Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สารพันความรู้
•
ติดตาม
25 ส.ค. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
🐾 The Devil’s Footprints – คดีรอยเท้าปีศาจแห่งเดวอน (1855)
บทนำ
ในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ยังคงสร้างความงุนงงให้กับนักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และผู้สนใจเรื่องลี้ลับทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ The Devil’s Footprints หรือ “รอยเท้าปีศาจ” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8–9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1855 ที่มณฑลเดวอน (Devon) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ
เช้าวันหนึ่งหลังจากพายุหิมะรุนแรงพัดผ่าน ผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ หลายแห่งตื่นขึ้นมาพบกับสิ่งผิดปกติ รอยเท้าประหลาดลักษณะคล้ายกีบสัตว์ปรากฏเป็นแนวยาวต่อเนื่องกว่า 160 กิโลเมตร ผ่านทั้งทุ่งนา ป่าไม้ แม่น้ำ หลังคาบ้าน และแม้แต่กำแพงสูง ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตที่ทิ้งรอยเท้าไว้สามารถเดินไปได้ทุกที่อย่างไร้ข้อจำกัด
รอยเท้านี้ถูกเรียกว่า “รอยเท้าปีศาจ” เพราะในยุคนั้นผู้คนเชื่อว่ามีเพียงปีศาจจากนรกเท่านั้นที่สามารถเดินทางได้ในลักษณะแปลกประหลาดเช่นนี้
กว่า 150 ปีผ่านไป เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครไขได้ และถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “คดีรอยเท้าประหลาด” ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
1. ภูมิหลังและบรรยากาศของอังกฤษในศตวรรษที่ 19
เพื่อจะเข้าใจเหตุการณ์ The Devil’s Footprints เราต้องย้อนกลับไปดูบรรยากาศของอังกฤษในช่วง ศตวรรษที่ 19
อังกฤษอยู่ในยุค วิกตอเรีย (Victorian Era) ภายใต้การครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย
เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เริ่มเฟื่องฟู มีการค้นพบใหม่ ๆ ในด้านธรณีวิทยา ชีววิทยา และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นยุคที่ผู้คนยังมีความเชื่อใน ไสยศาสตร์ เรื่องเล่าเหนือธรรมชาติ และตำนานปีศาจ อย่างกว้างขวาง
ชนบทของอังกฤษ โดยเฉพาะแถบ Devon และ Cornwall เต็มไปด้วย ความเชื่อพื้นบ้านเกี่ยวกับปีศาจ ภูตผี และเวทมนตร์
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ “รอยเท้าลึกลับ” ผู้คนจึงตีความทันทีว่าเกี่ยวข้องกับ “ปีศาจ” มากกว่าจะมองในเชิงวิทยาศาสตร์
2. เหตุการณ์เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1855
คืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1855 มี พายุหิมะตกหนัก ปกคลุมพื้นที่ Devon จนขาวโพลนไปทั่วบริเวณ
เมื่อรุ่งเช้า ชาวบ้านในหลายหมู่บ้าน เช่น Exmouth, Topsham, Dawlish, Teignmouth, และ Totnes ตกตะลึงเมื่อพบ “รอยเท้าประหลาด” ที่ปรากฏบนหิมะ
ลักษณะของรอยเท้า:
มีรูปร่างคล้าย กีบสัตว์ (cloven hoof) ยาวประมาณ 10–12 เซนติเมตร กว้าง 6–8 เซนติเมตร
รอยเท้าวางเรียงเป็นเส้นตรง (single file) คล้ายกับสิ่งมีชีวิตเดินโดยวางเท้าซ้าย–ขวาทับรอยเดียวกัน
ระยะห่างของแต่ละก้าวประมาณ 20–40 เซนติเมตร
เส้นทางของรอยเท้า ต่อเนื่องยาวกว่า 160 กิโลเมตร
สิ่งที่แปลกที่สุดคือ รอยเท้าสามารถปรากฏบนหลังคา, ปีนกำแพง, ผ่านแม่น้ำ, และสิ่งกีดขวางโดยไม่หยุดชะงัก
ความรู้สึกของผู้คนในตอนนั้นคือความหวาดกลัว เชื่อว่าเป็น “ปีศาจ” หรือ “สัตว์จากนรก” ที่ขึ้นมาท่องไปบนผืนโลก
3. การบันทึกในเอกสารและหนังสือพิมพ์
ข่าวการพบรอยเท้าแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในพื้นที่ชนบท และถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ เช่น
หนังสือพิมพ์ The Times (ลอนดอน) รายงานว่า รอยเท้าปรากฏอย่างลึกลับและไม่สามารถอธิบายได้
Illustrated London News ลงภาพสเก็ตช์รอยเท้า ทำให้ข่าวแพร่ไปทั่วอังกฤษ
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและนักบวชบางคนได้เขียนบันทึกถึง “ความประหลาดใจและความหวาดกลัว” ของชาวบ้าน
มีบันทึกจดหมายของนายทหารเรือชื่อ Rev. H. T. Ellacombe ที่อธิบายถึงรายละเอียดของรอยเท้าอย่างเป็นระบบ
บันทึกเหล่านี้ทำให้ “The Devil’s Footprints” ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าปากต่อปาก แต่กลายเป็นเหตุการณ์ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จริง
