29 ส.ค. เวลา 02:42 • ความคิดเห็น
เราไม่เคยพูดถีงฆราวาสที่ดูแลเงินวัด หรือกรรมการวัด
เลย เท่าที่ผมเจอมาส่วนใหญ่คนเหล่านี้แหละที่รับเงินแทนพระด้วยเหตุผลที่ว่า ”พระสงฆ์ท่านจับเงินไม่ได้ ต้องให้ลูกศิษย์หรือกรรมการวัดรับแทน“ ผลคือลูกศิษย์วัดเอาเงินไปหมดตรวจสอบก็ไม่ได้ วัดใกล้บ้านผมคนขอเช่าที่วัดสร้างบ้านแล้วร่วมมือกับกรรมการวัดกับผู้ใหญ่บ้านเอาที่วัดไปออกโฉนดเป็นของตัวเองจนปัจจุบันนี้ยังทำอะไรไม่ได้
ที่จริงมหาเถรสมาคมได้วางกฎระเบียบการเงินการทำบัญชีวัดไว้แล้วแต่ไม่มีคนทำ
สมัยก่อนหลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านไม่จับเงินจับทองเลย ใครมาถวายท่านให้ลูกศิษย์รับไว้ แต่ท่านสร้างวัดก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก หลวงพ่อฤาษีท่านรู้ว่าหลวงปู่ไม่สนใจลาภยศเพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่จำเป็นต้องใช้เงินท่านเลยนำคณะลูกหลานไปถวายเงินจำนวนมาก แต่หลวงปู่ไม่รับ หลวงพ่อเลยแกล้งบอกว่าถ้าไม่รับเงินก็เอากลับหลวงปู่จึงจำเป็นต้องรับ (ท่านทั้งสองรู้จักกันดีจึงแกล้งกันได้)
หลวงพ่อให้เหตุผลว่าพระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีกิเลสทั้งปวงแล้วเงินกี่พันล้านก็ไม่สนใจ แต่รับเพื่อเจริญศรัทธาพุทธบริษัทที่มีจิตเป็นกุศล ทำให้จิตมีปีติแจ่มใส จำได้ว่าเคยทำบุญกับพระอริยเจ้า เวลาตายนึกขึ้นได้ย่อมไปสวรรค์ก่อน
ส่วนนักบวชหรือพระสงฆ์ทั้งหลาย จะรับเงินเองหรือให้ลูกศิษย์รับก็ตาม แต่จิตยึดว่าเงินเป็นของตนแม้เพียงสลึงเดียวต้องอาบัติทุกกฎทันที
ท่านสอนว่า ถ้าไม่มั่นใจในพระสงฆ์หรือนักบวชที่เราถวายว่าจิตบริสุทธิ์หรือไม่ให้ถวายปัจจัยเป็นสังฆทานโดยบอกผู้รับตรงๆ ว่าผม/ดิฉันถวายเป็นสังฆทานนะ ถ้าผู้รับเอาไปใช้ผิดจุดประสงค์หรือใช้ส่วนตัวก็รับกรรมไป ส่วนผู้ให้ได้บุญครบถ้วน
เพราะศาสนสถานมีวัดเป็นต้นย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลาจำเป็นต้องซ่อมแซมอยู่เสมอเงินจึงยังจำเป็นอยู่ และการทำบุญที่สะดวกในปัจจุบันที่คือการถวายเงิน เพราะง่าย เร็ว และวัดสามารถนำไปซื้อของที่ต้องใช้ได้เลย บางครั้งถวายเป็นสิ่งของแต่วัดไม่ได้ใช้ก็ต้องบริจาคให้ญาติโยมต่อ ถ้าถวายมามากก็จัดการยากเพราะจะหมดอายุก่อน
การทำบุญต้องประกอบด้วยศรัทธา+สติ+ปัญญาพิจารณาให้ดีก่อนค่อยทำ พุทธศาสนิกชนจึงควรหมั่นศึกษาปฎิบัติธรรมให้มีสติ+ปัญญา เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้จึงจะรู้ว่า ผู้ที่เราทำบุญด้วยเป็นเนื้อนาบุญจริงไหม หรือเป็นเพียงนักบวชอาศัยผ้าเหลืองหากิต
โฆษณา