“ผีตากผ้าอ้อม…ความเชื่อยามโพล้เพล้ของคนไทย”

ว่ากันว่าคนไทยสมัยก่อนให้ความสำคัญกับ “ช่วงเวลา” ของแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วง โพล้เพล้ หรือเวลาประมาณบ่ายสี่ถึงหกโมงเย็น เพราะนี่คือเวลาที่ท้องฟ้าไม่สว่างแต่ก็ยังไม่มืด เป็นจังหวะที่เรียกว่า “ผีตากผ้าอ้อม”
คนเฒ่าคนแก่เล่าว่า ชื่อนี้มาจากภาพของแสงแดดยามเย็นที่ทอดผ่านกิ่งไม้เหมือนผ้าอ้อมสีทองผืนใหญ่กำลังถูกตากบนฟ้า แต่ในอีกแง่หนึ่ง ความเชื่อก็ผูกโยงกับ วิญญาณแม่ลูกอ่อน ที่เสียชีวิตไปก่อนเวลา เชื่อกันว่าเธอจะกลับมาที่บ้านหรือทุ่งนาในยามนี้เพื่อ “ตากผ้าอ้อม” ให้ลูกน้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วย
เพราะเป็นเวลาของ “โลกวิญญาณ” ที่เริ่มทับซ้อนกับโลกคน ชาวบ้านจึงเตือนกันว่า ห้ามนอนหลับ หรือ ออกไปเพ่นพ่าน ในเวลานี้ เพราะอาจถูกวิญญาณหลอก หรือเจอสิ่งที่ไม่ควรเจอ บางคนที่ฝืนกลับมักเล่าเหมือนกันว่า รู้สึกหนักอึ้ง ร่างกายขยับไม่ได้ ราวกับมีใครกดทับบนหน้าอก ซึ่งคนสมัยนี้อาจเรียกว่า “ผีอำ”
นอกจากความเชื่อเรื่องผี บางท้องถิ่นยังมองว่านี่เป็น ช่วงเปลี่ยนพลังงานของวัน เป็นเวลาที่สัตว์ออกหากิน แสงตาลาย มองเห็นไม่ชัด อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ผู้ใหญ่จึงใช้เรื่องเล่านี้เตือนเด็กให้กลับบ้านก่อนฟ้ามืด เป็นภูมิปัญญาที่แฝงด้วยความห่วงใยและวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต
ตำนาน “ผีตากผ้าอ้อม” อาจเป็นเพียงเรื่องเล่าของคนรุ่นก่อน แต่ทุกครั้งที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี และลมเย็นยามเย็นพัดผ่าน คุณอาจรู้สึกได้ถึงเงาของความเชื่อที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ…ราวกับเสียงกระซิบว่า “ถึงเวลาของผีตากผ้าอ้อมแล้ว”
“อย่าหลับ อย่าออกไปไหน…เพราะนี่คือเวลาของเขา”
โฆษณา