4. ปฏิกิริยาของผู้คนในสมัยนั้น
ชาวบ้านชนบท
ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของปีศาจ (Devil)
หลายครอบครัวหวาดกลัวจนไม่กล้าออกจากบ้าน
มีการจัดพิธีทางศาสนาเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย
นักบวช
มองว่ารอยเท้าเป็นสัญลักษณ์ของการลงโทษหรือการเตือนจากพระเจ้า
ใช้โอกาสนี้เทศนาเรื่องความศรัทธาและบาป
นักวิทยาศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยา
เริ่มเสนอสมมติฐานว่าอาจเป็นรอยเท้าของสัตว์ เช่น จิงโจ้, แบดเจอร์, หรือหนูขนาดใหญ่
แต่ปัญหาคือเส้นทางยาวและลักษณะก้าวเดินไม่ตรงกับสัตว์ชนิดใด
สื่อมวลชน
ยิ่งทำให้เหตุการณ์โด่งดัง โดยใช้คำว่า “The Devil’s Footprints” ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเชื่อเรื่องปีศาจ
5. สมมติฐานที่พยายามอธิบาย
ตลอด 170 ปีที่ผ่านมา มีสมมติฐานมากมายพยายามอธิบายรอยเท้าลึกลับนี้
5.1 สัตว์ป่า
มีการเสนอว่าเป็น จิงโจ้ ที่หลุดจากคณะละครสัตว์
หรือเป็น แบดเจอร์ / อีเห็น ที่เคลื่อนไหวในหิมะ
แต่รอยเท้าที่ “ต่อเนื่องยาว” และ “ปรากฏบนหลังคา” ขัดแย้งกับสมมติฐานนี้
5.2 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
บางคนเชื่อว่าเป็นผลจาก การละลายของหิมะ ที่ก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายกีบ
หรือเป็นร่องรอยจาก การตกของก้อนน้ำแข็ง จากบรรยากาศ
แต่ก็ไม่สามารถอธิบายความต่อเนื่องหลายร้อยกิโลเมตรได้
5.3 บอลลูนอากาศร้อน
มีข้อเสนอว่าเป็น “อุปกรณ์ทางทหาร” เช่น บอลลูนที่ถูกลากไปตามลม โดยเชือกหรืออุปกรณ์ลากทิ้งรอยเป็นช่วง ๆ
แต่รอยที่ปรากฏ มีรูปร่างกีบชัดเจน ไม่เหมือนรอยลาก
5.4 ฝีมือมนุษย์ (การล้อเล่น / hoax)
มีผู้เสนอว่าชาวบ้านบางคนอาจสร้างขึ้นเพื่อความสนุกหรือความเชื่อ
แต่ขอบเขตของรอยเท้า กว้างเกินกว่าจะเป็นฝีมือคน
5.5 เหนือธรรมชาติ
แน่นอนว่ายังคงมีคนเชื่อว่าเป็นรอยเท้าของปีศาจจริง ๆ
โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 ที่ความเชื่อเรื่องปีศาจฝังแน่นในชุมชนชนบท
6. อิทธิพลทางวัฒนธรรม
เหตุการณ์ The Devil’s Footprints ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ท้องถิ่น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับงานวัฒนธรรมหลายแขนง เช่น
วรรณกรรม: นักเขียนสยองขวัญบางคนหยิบเหตุการณ์นี้ไปใช้เป็นแรงบันดาลใจ
สื่อโทรทัศน์และสารคดี: BBC และ History Channel เคยทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
ความเชื่อท้องถิ่น: จนถึงปัจจุบัน ชาว Devon ยังเล่าเรื่องนี้เป็นตำนานพื้นบ้าน
7. การเปรียบเทียบกับคดีรอยเท้าอื่น ๆ
เหตุการณ์นี้มักถูกเปรียบเทียบกับคดีรอยเท้าลึกลับอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น
Yeti footprints (หิมาลัย)
Bigfoot (อเมริกาเหนือ)
รอยเท้าผี / วิญญาณ ในยุโรป
แต่ The Devil’s Footprints โดดเด่นเพราะมี พื้นที่กว้างและมีบันทึกเอกสารชัดเจน
8. ทำไมเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา?
หลักฐานทางกายภาพ (รอยเท้าจริง) หายไปนานแล้ว เหลือเพียงเอกสารและคำบอกเล่า
ขอบเขตของรอยเท้ากว้างเกินกว่าที่จะเป็นการปลอมแปลงง่าย ๆ
ไม่มีสัตว์ชนิดใดในท้องถิ่นที่เข้ากับรอยเท้าได้สมบูรณ์
ความเชื่อทางศาสนาในยุคนั้นทำให้ตีความไปในเชิง “ปีศาจ” มากกว่าการวิทยาศาสตร์
9. มุมมองวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมักมองว่า:
อาจเป็น การผสมกันของรอยสัตว์หลายชนิด ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเส้นทางเดียว
การละลายของหิมะทำให้ร่องรอยดูคล้ายกีบ
ความทรงจำและการเล่าขานของผู้คนอาจ ทำให้เหตุการณ์ดูเกินจริง
แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์
10. บทสรุป
The Devil’s Footprints (1855) เป็นหนึ่งในคดีรอยเท้าประหลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก จุดเด่นคือ:
พื้นที่กว้างกว่า 160 กิโลเมตร
รูปร่างรอยเท้าคล้ายกีบสัตว์
ปรากฏบนสิ่งกีดขวางทุกชนิด
ไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า โลกของเรายังเต็มไปด้วยสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนถกเถียงและค้นหาคำตอบมาจนถึงศตวรรษที่ 21
ความรู้รอบตัว
เรื่องเล่า
ชีวิต
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย