30 ส.ค. เวลา 23:02 • ประวัติศาสตร์

พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่าน ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ฉันได้รับแล้ว ข้อความในนั้นพูดถึงสิ่งละอันพรรค์ละน้อย แต่อ่านเพลินเต็มที เพราะได้รู้สิ่งที่ไม่รู้ขึ้นหลายอย่าง
พรม เปนอันเดียวกับ ผม รู้คำนี้พอใจหนัก ฉันเคยนึกงมมาแล้วว่า เหตุใดจึ่งเรียก พรม เอา พรหม มาคิดปรับเข้ากันไม่ได้ ที่แท้ไปได้กับผม คือว่าเปนของขน อันไม่เคยคิดไปถึง
เขี้ยว หมายถึงฟันทั้งหมดนั้นติดจะเลว สู้ที่เราหมายกันอยู่ไม่ได้ เราแยกไว้เปนสามอย่าง เขี้ยว หมายถึงฟันแหลม ฟัน หมายถึงฟันคมตัด กราม หมายถึงฟันบด ครบอย่างบริบูรณ์
ว่าย ในภาษาเรามีความหมายต่างกันกับ ลอย มากทีเดียว ว่าย เปนอาการทำให้เลื่อนไป ลอย จะเลื่อนหรือไม่เลื่อนก็ได้
แพ้ เปน ชะนะ นั้นแปลกมากทีเดียว
ประทัด เปนแน่ว่าจะต้องทำด้วยไม้ไผ่ก่อน แม้ในอายุฉันก็ได้เคยเห็นประทัดลม ทำบรรจุในหลอดไม้อ้อแทนห่อกระดาษ ท่านค้นได้คำมลายูว่า petas ถึงจะใหม่ก็ตรงกับคำไทยดีแล้ว เอาเปนแน่ได้ว่าไทยเอาคำมลายูมาใช้
สิ่งที่เรียกชื่อตามเสียงนั้นมีมากนัก มีทุกภาษา เปนสัตวมากกว่าอย่างอื่น ท่านเอาชื่อตุ๊กแกมาเรียงเปนกระบวนแห่ แต่ขาดชื่อที่ไม่ควร​ขาด คือ ตุ๊ดตู่ ได้ยินว่าชาวพายัพเขาเรียกอย่างนั้น คำกล่อมลูกของเราก็มีว่า อ้ายตุ๊ดตู่ อยู่ในรูกะบอกไม้
ฉันจะชวนท่านพิจารณาอีกทางหนึ่ง ชื่อนกซึ่งมีคำว่า กระ หรือ กะ นำ จะเปนหลงตัวสกดคำหน้ามาดอกกระมัง เมื่อศพแม่ฉันอยู่ที่บ้าน ถึงวันจันทร์ซึ่งเปนวันตาย ฉันมีเทศน์กัณฑ์หนึ่งเสมอไป ได้แส่นิมนต์พระที่ไม่เคยฟังท่านเทศน์มาให้เทศน์ ได้พบพระองค์หนึ่ง ท่านจะเปนชาวเมืองใดไม่ทราบ ท่านกล่าวคำที่มีตัวสกดออกเสียงตัวสกดด้วยทุกที จึ่งทำให้เกิดสงสัยขึ้นว่า เช่น นกกระจอก นกกระจิบ นกกระจาบ เหล่านี้ จะเปน นกจอก นกจิบ นกจาบ เท่านั้นกระมัง การหลงตัวสกดนี้เปนไปมาก
ท่านคงเคยพบคำที่คนใช้ว่า พยนต์ ตัว พ ที่นำหน้านั้นเปนตัวสกดของคำ ภาพ ซึ่งอยู่หน้าคำ ยนต์ ต่างหาก แต่ออกเสียงว่า ภ่าพะยนต์ จึ่งพาให้หลงไป นี่เปนส่วนเล็กน้อย ที่พลาดมากถึงใช้ในชื่อขุนนางก็มี เช่น ณรงค์ ตัว ณ นั้นเปนตัวสกดของคำ รณ ซึ่งมักใช้นำหน้าเปน รณรงค์ อยู่ต่างหาก อีกพวกชื่อต้นไม้ซึ่งมีอักษร มะ นำ จะหลงมาจากตัวสกดส้ม เช่น ส้มขาม ไม่ใช่ ส้มมะขาม ดอกกระมัง อักษร มะ จะหลงมาได้อย่างหนึ่งก็ หมาก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๓ เดือนนี้ พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้าเคยนึกฉงนถึงตุ๊ดตู่มานานว่าเป็นสัตว์ชะนิดไร ที่ตรัสว่าทรงได้ยินชาวพายัพเราเรียกตุ๊กแกว่าตุ๊ดตู่ กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้าหายฉงนใจ เพราะว่าโดยเสียงและความหมายที่ตุ๊ดตู่อยู่ในรูกะบอกไม้ก็เข้ากันได้กับตุ๊กแก ข้าพระพุทธเจ้าลองเก็บคำที่เป็นสองพยางค์ อย่างคำว่า ตุ๊ดตู่ ก็มีพวกที่เป็นเสียงทำนองเดียวกันอยู่หลายคำ เช่น อุดอู้ คุดคู้ กุดกู่ ครูดครู่ คำในตัวสกดแม่อื่นก็มีพยางค์หลังเป็น แม่ ก กา หรือ เกย เช่น หรูบรู่ วุบวู่ บุบบู้ รุกรุย ปุกปุย ขยุกขยุย โทนโท่ โดนโด่ โปนโป ร่องรอย
หยอกหยอย ตองตอย คำเหล่านี้แม้จะใช้ควบคู่แยกแปลตัวหลังมักไม่ได้ความ แต่ก็มีบางคำที่แยกใช้ได้เป็นภาษาทั้งสองคำ เช่น บุบบู้ และ โปนโป ร่องรอย เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไปจังหวัดอุบลปีกลายนี้ ไปได้ยินชาวอุบลใช้คำว่า อยู่ ในความว่า หยุด กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้าคิดเห็นว่า คำคู่ชนิดนี้ ที่แปลเอาความในคำหลังไม่ได้ ในบางคำอาจเป็นคำใช้อยู่ในภาษาอีกถิ่นหนึ่ง อย่างคำว่า หยุดอยู่ นี้เป็นตัวอย่าง ก็ผเอิญพบคำว่า หมี ในภาษาไทยใหญ่ แปลว่า ดำมืด ใกล้คำว่า ดำมิดหมี พบคำใน
ภาษากวางตุ้ง เหม่ แปลว่า หาง ที่สุด ปลาย ก็มาใกล้คำว่า หมิ่นเหม่ และ เหม่นเหม่ (ใช้ในประกาศสงกรานต์ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘) ใน มหาชาติคำหลวง มีคำว่า ทางนี้ปัดไปเน่ง ความใกล้ไปในความว่า แน่ ซึ่งมีคำคู่ว่า เน่งแน่ เมื่อได้เค้าดังนี้ กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้าคิดเลื่อนออกต่อไป ก็ได้ผลแปลก ๆ ออกไปอีก ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระบารมีปกเกล้า ฯ ​เป็นที่พึ่งในข้อคิดของข้าพระพุทธเจ้า ซึ่งจะกราบทูลต่อไป ด้วยอาจเป็นความคิดเห็นที่หมิ่นเหม่ก็ได้
ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจด้วยเกล้า ฯ ว่า คำเป็นสองพยางค์นี้ ในชั้นเดิมจะเป็นคำซ้ำเสียงเดียวกัน เช่น เสียงร้อง จีดจีด แต่การเปล่งเสียงซ้ำอย่างนี้จะไม่สะดวกในการออกเสียงเท่ากับออกเสียงว่า จีดจี เพราะอวัยวะที่ออกเสียงในปากกลับตัวไม่ทัน ถ้าพูดเร็ว ๆ เข้า เสียงตัวหลังก็ต้องแปรไป ในอาการที่จะผ่อนเสียงให้สะดวกเข้า ภาษา
