30 ส.ค. เวลา 05:03 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] STAR LINE - Chance The Rapper >>> ดาวดวงเก่า

-Chance The Rapper ดาวแร็ปชิคาโกที่เคยโชดช่วงสุดขีดในช่วงปี 2016-2018 จากมิกซ์เทป Coloring Book ที่สร้างความฮิตระดับปรากฏการณ์ในฐานะศิลปินอิสระ นำมาซึ่งการเดินสายไปแจมเพลงศิลปินระดับ A-List ทัวร์คอนเสิร์ตไม่ขาดสาย และกวาดรางวัลมากมาย
-จนกระทั่งการมาของสตูดิโออัลบั้มชุดแรกในปี 2019 The Big Day ที่นิยามตัวเองว่า Wife Guy หรืออัลบั้มแต่งงานได้นำมาซึ่งความชิบหาย เปลี่ยนจากแร็ปเปอร์ตัวอย่างขวัญใจมหาชนสู่การเป็นแร็ปเปอร์ตัวอย่าง the biggest flop ที่ตกต่ำถึงขีดสุด กระแสตอบรับที่มีต่อ debut album ติดลบจนแฟนเพลงส่วนมากรับไม่ได้
-วีรกรรม reply ใน Twitter ยาวเหยียดตัวต่อตัวกับแฟนคลับที่บ่นว่า “Chance คนเก่าตั้งแต่มิกซ์เทป 10 Days หายไปไหน” ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ Chance ยุค Wife Guy ไปตามปกติ แต่ด้วยความที่ผลงานที่แล้วมากระแสตอบรับดีมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าภูมิต้านทานคำวิจารณ์ยังคงต่ำเสียจนตบะแตก การโต้เถียงกับชาวเน็ตคนนั้นเกือบทั้งวันนำมาซึ่งภาพลักษณ์ติดลบเข้าไปอีก ผิดจากไอ้หนุ่มแร็ปสายคริสเตียนที่น่าจะเก็บทรงกว่านี้
-ในช่วง 6 ปีที่หายไป Chance เผชิญกับมรสุมปัญหาชีวิต ราวกับว่าความรุ่งโรจน์ในสายอาชีพได้จบไปแล้ว ไล่ตั้งแต่กระแสความนิยมที่ตกฮวบจนต้องยกเลิกทัวร์ตอนเสิร์ต ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมีปัญหา เริ่มตั้งแต่ การมีปัญหากับ Pat Corcoran ผู้จัดการคนเก่าตั้งแต่ปี 2012 มีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องกันไปมา
-เหตุความแตกหักเกิดจาก Corcoran ไม่เห็นด้วยกับการปล่อยอัลบั้ม The Big Day ที่ขาดความรอบคอบนำมาซึ่งผลตอบรับที่น่าผิดหวัง และอดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมที่ขาดวินัยและไม่เป็นมืออาชีพของ Chance ซึ่งทางด้านตัวศิลปินก็สู้กลับด้วยข้อหาโดน Corcoran ใช้ชื่อเสียงตัวเองไปหาผลประโยชน์ไปทางมิชอบ คดีความ ณ ตอนนี้ยังคงหาข้อยุติไม่ได้
-ปัญหาส่วนตัวก็รวมไปถึงคดีฟ้องหย่ากับเมียเก่า (คนเดียวกับที่ตัวเองยอมถวายตัวเป็น Wife Guy จนเป็นอัลบั้ม The Big Day) ในช่วงปลายปี 2024 จบชีวิตคู่ 5 ปีอันแสนหอมหวาน ในช่วงที่ไม่มีอัลบั้มใหม่ Chance ก็ได้ป่าวประกาศโปรเจคต์ Star Line Gallery อยู่โดยตลอดตั้งแต่ปี 2022 แล้ว มีการปล่อยซิงเกิ้ลเรียกน้ำย่อยออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีเพลงไหนเกิดกระแสฮือฮาเทียบเท่ากับแต่ก่อน
-อาจจะเป็นเพราะความไม่มั่นใจและปัญหาส่วนตัวนี้เองทำให้เลื่อนการปล่อยอัลบั้มเรื่อยๆมา จนในที่สุดเราก็ได้ฟังอัลบั้มชุดสองภายใต้ชื่อสั้นๆว่า STAR LINE อย่างที่เห็น ถ้าสังเกตชุดซิงเกิ้ลเรียกน้ำย่อยก่อนหน้านั้น มีแค่ The Highs & The Lows เท่านั้นที่ถูกเลือกเอามารวมในอัลบั้มนี้ เท่ากับว่าเราจะเจอเพลงใหม่เอี่ยมอ่องในสัดส่วน 95% นับว่าใจกล้ามากพอที่จะวัดใจกับคนฟังโดยที่ไม่มีอะไรมาสปอยล์เกริ่นนำเลย
-สำหรับผลตอบรับด้านยอดขายสัปดาห์แรกก็ต้องยอมรับว่า ไม่เปรี้ยงปร้าง จากยอดหลักแสนสู่หลักหมื่นยูนิตซึ่งยังไม่ถึงครึ่งแสนเลยด้วยซ้ำ แต่ในแง่ของกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปอย่างน่าพึงพอใจ ไม่ซ้ำรอย The Big Day ซึ่งเป็นอัลบั้มที่มั่นใจในความเป็น Wife Guy เกินเหตุจนบดบังอุดมการณ์เดิมอย่างน่าสะอิดสะเอียน
-คราวนี้นาย Chance เลือกที่จะสำรวจตัวเองผ่านการออกเดินทางเปิดหูเปิดตาประเทศแม่ของคนดำทั้งกาน่าและจาไมก้า แตะบริบทปัญหาทางสังคม กลับมาสู่ตีมศาสนาที่ไม่ได้ซาบซึ้งในพระเจ้ามิติเดียว แต่ยังเป็นการตั้งคำถามถึงความเป็นที่พึ่งควรค่าแก่การไปสวดภาวนาทุกวันอาทิตย์อยู่หรือไม่ ?
-STAR LINE นอกจากจะมีแบ็คกราวน์ดปกอัลบั้มเป็นแสงเหนืองดงามชวนดึงดูดแล้ว ชื่อของอัลบั้มเป็นการคารวะ Marcus Garvey ที่ก่อตั้ง Black Star Line ธุรกิจเดินเรือในช่วงปี 1919-1922 ที่ทำเพื่อคนดำได้เพิ่มโอกาสทางการค้าและออกเดินทางกลับบ้านในถิ่นเมืองนอน ท่ามกลางธุรกิจเดินเรือที่เต็มไปด้วยคนขาว
การมาของ Black Star Line จึงเป็นความหวังของคนดำให้ได้ลืมตาอ้าปาก มีหนทางในการปลดแอกมากขึ้น ถึงแม้ว่าการดำเนินธุรกิจจะแสนสั้น เต็มไปด้วยอุปสรรคทางการเงินและโดนเพ่งเล็งจากรัฐบาล แต่ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของธงชาติประเทศกานาซึ่งที่มาของดาวสีดำได้แรงบันดาลใจจาก Black Star Line นั่นเอง
-STAR LINE อาจจะไม่ใช่การกลับมาที่ได้เป็นปรากฏการณ์แบบปุบปับ ซึ่งผมก็ไม่คาดหวังความกลับมาปังอยู่แล้ว สนใจแค่ว่าอดีตแร็ปเปอร์ที่ผมเคยโปรดปรานตั้งแต่สมัย Acid Rap และ Coloring Book เขาจะกลับมา bounce back ด้วยอัลบั้มที่เจ๋งซะแค่ไหน ซึ่ง STAR LINE จัดอยู่ในเกณฑ์คืนฟอร์มที่ดีและเริ่มเข้าที่เข้าทางอย่างที่แฟนเก่านั้นก็พอมีหวังในการฟื้นฟูเพื่อจะได้เห็น Chance ร่างทองจริงๆในอนาคตได้
-ครึ่งแรกทรงดีเลยครับ เต็มเปี่ยมด้วย energy สดใหม่ราวกับหนุ่มชิคาโก้คนนี้ขอโอกาสพี่ๆคนฟังอีกซักครั้ง Star Side Intro ที่ไม่ได้มีดีแค่การประกาศกร้าวว่าเขายังอยู่ดีด้วยประโยค Surprise, it's the boy who lived ไรห์มคล้องจองไหลลื่นต่อเนื่อง และการเลือกแซมเปิ้ลเพลง Life Will Be โดย Cleo Sol ที่เหมาะเหม็งแก่การเป็นพลังกอสเปลอุ้มชูให้เพลงมีมิติหึกเฮิมที่ไพเราะขึ้น
-Ride มาแบบเบิกบานและ catchy ด้วยทำนอง Chicago Rap สวยๆ speed rap ที่ครื้นเครงจากแร็ปกรุ๊ป Do Or Die เป็นการเชื้อเชิญให้คนฟังพร้อมสนุกไปกับการเดินทางต่อจากนี้ เชียรให้ตัดเป็นซิงเกิ้ล
-สองแทร็คแรกเริ่มต้นด้วยนิมิตรหมายที่ดีในการไม่พยายามใส่ความดราม่าไม่มูฟออนของตัวเองตั้งแต่ต้นม้วน แต่ก็ใช่ว่า ไม่มี self-struggle เพื่อระลึกถึงความผิดพลาดในอดีตเลย มันก็มีเพลงโหมด Conscious Rap ส่วนตัวที่ฟังแล้วก็สงสารอยู่ไม่น้อย
-เฉกเช่น Back To The Go เผยด้านอ่อนแอและเปราะบางของคนที่มาได้ไกลแต่ก็ตกฮวบจนคิดว่า อาชีพของตัวเองจะจบแล้ว ขอเวลาทำใจอยู่ในบ้านแม่ซักครู่ แล้วเดี๋ยวกลับไปเผชิญโลกต่อ นั่นก็ทำให้การเชื่อมต่อด้วย 1 ใน 11 ซิงเกิ้ลเก่าอย่าง The Highs & The Lows ค่อนข้าง make sense ต่อการเสริมอัลบั้มนี้ขึ้นมาทันที
The Highs & The Lows เป็นการสอนใจให้คนฟังเตรียมรับมือความขึ้นๆลงๆของชีวิต ต่อให้ Get High เพื่อลืมโลกแห่งความจริง แต่มันก็ชั่วครู่เท่านั้น ไม่ต่างจากชีวิตชื่อเสียงที่ Chance เจอบทเรียนอย่างแสนสาหัส ไม่คิดว่าจะฟังเพลงนี้อินกว่าตอนที่ฟังแบบแยกเมื่อ 2 ปีก่อนเลยครับ มันมากกว่าการ trade bar สนุกๆกับ Joey Bada$$ จริงๆ
-การใฝ่หาอนาคตอันแสนสงบซึ่งรวมถึงความตายในเพลง Link Me In The Future ที่ต่อให้ใครจะชอบเพลงนี้น้อยมากก็ตาม แต่ผมกลับชอบในความแปลกและความพยายามบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่างประหนึ่งกำลังจูนไปคลื่นอนาคตที่ยังขาดช่วงขาดตอน ถ้ามาทรงบัลลาดเอื้อนเอ่ยก็จะดูธรรมดาไปนิด
-ชีวิตสมรสที่ล้มเหลวจนต้องถอยห่างในเพลง Space & Time ที่ค่อนข้างล้มๆแล้งๆ พอๆกับการเป็นคนที่ยังไม่ดีพอในเพลง Pretty ต่อให้จะเป็นคนน่ารักในสายตาของแม่ ต่อให้เป็นคนคลีนชนิดที่ไม่แตะยาแล้ว ปรับปรุงตัวแล้วก็ยังคงโดดเดี่ยว ยังไม่เจอคนที่ใช่และไม่ได้รับการเติมเต็มเสียที ตอนที่ไอ้หนุ่ม Chance แร็ปตัดพ้อไปว่า Sometimes I think she was the love of my life / So, when I'm alone sometimes I think that I'm dead แล้วมีสตั๊นไปซักพัก เข้าใจความจ๋อยนี้เลยเพื่อนเอ๋ย
-การแตะบริบทปัญหาสังคมก็ต้องบอกว่าผ่าน PC ได้อย่างไม่บ้ง ความเป็นห่วงต่ออนาคตของชาติที่อาจจะจบชีวิตที่เรือนจำเนื่องจากกระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวจนไม่น่าจะมีคนแก่คนเฒ่ามากพอเป็นเสาหลักให้อีกต่อไปในเพลง No More Old Men ท่อนฮุกสุดอาลัยอาวรณ์ถ่ายทอดความรู้สึกอยากหลีกหนีโดย Jamila Woods ปัญหาคลาสสิคของคนดำที่มักจะไม่ได้รับความปลอดภัยไม่ว่าจะโทรหาตำรวจหรือโรงพยาบาลในเพลง The Negro Problem
-Drapetomania (โรคที่เชื่อว่าการที่ทาสผิวดำต้องการอิสระและหลบหนี คือความ “ผิดปกติ”) มาในสไตล์ Drill ที่ไม่ได้มาตามกระแสพร่ำเพรื่อ แต่ยังมีไรห์มสุดทะมัดทะแมง มาพร้อมกับ punchline “FUCK ICE” ที่นอกจากจะคล้องจอง Thug Life แล้ว ยังเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกรมศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองที่เลือกปฏิบัติกับคนดำมากเป็นพิเศษ ซึ่งความฉาวนี้ก็เป็นที่เลื่องลือจากการจับกุม 21 Savage เมื่อปี 2019
-Letters เป็นการส่งจดหมายเปิดผนึกด้วยท่วงท่าประนีประนอมและดุดันจริงจังไปถึงองค์กรคริสตจักรและโบสถ์ทั้งหลายให้ทำตัวเป็นที่พึ่งแก่ผู้ศรัทธาให้มากกว่านี้ อย่าลืมว่าสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์แห่งนี้มันเคยเกิดเหตุรุนแรงอะไรบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ตีพิมพ์ไบเบิ้ลเพื่อการค้ารัวๆ นำเงินบริจาคไปสร้างอาคารที่ไม่จำเป็น รวมถึงอมเงินเพื่อจ่ายปิดปากเรื่องฉาวๆที่ซุกไว้ใต้พรม แทนที่ทำตัวให้โปร่งใสและเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเหล่าสาธุชนมากกว่านี้
-Just A Drop เป็นอีกเพลงธีมศาสนาที่ซ้อนด้วยปัญหาทางสังคมหลายชั้น(มากๆ) ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรน้ำจนประชากรบางส่วนถึงขั้นบริโภคน้ำที่มีเชื้อโรคเจือปน ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาสงคราม ประเด็นเหล่านี้เมื่อมา blend รวมกันก็แลดูสิ้นหวัง แต่ตราบใดที่มีไบเบิ้ลหรือศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและดิ้นรนอย่างมีปากมีเสียงต่อไป บางทีเราอาจจะไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว ยิ่งได้ Jay Electronica แร็ปสลับตีมไปมาระหว่างคริสต์และอิสลาม อื้อหือ งงขึ้นทวีคูณ
-เพลงทวิภาค Speed ไม่ว่าจะเป็น Speed of Light และ Speed of Love ถือเป็นโมเมนต์ที่ค้นพบทางสว่างไม่มากก็น้อย โดยเพลงแรก Speed of Light มาแนวทาง epic gospel ฉายสัจธรรมที่ว่า มันมักจะมีคนที่เกลียดเรา ตราบใดที่เราเผลอ เขาก็ทำให้เราจมดินได้ ทั้งนี้ก็อย่าลดทอนคุณค่าเพื่อคนอื่นได้โดยง่าย
Frozen pizza, Kool-Aid, not soda
I still get tweets saying: "I miss when you was not sober"
Mac died September, I cried in October
Thesе things come too fast
I miss when it was a lot slower
Hеy, we grew up on tour
Speed of Love
-แต่สำหรับ Speed of Love ปิดอัลบั้มอย่างสงบเสงี่ยมราวกับเขียนจดหมายทบทวนตัวเองในเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น เวลาที่ผ่านไปเร็วเกินเสียจนเขารู้สึกว่าเวลาร่วมกับคนอื่นช่างน้อยเหลือเกิน Chance ได้ยกตัวอย่างความคิดถึงที่มีต่อ Mac Miller ที่เคยชวน Chance เป็นศิลปินเปิดให้ทัวร์คอนเสิร์ตของ Mac ด้วยความที่จากกันไวเกินไป เขาเลยอยากให้เวลาที่อยู่ด้วยกันช้าและคลีนกว่านี้
ทั้งนี้ Chance ก็ยกตัวอย่างบทกลอน Friends, Fans, and Artists Must Meet ของ Erykah Badu เมื่อปี 2003 ที่ได้สะท้อนถึงคนใน 3 ฐานะ เพื่อน-แฟนเพลง-ศิลปิน ที่ยากมากจะรักษาจุดร่วมด้วยกันได้ โดยเฉพาะคนเป็นศิลปินอย่าง Chance ที่ดูเหมือนว่าจะ relate กับบทกลอนนี้เป็นพิเศษตรงที่เขานั้นเคยมีชื่อเสียงในจุดพีคครั้งนึงจนนำพาความมั่งคั่งทางฐานะที่มากขึ้น การมีแฟนเพลงมากหน้าหลายตา แต่ก็ต้องสูญเสียเพื่อนจากการที่ตัวเองเขยิบฐานะจนต้องห่างเหินกับคนใกล้ตัว
