29 ส.ค. เวลา 04:20 • ความคิดเห็น
สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้
ความรู้ขั้นพื้นฐานของพุทธมามกะ
ก่อนจะเข้าถึงหลักธรรมคำสอน ผมอยากบอกก่อนว่าการที่เราเกิดมา แล้วระบุในบัตรประชาชนว่านับถือศาสนาพุทธ แต่หลายคนยังไม่รู้เลยว่าความรู้พื้นฐานของพุทธศาสนาในการเป็นชาวพุทธหรือพุทธมามกะคืออะไร ผมอยากจะใช้ภาษาง่ายๆ เขียนแบบชาวบ้านเพื่อให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ค่อยๆเรียนรู้และเข้าใจหลักการปฏิบัติ ทั้งสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ หลายเรื่องเราไม่เคยคิด ไม่เคยถาม เราทำตามกันมาโดยไม่เคยถามถึงเหตุผล
เราเข้าวัดแต่ไม่เคยถามคำถามกับพระสงฆ์เลยแม้แต่น้อย และพระสงฆ์หลายรูปก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะท่านเองก็เอาแต่สวดมนต์ รับกิจนิมนต์ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ไปขึ้นบ้านใหม่ ไปงานศพ มีแต่กิจกรรมแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนเราทำตามกันต่อๆมาโดยไม่รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสิ่งที่เป็นกิจของสงฆ์ และสิ่งใดบ้างที่ประชาชนธรรมดาอย่างเราซึ่งเป็นชาวพุทธพึงปฏิบัติ
บทความนี้อาจจะยาวสักหน่อย ละเอียดสักหน่อย แต่ก็อยากให้ช่วยอ่านจนจบนะครับ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและลึกซึ้งมากขึ้น
อย่างแรก เมื่อเราเกิดมาและตัดสินใจนับถือศาสนาพุทธที่ถูกระบุไว้ในบัตรประชาชน สิ่งที่เราต้องรู้คือ พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ ท่านเดิมทีก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เป็นลูกชายกษัตริย์ ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นผลจากการสะสมอธิษฐานบารมีและการปฏิบัติที่สั่งสมมา จนเกิดความรู้ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากโลกนี้ เดิมทีท่านก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเราๆนี่แหละ ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความสุข มีนางสนมนับร้อย มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ใครๆก็อยากได้
แต่ด้วยบุญกุศลและความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ท่านกลับฉุกคิดว่านี่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ท่านตั้งคำถามเสมอว่าชีวิตเกิดมาทำไม และยิ่งได้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ความสงสารในใจต่อผู้คนที่ต้องทนทุกข์ก็ยิ่งมากขึ้นๆ เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายมาก ทุกคนคงพอรู้กันดีอยู่แล้ว
จากตรงนี้เองที่เราต้องเข้าใจว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแห่งเทพเทวนิยม แม้จะมีผู้คนที่เชื่อว่ามีผู้สร้างโลก แต่พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราไปบูชาเทพ ไม่ได้สอนให้ไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้ที่สุดในฐานะประชาชนธรรมดาก็คือ สุขหรือทุกข์ของเราไม่ได้เกิดจากใครบันดาล นอกจากตัวเราเองเท่านั้น เราเป็นผู้สร้างกรรมและเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ไม่ว่ากรรมนั้นจะดีหรือชั่วก็ตาม
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นรากฐานของความเป็นพุทธมามกะคือการรู้จักพระรัตนตรัย แก้วอันประเสริฐสามประการ ได้แก่ พระพุทธ หมายถึงพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ พระธรรม หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ หมายถึงอริยสาวก ไม่ใช่สมมติสงฆ์ที่อาจจะไม่ได้ดำเนินตามหลักวินัยที่แท้จริง
1
ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและเป็นแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เน้นไปที่พิธีกรรม แต่เน้นที่การปฏิบัติ เพื่อดับทุกข์ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนพิธีกรรมต่างๆ ที่เราเห็นทุกวันนี้ เช่น การบวงสรวง จุดธูปไหว้ หรือพิธีสะเดาะเคราะห์ ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกผสมเข้ามาภายหลังจากสองแหล่งใหญ่ คือ ความเชื่อพื้นบ้านและศาสนาผี เช่น การบูชาผีบรรพบุรุษหรือเจ้าที่ และศาสนาพราหมณ์–ฮินดู เช่น การบวงสรวงเทพ การเจิม หรือพิธีมงคลสมรสที่มีพราหมณ์ประกอบ
พุทธแท้ๆในยุคพุทธกาลนั้นเรียบง่าย พิธีกรรมมีเพียงการฟังธรรม ปฏิบัติภาวนา และการแสดงออกซึ่งศรัทธาผ่านการปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่การทุ่มทรัพย์หรือการทำตามรูปแบบที่ซับซ้อน คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกให้พระสงฆ์ไปก่อสร้าง ถางป่า หรือบุกเบิกสร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต เรื่องเหล่านี้เป็นศรัทธาที่ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง และเป็นหน้าที่ของญาติโยมผู้เป็นพุทธมามกะที่จะปฏิบัติเองตามสมควร พระสงฆ์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้เลย และสิ่งที่ต้องจำขึ้นใจคือ พระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเงินหรือธุรกรรมใดๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจน
เมื่อถามว่าถ้าพระไม่ยุ่งกับเงิน แล้วพระจะใช้สิ่งของจำเป็นได้อย่างไร คำตอบนั้นง่ายมาก ทุกสิ่งที่จำเป็นเรียกใช้ผ่าน “ไวยาวัจกร” ได้ทั้งหมด พระมีของใช้พื้นฐานเพียงไม่กี่อย่าง เช่น กรรไกรตัดเล็บ มีดโกน บาตร จีวร ยารักษาโรค เวลาป่วยก็ไปโรงพยาบาลได้ โทรศัพท์มือถือก็ใช้ได้ตามความจำเป็นเท่าที่สมณสารูปควรจะมี แต่สิ่งที่ผิดวิสัยของสมณะคือการเรียกร้องของฟุ่มเฟือย เช่น โน้ตบุ๊ก ไอแพด หรือโทรศัพท์ราคาแพง นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระควรครอบครอง
บางคนอาจสงสัยต่อไปว่า ถ้าไวยาวัจกรตายไป เงินวัดที่เขาดูแลอยู่จะตกอยู่ที่ใคร คำตอบก็คือ เงินของวัดก็คือเงินของวัด ต้องใช้เพื่อกิจการของวัดเท่านั้น เงินส่วนตัวของพระก็เป็นอีกส่วนที่แยกชัดเจน พระไม่มีสิทธิ์เรียกร้องหรือรับเงินด้วยตัวเอง เพราะท่านเว้นขาดจากการซื้อขายและการรับเงินทองทุกชนิด ปัจจัยที่ญาติโยมถวายต้องถวายเป็นสังฆทานหรือถวายผ่านไวยาวัจกร พระไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจัดการใดๆทั้งสิ้น
แล้วถ้าเกิดไวยาวัจกรโกงเงินวัดล่ะ? คำตอบง่าย ๆ คือ “โกงก็คือโกง” และเป็นบาปของตัวเขาเอง ความจริงแล้วก็มีวิธีป้องกันมากมาย เช่น การตั้งกรรมการวัดหรือระบบตรวจสอบหลายชั้นเพื่อให้โปร่งใส แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ พระต้องไม่มีบัญชีส่วนตัว เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาที่จะนำไปสู่ความเสื่อม
นี่แหละครับคือคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนที่เป็น “อกาลิโก” คือทันสมัยและใช้ได้ตลอดเวลา หากเราไม่ปฏิบัติตาม เราก็จะเป็นแค่ “ชาวพุทธในบัตรประชาชน” ที่ไม่มีคุณค่าจริง ๆ เพราะเราไม่ตั้งใจศึกษาธรรมะและไม่ลงมือปฏิบัติตามคำสอน
ในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์หรือสมณศักดิ์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า “ยศฐาอย่าเกี่ยวข้องกับเราเลย” พระที่แท้จริงจึงต้องไม่มียศ ไม่สะสมเกียรติยศ เพราะสมณะคือผู้สละ ไม่ใช่ผู้สะสม ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือยศฐาบรรดาศักดิ์
ยศฐาที่เราเห็นทุกวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่มาจากพระธรรมวินัย แต่มาจากระบบทางโลกที่ถูกนำมาผูกกับศาสนา เพื่อประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเชิดชูบุคคลบางกลุ่ม หรือสร้างระบบอำนาจในวงการสงฆ์ แต่แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าสอนให้พระเว้นขาดจากยศฐา เพราะยศฐาคือเครื่องผูกพัน ทำให้เกิดความยึดมั่นและแบ่งชนชั้น ซึ่งตรงข้ามกับหลักธรรมที่สอนให้ปล่อยวางและเสมอภาค
อีกสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธต้องรู้คือ วัดเป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ เป็นสถานที่สำหรับศึกษาธรรมะเหมือนอย่างในสมัยพุทธกาล ดังนั้นเมื่อเราเข้าวัด ถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็ควรถามพระ เพื่อให้ท่านอธิบายให้เข้าใจและนำธรรมะนั้นไปใช้เป็นแนวทางดำเนินชีวิต แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้การถามคำถามพระไม่ใช่เรื่องง่าย พระหลายรูปตอบไม่ได้ บางรูปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำสอนที่ถูกต้องอยู่ตรงไหน เพราะท่านเอาแต่สวดมนต์ภาษาบาลี รับกิจนิมนต์ไปเรื่อย ๆ นับแต่ซอง นับแต่เงิน จนลืมหน้าที่แท้จริงไป
1
การเข้าใจ “กิจของสงฆ์” ที่แท้จริงจึงสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราเข้าใจอย่างถูกต้องว่าอะไรคือหน้าที่ของพระ และอะไรคือสิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาภายหลัง เราจะได้มีท่าทีต่อศาสนาอย่างถูกต้อง ไม่หลงไปกับสิ่งที่ไม่ใช่แก่นธรรม
เมื่อพูดถึงภาพวัดใหญ่โต โอ่อ่า หรือพระที่ใช้ของหรูหรา เราต้องใช้ปัญญาคิดให้ดี พระที่แท้จริงควรดำรงสมณสารูป ไม่หมกมุ่นกับความฟุ้งเฟ้อ วัดที่แท้จริงก็ไม่ใช่วัดที่ใหญ่โตหรูหรา แต่เป็นวัดที่ใช้พื้นที่เพื่อการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง พุทธศาสนาไม่เคยวัดคุณค่าด้วยความฟุ่มเฟือย แต่ชี้วัดด้วยการปฏิบัติธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติพ้นทุกข์ได้จริง
อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าคือ “เสด็จพ่อ” ทางธรรมของเรา ถ้าเราเป็นลูกสาวกที่แท้จริง เราก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของท่านโดยไม่บิดเบือน ไม่ตัดบางข้อทิ้งหรือเพิ่มบางข้อเข้าไปตามอำเภอใจ หากพระพุทธเจ้าก้าวเท้าลงไปในโคลนเพื่อสอนเรา เราก็ควรก้าวตามโดยไม่ลังเล เพราะเรารู้แล้วด้วยโยนิโสมนสิการและการพิจารณาด้วยปัญญาตามหลักกาลามสูตร ว่าคำสอนของท่านคือสัจธรรมที่แท้จริง
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น “อกาลิโก” ใช้ได้ตลอดทุกยุคทุกสมัย ไม่มีวันล้าสมัย พระองค์คือผู้ประเสริฐสุด หนึ่งเดียวในมหาอนันตจักรวาล และเราผู้เป็นสาวกต้องเชื่อมั่นและเดินตามรอยท่านโดยไม่หวั่นไหว ไม่ฝืน ไม่ดื้อกับคำสอน ไม่ไปยึดพิธีกรรมหรือสิ่งที่ไม่มีเหตุผล เพียงเพราะเห็นคนอื่นทำ
1
เป็นชาวพุทธต้องกล้าตั้งคำถาม กล้าหาความจริง และอย่าหลงกับเรื่องอภินิหารหรือพิธีกรรมที่ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ไม่มีแก่นสาร เพราะสิ่งเหล่านั้นเปรียบเหมือนสิ่งสกปรกที่ทำให้จิตใจเรามัวหมอง ความเป็นพุทธแท้คือการรู้ การเข้าใจ และการปฏิบัติจริงเพื่อดับทุกข์ ไม่ใช่การหลงอยู่กับสิ่งที่ว่างเปล่าครับ
โฆษณา