthai Coffee ใช้ภาพลักษณ์ “กาแฟไทยแท้ ราคาประหยัด” ตกแต่งร้านเรียบง่าย ขนาดเล็ก เน้นขายกลับบ้าน (Take Away) มากกว่าการนั่งในร้าน
---
จุดแข็งและจุดอ่อน
Cafe Amazon
จุดแข็ง
เครือข่ายสาขาครอบคลุมที่สุด
การสนับสนุนจาก ปตท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจใหญ่
ภาพลักษณ์แข็งแรง เป็นที่รู้จักของทุกเพศทุกวัย
มีการขยายตลาดต่างประเทศ สร้างโอกาสเติบโต
จุดอ่อน
บางสาขาคุณภาพไม่สม่ำเสมอ รสชาติขึ้นอยู่กับบาริสต้า
ราคาเริ่มสูงขึ้น ทำให้บางกลุ่มรู้สึกว่ามีทางเลือกอื่นที่คุ้มกว่า
ภาพลักษณ์ “Mass” ทำให้ไม่จับกลุ่มพรีเมียมได้ชัดเจน
Punthai Coffee
จุดแข็ง
ราคาเข้าถึงง่าย
ทำเลในชุมชน ตลาดสด และหน้าห้าง ทำให้ใกล้ชิดผู้บริโภค
การเติบโตเร็วด้วยโมเดลแฟรนไชส์
สื่อสารแบรนด์ง่าย ไม่ซับซ้อน
จุดอ่อน
ยังไม่มีแบรนด์อิมเมจที่แข็งแรงเท่า Amazon
ขยายสาขาไม่ครอบคลุมเท่า Amazon
บรรยากาศร้านเรียบง่าย ไม่เหมาะกับการนั่งทำงานหรือพักผ่อนนานๆ
การเจาะตลาดต่างประเทศยังจำกัด
---
พฤติกรรมผู้บริโภคไทยกับการเลือกแบรนด์
1. ผู้บริโภคที่เดินทางบ่อย → เลือก Amazon เพราะเจอในปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ
2. ผู้บริโภคราคาประหยัด → เลือก Punthai เพราะถูกกว่า และใกล้ชุมชน
3. วัยรุ่น-นักศึกษา → ชอบ Punthai เพราะราคาไม่แพง และมีเมนูหวานๆ หลากหลาย
4. คนทำงานในเมือง → เลือก Amazon เพราะร้านนั่งสบาย ทำงานหรือประชุมได้
---
แนวโน้มในอนาคต
1. การปรับตัวสู่กาแฟพิเศษ (Specialty Coffee)
แม้ทั้งสองแบรนด์จะเป็น Mass Market แต่ตลาดกาแฟพิเศษในไทยกำลังเติบโต ผู้บริโภคบางกลุ่มเริ่มใส่ใจคุณภาพเมล็ดกาแฟ แหล่งปลูก และการชงที่พิถีพิถัน Amazon เริ่มมีเมนู “Premium” เช่นกาแฟดริป ขณะที่ Punthai ยังเน้นความเป็น Mass Market
2. การแข่งขันในต่างประเทศ
Amazon มีโอกาสมากกว่าเพราะมีทุนและเครือข่าย
Punthai ยังต้องสร้างจุดยืนและความแตกต่างให้ชัดเจนก่อนออกไปนอกประเทศ
3. การใช้เทคโนโลยี
การสั่งผ่านแอปฯ การสะสมแต้มดิจิทัล และการร่วมมือกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรีจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการ
---
การแข่งขันระหว่าง กาแฟอเมซอน และ กาแฟพันธุ์ไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจกาแฟในประเทศไทย ทั้งสองแบรนด์มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน
Amazon ชนะในแง่ เครือข่ายและการสร้างภาพลักษณ์ระดับประเทศ
Punthai ชนะในแง่ ราคาและการเข้าถึงผู้บริโภคในชุมชน
สุดท้ายแล้ว ตลาดกาแฟไทยยังใหญ่พอสำหรับทั้งสองราย แต่เส้นทางในอนาคตอาจแตกต่างกัน Amazon อาจกลายเป็น “เชนกาแฟสัญชาติไทยระดับโลก” ส่วน Punthai จะเป็น “กาแฟชุมชนที่เติบโตจากรากหญ้า”
---
#บทความนี้ไม่ใช่บทสรุปของทั้งสองบริษัท
โฆษณา