Chance ก็เข้าสู่ช่วงขาลงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ชีวิตชื่อเสียงจากดีเยี่ยมกลับกลายเป็นคนดวงตกที่ไม่สามารถผลิตผลงานที่ดีสุดออกมาได้ ดังนั้นช่วงเวลาขาลงนี้เองคือบทพิสูจน์ในการถ่ายทอดผลงานศิลปะเพื่อให้คนฟังได้เข้าถึงและ appreciate กว่าเดิม เขาเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตนำพาไปสู่จุดไหน แต่การเริ่มต้นใหม่เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น
-อาจเป็นเพราะความขาลงที่ทำให้ผมลืม Chance ไปแล้ว ผมเลยแทบไม่คาดหวังการคัมแบ็คในครั้งนี้เลยครับ แต่ก็เป็นนิมิตรหมายที่ดีมากๆกับการกดฟังตั้งแต่วันแรกที่อัลบั้มนี้ปล่อยออกมา ซึ่งนั่นก็ได้นำพาสู่ความเบิกบานใจไม่มากก็น้อยจากอัลบั้มชุดนี้ กล้าพูดได้ว่า Chance คนดีคนเดิมกลับมาแล้วจริงๆ สังเกตได้ว่านี่คืองานเพลงที่บาลานซ์ Ego ได้อย่างระมัดระวังไม่ให้มันล้นเกิน นั่นจึงทำให้เราฟัง Chance ด้วยความรู้สึก humble และดูออกว่าเขามูฟออนได้เก่งขึ้น
-แต่ก็ใช่ว่า STAR LINE คืองานคราฟท์ที่สมบูรณ์แบบอย่างหมดจด มันก็มี flaws ที่อยากกดข้ามอยู่บ้าง โดยเฉพาะการเข้าสู่โหมด Pop-Rap ตรง section กลางของอัลบั้มที่ผมมองว่ามันคือส่วนที่ย้วยไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็น Space & Time (เพลงง้อเมียเก่านั่นแหละ) ซึ่งไม่ผิดที่จะพูดถึงเมียเก่าเป็นครั้งคราว แต่การใส่โหมดบัลลาด Afrobeat ค่อนข้างเลี่ยนนิดนึง Gun In Yo Purse ต่อให้ได้ Young Thug (แขกรับเชิญที่ดังสุดในอัลบั้ม) ดันเป็นความสนุกที่เข้าลูป Trap Rap สำเร็จรูป
-Tree ที่ต่อให้มันจะเป็นเพลง Bad Joke ที่ว่าด้วย “กัญชาเสรี” ที่ไม่มีอยู่จริง เมื่อนำเสนอด้วยท่วงทำนอง Reggae Cartoon Rap มันกลับเป็นเพลงที่มาช้าไป เพราะมันมีเพลงอย่าง Broccoli สร้างปรากฏการณ์เมื่อหลายปีก่อนแล้ว Burn Ya Block เปิดโหมดผับที่ท่อนฮุกแอบเชยไปนิดนึง
-อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ Chance ตกกระป๋องจนบารมีชื่อเสียงหดหายลงไปเยอะ แต่ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงาน passion ที่ยังไม่มอดไหม้ตามกระแสดราม่า มันก็ทำให้เราพอมีหวังอยู่ไม่น้อยว่า การขับเคลื่อนด้วยกระแส word of mouth มากกว่าการพึ่งพิงกระแส hype จากศิลปินระดับไอคอนหรือคนที่กำลังเป็นที่ยอดนิยมทั้งหลาย อาจทำให้เราได้เห็นพลังแห่งศิลปินที่ฉายแสงได้ไม่เกินจริง
หวังว่าการไถ่บาปรอบนี้จะได้ผล
Top Tracks : Star Side Intro, Ride, No More Old Men, Drapetomania, Back To The Go, The Highs & The Lows, Letters, Speed Of Light, Speed Of Love
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา