27 ส.ค. เวลา 07:33 • ความคิดเห็น
เป็นคำถามที่ดูเหมือนยาก
แต่จริงๆแล้วตอบง่ายมากครับ
ถ้าคุณ “ไม่เชื่อ” ชีวิตหลังความตาย ไม่เชื่อว่านรกหรือสวรรค์มีจริง คุณก็จะมองว่าตายแล้วสูญ หรืออย่างแย่ที่สุด ทุกพฤติกรรมที่ทำในชีวิตนี้ไม่มีผลอะไรกับสิ่งที่เรียกว่าภพหน้า เพราะในมุมมองนั้น โลกนี้คือทุกสิ่ง ไม่มีอะไรต่อจากนี้ ก็แค่นั้นครับ
แต่ถ้าคุณ “เชื่อ” คุณจะมีเครื่องยับยั้งไม่ให้ทำชั่ว คุณจะพยายามทำดีต่อผู้อื่นและตัวเอง แม้สุดท้ายแล้ว สมมติว่าชีวิตหลังความตายไม่มีจริง ก็ไม่ได้ทำให้คุณเสียอะไร ตรงกันข้าม คุณอาจได้ใช้ชีวิตที่ไม่เบียดเบียนใครและสงบมากกว่า แต่หากชีวิตหลังความตายมีจริงขึ้นมา การไม่เชื่อเลย อาจทำให้คุณต้องเผชิญสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า
ในมุมของคำสอนพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” และ “กายนี้เป็นผลของกรรมเก่า” หมายความว่า สิ่งที่เราเป็นและพบเจอในวันนี้ ล้วนเป็นผลต่อเนื่องจากการกระทำที่เคยทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นชาติปางก่อนหรือในชาตินี้ แล้วถ้าหากไม่มีภพหน้า กรรมเก่าที่สะสมมาจะไปตกอยู่ที่ไหน และผลของกรรมที่เราทำไว้จะไปปรากฏที่ใคร
ตรงนี้เองที่ทำให้เราเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่อาจเป็นเพียงนิทานปลอบใจคน เพราะพระองค์ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่การคาดเดา และสิ่งที่พระองค์พูดก็พิสูจน์ได้จากหลักกรรมและเหตุปัจจัยในชีวิตประจำวัน เราทุกคนล้วนเห็นผลของการกระทำในชาตินี้อยู่แล้ว และตรรกะเดียวกันนั้นย่อมขยายไปสู่ภพหน้าด้วย
ดังนั้น แท้จริงแล้ว ประเด็นสำคัญอาจไม่ใช่ว่าชีวิตหลังความตายมีหรือไม่มี แต่คือเรากำลังใช้ชีวิต “ทำกรรมแบบไหนอยู่” เพราะไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผลของกรรมก็ยังคงทำงานอยู่เสมอ และนั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ระวังและพิจารณาด้วยสติ ไม่ใช่แค่เพื่อภพหน้า แต่เพื่อให้ปัจจุบันนี้เองเป็นปัจจุบันที่ดี
สิ่งที่ฝากไว้อยากให้คุณศึกษาพิจารณาอย่างแยบยลโดยหลักโยนิโสมนสิการ ถึง ปฏิจจสมุปบาท
และอย่าลืมหลักกาลามสูตรนะครับ
โฆษณา