เมื่อวาน เวลา 06:06 • ความคิดเห็น
คำถามน่าสนใจดีนะครับ งั้นผมจะวิเคราะห์ให้อ่านนะครับ ว่าการปฏิเสธ “ดราม่า” กับราคาที่ต้องจ่าย คือการสร้างสังคมที่ใจแข็งและเย็นชา การปิดตาไม่ทำให้โลกหยุดหมุน มันแค่ทำให้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และในวันที่เราล้ม เราจะพบว่าสังคมที่เย็นชาในวันนี้ คือสังคมที่เราเองก็เคยช่วยกันสร้างขึ้นมา
ในยุคที่ข่าวสารล้นหลาม การเลือก “ปิดหูปิดตา” ไม่อยากรับรู้เรื่องดราม่า ดูเหมือนจะเป็นหนทางที่ดีต่อสุขภาพจิต ใครๆ ก็อยากมีพื้นที่ปลอดภัยให้ใจได้พักหายใจ แต่สิ่งที่เรามักไม่ยอมรับคือ การหลีกหนีเหล่านี้มี “ราคาที่ต้องจ่าย” และบางครั้งราคานั้นหนักหนาสาหัสจนเราต้องทบทวนใหม่ว่า บางเรื่อง เราจำเป็นต้องรับรู้ และแม้แต่การแสดงความคิดเห็นก็เป็นการช่วยเหลือสังคมในแบบหนึ่ง
เมื่อเราไม่อยากรับรู้
ข้อดี สุขภาพจิตที่ดีขึ้น
1. ไม่ต้องรับพลังลบ
การไม่เสพดราม่าทำให้เราไม่ต้องเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล หรือความโกรธที่ปนมากับกระแสข่าวสาร
2. โฟกัสกับชีวิตตัวเองได้เต็มที่ เมื่อไม่ถูกดึงไปในกระแส เรามีเวลาและพลังใจสำหรับงาน ครอบครัว หรือสิ่งที่รัก
3. ไม่ตกเป็นเหยื่อกระแส
หลายครั้งกระแสข่าวเต็มไปด้วยข้อมูลบิดเบือน การอยู่ห่างทำให้เราไม่ต้องถูกชักจูงหรือตกหลุมพราง
ข้อเสีย ราคาที่สังคมและตัวเราเองต้องจ่าย
แต่สุขที่ได้มา มักต้องแลกด้วยสิ่งเหล่านี้
1. การเพิกเฉยกลายเป็น “การมีส่วนร่วมเงียบๆ”
เมื่อเราเลือกไม่สนใจต่อสิ่งที่ผิด เรากำลังบอกโดยไม่พูดว่า “ฉันยอมรับมัน”
เด็กที่ถูกทำร้ายในบ้าน
แรงงานที่ถูกกดขี่
ผู้ป่วยที่ถูกปฏิเสธสิทธิการรักษา
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้จบลงเพราะเราไม่อยากรับรู้ แต่กลับลุกลามเพราะไม่มีใครยื่นมือไปตรวจสอบหรือช่วยเหลือ
2. การช้าเกินไปเมื่อปัญหามาถึงตัวเอง บ่อยครั้งคนที่ไม่สนใจข่าวสารสังคม มัก “ตื่นรู้” ก็เมื่อปัญหานั้นมาเคาะประตูบ้านตัวเอง
ตอนที่น้ำมันแพงจนกระทบค่าครองชีพ
ตอนที่นโยบายใหม่ทำให้ธุรกิจล้ม
ตอนที่ญาติถูกหลอกลวงเพราะ Fake news
ตอนนั้นเอง เราจึงพบว่าความไม่รู้คือ “ต้นทุน” ที่แพงที่สุด
3. การสร้างสังคมที่ใจแข็งและเย็นชา การปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องราวที่หดหู่ อาจทำให้เราคิดว่าตัวเอง “ปกติ” แต่จริงๆแล้วมันค่อยๆกัดกร่อนความเป็นมนุษย์ที่ควรมีอยู่ในสังคม
เรารีบเปลี่ยนช่องเมื่อเห็นข่าวเด็กยากจนต้องเดิน 8 กิโลเมตรไปกลับโรงเรียนเพื่อนำข้าวกลางวันไปแบ่งให้ยายตาบอด
เราเลื่อนหน้าจอผ่านคลิปแมวพิการที่นอนรอความตายข้างถนนพร้อมลูกๆ โดยคิดว่า “อย่ารับพลังลบเลย”
เราหัวเราะกับมุกดราม่าออนไลน์ แต่ไม่เคยสนใจว่ามีใครที่กำลังทุกข์จริงๆอยู่เบื้องหลัง
จนวันหนึ่ง เมื่อเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเราเอง เช่น สูญเสียคนรักจากอุบัติเหตุเพราะความประมาทของระบบ หรือกลายเป็นเหยื่อความอยุติธรรม เราก็จะพบว่าสังคมที่เราอยู่ “เย็นชาเกินไป” และไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเพราะทุกคนก็เลือก “ปิดหูปิดตา” เหมือนกัน
4. ช่องว่างที่อำนาจใช้ประโยชน์ เมื่อประชาชนจำนวนมากเลือกปิดตา “เพื่อความสบายใจ” สิ่งที่ตามมาคือ
ข้อมูลถูกผูกขาดโดยไม่ถูกตรวจสอบ
ผู้มีอำนาจทำอะไรได้โดยไร้แรงต้าน
ความจริงถูกกลบด้วยกระแส และคนจำนวนมากก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองถูกปกครองด้วยภาพลวงตา
นี่คือเหตุผลที่การ “ไม่อยากรับรู้” อาจไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่มันคือการปล่อยให้ระบบที่ไม่ยุติธรรมเติบโตโดยไม่ถูกท้าทาย
สรุปนะครับ การรับรู้คือการช่วยเหลือ
เราไม่จำเป็นต้องเสพทุกข่าว ไม่ต้องโถมตัวเข้าไปในทุกกระแส แต่การเปิดใจรับรู้ “บางเรื่อง” คือสิ่งที่สังคมต้องการ
การแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดราม่าที่เกี่ยวกับความยุติธรรมหรือสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่แค่การ “ยุ่งเรื่องชาวบ้าน” แต่มันคือการส่งสัญญาณว่ามีคนเห็น และมีคนไม่ยอมให้ความผิดนั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา
การช่วยแชร์เรื่องราวเพื่อระดมทุน การโทรแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อเห็นการทำร้ายสัตว์ หรือแม้กระทั่งการพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจ ล้วนเป็นการช่วยเหลือที่ทำให้สังคมนี้ไม่กลายเป็นสังคมที่ไร้หัวใจครับ
โฆษณา