คงจะถือเอาคำสองเสียงนี้ มาใช้หมายความถึงสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น จีด และ จี จิ ใช้เป็นชื่อเสียงสัตว์ในจำพวกจิ้งหรีดขนาดเล็กสองชะนิด ว่า ตัวจีดและตัวจี เมื่อเป็นเช่นนี้ คำเช่น หลีกลี้ ขุกคุ้ย โป่งโป และคำอื่น ๆ ก็น่าจะมีกำเนิดมาจากคำเดียวกันก่อน แล้วแปลงเสียงให้เพี้ยนไปนิดๆ เพื่อใช้แก่สิ่งที่อยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน
ถ้ายกเอาคำอย่าง ขุดตุ่ย ตุ๊กตุ่ย หลุดลุ่ย เป็นแนวเทียบ คำว่า ทุดถุย ก็ต้องเป็นคำเดียวกัน ถ้าแปลงเสียง ลุ่ย เป็นลอยได้ ถุย ก็เป็นถ่อยได้ เพราะ น้อย ในเสียงชาวปักษ์ใต้ยังเป็น นุ้ย ได้ เมื่อเอาคำว่า ลุย-ลอย ถุย-ถอย นุ้ย-น้อย ทั้งสามนี้ มาตั้งเป็นแนวเทียบ คำว่า จุ้ย-จ้อย ซึ่งใช้เป็นชื่อคนก็น่าจะเป็นคำเดียวกัน ข้าพระพุทธเจ้าได้ปรารภเรื่องนี้แก่ท่านผู้หนึ่ง ท่านผู้นั้นก็คิดว่า คำว่า นุด ที่ใช้เป็นชื่อคน และเขียนเป็น นุช ให้เข้ารูปบาลี ก็คงจะมาเข้าแนวเทียบ หลุด-ลุ่ย-ลอย เป็น นุด-นุ้ย-น้อย ได้ และ
คำว่า น้อง หนู ก็คงเป็นคำในพวกเดียวกัน เพราะ นุดหนู ก็มี ตุ๊ดตู่ เป็นแนวเทียบ น้องน้อย ก็มี ร่องรอย กองกอย เป็นแนวเทียบ ตลอดจนคำว่า นิดหน่อย นุด กับ นิด มีเสียงสระอยู่ในระดับเดียวกัน อย่าง จุกจิก กรุ่งกริ่ง ซุบซิบ นุ่มนิ่ม ฉะนั้น นุดนิด ก็
เข้าแนวกันได้ ข้าพระพุทธเจ้ายังคิดนึกต่อไป ถึงคำว่า ด้อย ต้อย กับ น้อย ก็เป็นคำมีเสียงพยัญชนะอยู่ในวรรคเดียวกัน , เป็นเสียงเกิดที่ฟันด้วยกัน น่าจะเป็นคำที่มาจากแหล่งเดียวกัน ตามที่กราบทูลมานี้ เป็นความคิดเลื่อนลอยของ​ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อนึกไปก็ย่อมเห็นไปเช่นนั้น ทั้งนี้แล้วแต่จะทรงพระเมตตาปรานี
ที่ทรงแนะให้ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาถึงคำที่มีคำว่า กระ หรือ กะ นำ พระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้รับใส่เกล้า ฯ พิจารณาเห็นว่า คำที่มี กระ หรือ กะ นำนั้น น่าจะมีเหตุที่มาเป็นหลายสถาน และเกิดเพราะหลงตัวสกดไปดั่งที่ตรัสไว้ ในจำพวกคำเรียกชื่อนกตามที่ข้าพระพุทธเจ้าจดไว้ได้ก็มี
นก – จิบ จาบ จอก ทุง ทา ยาง เรียน สา
ในจำพวกผัก มี
ผัก – จับ เฉด โฉม ชาย พังโหม และ สัง
ในจำพวกลูก มี
ลูก – เดือก ดุม สุน (ในภาษาไทยโท้และไทยขาว และญวน เรียกอาวุธที่ขว้างไปได้ไกลว่า ซุง หรือ สุง)
กระเบือ ก็น่าจะมาจาก ครกเบือ แต่บางท่านว่า เสียงกร่อนไปจาก เข้าเบือ
ในคำที่มี มะ นำ ที่ทรงสันนิษฐานว่า จะมาจาก หมาก นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อแน่ว่าคงเป็นเช่นนั้น เพราะในหนังสือเก่า ที่ใช้เรียกผลไม้ว่า หมาก เช่น หมากขาม ก็ยังมี ในภาษาจีนเรียกต้นไม้ว่า หมัก ในเสียงกวางตุ้งและในสำนวนชาวกวางตุ้งนั้นเอง ถ้าเรียกชื่อผลไม้ ก็มักเติมคำ หมัก ไว้ข้างหน้า เช่น ลูกสาลี่ ก็เรียกว่า หมักลี่ (ผลสาลี่เนื้อเป็นทราย กวางตุ้งเรียกว่า ซาลี้ ซา แปลว่า ทราย) ในภาษาไทยขาว ถ้าออกชื่อ
ลูกไม้ ก็เติมคำ หมาก ไว้ข้างหน้า แต่แปลกที่กินผลไม้ว่า กิน​หมาก ส่วนส้มมะขาม น่าจะมาจากส้มหมากขาม เพราะชื่อผลไม้อย่างอื่นที่ไม่ใช่ส้ม ก็ยังมีคำว่า มะ อยู่ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเดินทางไปภาคอีศาน คนใช้เก็บเม็ดมะกล่ำมาให้ข้าพระพุทธเจ้าดู บอกว่า แปลก ที่คนแถวนี้เรียกว่า หมากล่ำ ทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงเรื่องตัดตัวสกดผิด ที่หลง ก ในคำว่า หมาก แล้วเอาเข้าไปต่อเข้ากับ ล่ำ กลายเป็น กล่ำ ไป
ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ผลไม้ทีมีคำ มะ นำหน้าจะเป็นผลไม้ที่มีมาแต่เดิม คำ มะ จึงได้ติดมาด้วยเป็นชื่อผลไม้ ภายหลังน่าจะเลิกใช้หรือลืมคำแปลเดิมเสียแล้ว เพราะนำเอาคำว่า หมาก ไปใช้เรียกผลไม้ชะนิดหนึ่งที่คู่กับพลูโดยฉะเพาะ จะ
นำไปใช้เรียกผลไม้อื่นก็ขัดข้อง เมื่อได้ผลไม้ชะนิดอื่น ๆ เข้ามาใหม่ ก็เลิกใช้ มะ นำหน้า เช่น ผลเงาะ ชมพู่ ทุเรียน ละมุด แต่ในถิ่นพายัพซึ่งยังคงใช้ มะ เป็นชื่อผลไม้อยู่ ก็ยังเติมคำว่า บ่า ไว้หน้าชื่อผลไม้ชะนิดนี้อยู่ เช่นผลเงาะ ว่า บ่าเงาะ ชมพู่ ว่า บ่จมปู ทุเรียน ว่า ถั่วเลียน และ ละมุด ว่า บ่ามุด
ในเรื่องคำที่เติม กระ หรือ กะ ข้างหน้า นอกจากตัดตัวสกดในแม่กก ผิด ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้า ว่าฯ น่าจะมาอีกทางหนึ่ง คือ คำเช่น โตกตาก ถ้าออกเสียงว่า โตกะตาก เสียงจะคอนกัน ไม่สะดวกในการออกเสียง จึงต้องเติมกะ เข้าข้างหน้าอีกเสียงหนึ่งให้ถ่วงเท่ากัน เป็น กะโตก กะตาก ขึ้น เป็นทำนองเดียวกับ สะกิด สะเกา ขะโมยขะโจร ตะหมูกตะปาก ทะแกล้วทหาร ซึ่งเติมในคำหลัง ข้าพระพุทธเจ้าเคยได้ฟังคำท่องคำว่า พระสูตร พระวินัย เป็น พระวิสูตร พระวินัย โดยประสงค์ที่จะถ่วง
เสียงที่เปล่งออกมาให้เท่ากัน เพื่อความสะดวกในการออกเสียงและให้ฟังเพราะ ไม่ขัดหู เมื่อมีการเติม กะ ขึ้นได้ในคำที่เป็นแม่ กก ก็เกิดเป็นโรคติดต่อมาถึงคำในแม่อื่น เช่น กะตุ้งกะติ้ง กะดำกะด่าง ซึ่ง​เกิดเพราะเข้าใจผิดในแนวเทียบ เช่น เขียน จำนง ชีวิต นิมิต อนุญาต สันโดษ เป็น จำนงค์ ชีวิตร์ นิมิตร์ อนุญาติ สันโดด โดยอาศัย อนงค์ จิตร์ มิตร ญาติ และ โดด เป็นแนวเทียบ หรือเขียน บิณฑบาต เป็น บิณฑบาตร์ โดยอาศัยแนวเทียบผิด เพราะสำคัญว่าเกี่ยวข้องกับบาตร์
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ได้รับแล้ว สนุกดี เต่เลเพลาดพาดหนัก จนไม่รู้ที่จะจับอะไรเปนข้อตอบแก่ท่านได้
อันคำพูดนั้นย่อมเปนไปไม่มีประมาณ เห็นจะเหลือล้นพ้นกำลังที่จะวินิจฉัยไปหมดได้ จะต้องคิดตัดสินเปนคำ ๆ ไปเท่าที่คิดได้ บัดนี้จะพูดเลเพลาดพาดไปเหมือนท่านบ้าง
พวกคำคู่ อุดอู้ คุดคู้ นั้นดูดีที่เปนคำใช้เอาความได้ทั้งสองคำ เอามาหนุนกันเข้าให้ความแรงขึ้น ดูเปนว่าได้คิดปรับ
ถัดไปก็มีพวกคำพูดพุ่งว่า กวาดกว้อย ชานอ้อยชานแอ้ย นี่เหลวทีเดียว คำพูดชะนิดนี้แล้วแต่มันจะหลุดออกมา ไม่ได้คิดปรับ
พวกคำคู่ที่เติมอักษรมากขึ้น เช่น ขะโมยขะโจร ตะหมูกตะปาก นั้นชอบกล เอาคำที่ใกล้กันเข้าควบกัน แล้วซ้ำเติมอักษรเข้าให้เท่ากันด้วย แต่ กะโตกกะตาก เปนคำเอาอย่างเสียงไก่ร้องเมื่อมันไข่มาใช้ ไม่ได้ตกแต่งอะไร นับไม่ได้ว่าอยู่ในพวกนี้ เว้นแต่จะเปนตัวอย่างนำไปเท่านั้น
คำคู่ที่เราไม่เข้าใจแล้วมาเข้าใจขึ้นทีหลัง เปนด้วยต่างภาษานั้นถูกทีเดียว เช่น ตากแตดตากนาย แต่แรกก็ไม่เข้าใจคำท้าย จนพระพรหมมุนีท่านบอกให้ว่า นาย นั้น ชาวอุบลเขาว่า น้ำค้าง จึงเข้าใจความ เหมือนท่านรู้คำ หมี และ เหม่ มาก็ทำให้เข้าใจความได้ขึ้น ดำมิดหมี ดำปิ๊ดปี๋ ดำปี๋ ดำบื้อ เห็นจะเปนคำเดียวกันนั้นเอง ตัว ม เลื่อนเปน ป ถ้าแดงก็เปน แดงแจ๊ด แดงแจ๋ เห็นจะมาแต่ จ้า
​คำ อยู่ ซึ่งท่านได้ยินมาจากอุบล เขาใช้ในที่ว่า หยุด จะเหมือนกันกับ อยู่มือ อยู่ในถ้อยคำ ซึ่งเราใช้กันกระมัง อันภาษานั้นชอบกลมาก พระยาศรีธรรมราชบอกว่า ชาวปักษ์ใต้เขาเรียกงัวร้องว่างัวขัน ฉันก็เห็นไม่ขัดข้อง ไก่ขันนกเขาขันได้ ทำไมงัวจะขันบ้างไม่ได้ ฉันไปเที่ยวเมืองภูเกตได้ยินเขาเล่าเรื่องพระยามนตรีสุริยวงษ์ (ชื่น)
เมื่อออกไปเปนข้าหลวงกันฮาๆ แต่ล้วนเปนเรื่องเข้าใจผิดในภาษาทั้งนั้น เช่น เรื่องหนึ่งพระยามนตรีจะแกงไก่ สั่งนายศรีแก้วซึ่งกรมการเขาส่งมาให้ประจำรับใช้ว่าศรีแก้วไปหามะพร้าวมาใบไป๊ ผม นายศรีแก้วรับ แล้ววิ่งหายไปครูหนึ่ง ไปลากเอาทางมะพร้าวมาให้พระยามนตรี นี่เปนโทษที่พูดว่าใบ จึ่งได้ใบมะพร้าว ภาษาเขาใช้ว่าหน่วยจึ่งจะได้ลูก
เน่ง มีใช้ในโคลงฉันท์อยู่มาก ครูบอกว่านิ่ง ฉันก็เห็นถูก เอา อิ เป็น เอ ง่าย ๆ เท่านั้นเอง
น้อย จ้อย นุ้ย (จุ้ย ?) นิด จิ๊ด หีด อี๊ด เอียด หมายความว่าเล็กทั้งนั้น แต่ที่จริงคำว่าน้อยนั้น เฉียดเลื่อนมาแล้ว ใหญ่ คู่กับ เล็ก น้อย คู่กับ มาก น้อยเปนเล็ก มากก็เปนใหญ่
คำเหล่านี้ลางคำยังขยายออกไปอีกเช่น กะจ้อยร่อย กะจีริด กระจิ เปนคำมลายูว่าเล็กเหมือนกัน ริด มาแต่ไหนก็ไม่ทราบ เข้าใจว่าคำนี้เองพาให้เกิดคำ กะจ้อยร่อย ขึ้น
ด้อย ต้อย ไม่ขัดข้องเลยที่จะเปน น้อย คำว่า ใด ไหน ไร นี้ ก็เปนคำเดียวกัน หากเสียงไหนพูดไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนไปเท่านั้น เช่นจีนพูดว่า เดือนหงาย ไม่ได้ ก็ต้องพูดว่า เลือนหงาย แม้ในภาษาจีนเองพูดได้ทั้งสองอย่างก็พูดสับสนกัน เช่น ไหหนำ ไหหลำ หรือ นิ้ม (บ่าไม้) พูดว่าลิ้ม ก็มี ก็เหมือนกับคำ ใด ไหน ไร ของเรานี่เอง
เรื่องไม้เอกโท สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณท่านทรงพระดำริว่าเปนเครื่องทำให้ลำบากขึ้น ด้วยเสด็จไปปักษ์ใต้มีใครต่อใครมาเฝ้า ทรงสังเกต​เขาพูดเพี้ยนเปนเสียงอื่นไปทั้งนั้น แต่เมื่อเขาเขียนหนังสือมาถวายก็ถูกหมด ทรงสงสัยครัสถามเขาว่า เขาสังเกตอะไรจึ่งเขียนหนังสือถูก เขาทูลว่าจำเท่านั้นเอง ว่าคำไรชาวบางกอกเคยใช้ไม้อะไร จึงเข้าพระทัยได้ว่า ไม้เอกโทนั้นเปนของใช้สำหรับบางกอกเท่านั้นเอง แคบ
ที่สุด ไม่เปนประโยชน์ไปทั่วพระราชอาณาเขตต์ ฉันมาคิดดูก็เห็นมีคำซึ่งแม้ชาวบางกอกเองก็โกยเอามาใช้ซ้ำกันมากมาย เช่น น้อย หน่อย น่อย นี้ นี่ นั้น นั่น โน้น โน่น ฯลฯ ที่จริงมันเปน accent เท่านั้นเอง แต่จะไม่ใช้ก็ไม่ได้ ทำให้เกิดเข้าใจผิด เช่น นิทานเล่ากันถึงพวกเงี้ยวเขียน ทีนี มีนำ ตั้งใจจะบอกว่า ที่นี่มีน้ำ แต่คนอ่านตีความไปเสียว่า ที่นี่หมีหนำ เลยวิ่งหนีไปเสีย แม้ระหายน้ำก็ไม่ได้กินน้ำ
เครื่องหมายของเราแต่ก่อนใช้น้อย ทีหลังก็ถ้วนถี่ ใช้มากขึ้นทุกที เช่น ไม้ไต่คู้เปนต้น แต่ก่อนก็ไม่สู้ได้ใช้ เดี๋ยวนี้ใช้จนขาดไม่ได้ ติกันว่าเขียนผิด แต่ก็เปล่า ๆ คำอันต้องที่ใช้ เช่น เงิน ก็ไม่เห็นมีใครใช้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านอึดอัดใจ ตั้งปัญหาถามฉันว่าคำใคควรใช้ไม้ไต้คู้และไม่ควรใช้ ฉันพยากรณ์ถวายท่านว่า คำใดซึ่งใช้ทั้งสั้นยาวมีความหมายต่างกัน เช่น เอ็น เอน นั้นจำต้องใช้ไม้ไต่คู้ ถ้าไม่ใช่คำเช่นนั้น เช่น เห็น เปนต้น ไม่จำต้องใช้ไม่ไต่คู้ เพราะคำ เหน ไม่มีที่ใช้ ท่านเห็นชอบด้วย
พูดถึงไม้ไต่คู้ ก็นึกขึ้นมาได้ ที่เราใช้วิสัญชนีเปนสระอะนั้นไม่ถูกอย่างยิ่ง เขมรเขาใช้ไม้ไต่คู้เช่น ระเบียบ เขียน ร็เบียบ ดูก็เข้าทีอยู่ เห็นจะเปนคิดขึ้นใหม่
ขอบใจท่านที่บอกคำ หมาก ให้ทราบว่าแท้จริงความหมายว่าอะไร แต่ก่อนเข้าใจเลื่อนเตมที ฉันเห็นด้วยท่านเปนมั่นคงแล้ว ว่าลูกไม้ซึ่งมีคำ มะ นำนั้นมาแต่ หมาก เที่ยงแท้
ต่อไปนี้จะแจ้งรายงานให้ท่านทราบ เมื่อวันที่ ๓ พระเจนจีนอักษรมาหา ได้ถามถึงปะทัด ก็ได้ความสมกับที่ท่านบอก ว่าคำเก่าเรียก ผักเต้ก ​หรือ ผ่าวเต้ก เต้ก ว่าไม้ไผ่ ทำด้วยไม้ไผ่ ผัด หรือ ผ่าว มาแต่เสียงแตกทีหลังถ่ายทอดมาเปนปืนใหญ่ จีนก็เรียก
ปืนใหญ่ว่าผ่าว ได้ถามว่าปะทัดนั้นควรจุดในกาลใด ได้คำตอบว่ามีหนังสือแต่งไว้ ว่าขึ้นปีใหม่แล้วให้ปิดกระดาษใหม่ที่หน้าเรือนและให้จุดปะทัด ถามว่าจุดเพื่ออะไร ได้คำตอบว่าเพื่อไล่ผี อันนี้ก็มาเข้าเรื่องพิธีตรุสของเรา ชอบกลหนักหนา และได้ถามว่าการศพใช้ปะทัดหรือเปล่า ได้ตอบว่าไม่ใช้เลย
นึกคำ ชะนะ เปน แพ้ ได้คำหนึ่ง คือ อปราชัย คนโดยมากเข้าใจว่าแพ้ แต่ที่แท้ชนะ คำนี้เห็นเหตุได้ว่าคำ ปราชัย นำไปให้เข้าใจผิด
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๑๒ เดือนนี้ พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
เรื่องคำคู่ ที่ทรงสันนิษฐานว่า คำคู่ชนิด อุดอู้ น่าเป็นว่าได้คิดปรับ ส่วนคำคู่ชนิด กวาดกว้อย จะเป็นคำที่หลุดออกมาไม่ได้คิดปรับ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยในกระแสพระดำริ ในชั้นเดิมคำคู่เหล่านี้ จะเป็นคำที่หลุดออกมา ตามความถนัดของอวัยวะที่ออกเสียงในปากจะเคลื่อนไปได้สะดวกที่สุด เข้าในหลักของฝรั่ง ที่ว่า ตามแนวที่มีต้านทานน้อยที่สุด (follow the line of least resistance) ดีกว่าฝืนออกเสียงซ้ำ
เพราะฉะนั้น คำคู่ในภาษาไทยจึงมีหลายรูป แล้วคำคู่เหล่านี้ ต่างถิ่นก็เลือกเอาไปใช้แต่ตัวใดตัวหนึ่ง ให้เป็นคำในภาษาขึ้น คำคู่จึงมีที่ใช้ได้ในภาษาทั้งสองคำก็มี เช่น อุดอู้ ใช้ได้แต่คำเดียวก็มี เช่น หมิ่นเหม่ แต่ในอีกภาษาใช้กลับนำเอาคำที่ไม่เป็นภาษานี้ไปใช้ในภาษาของตนก็มี บางคำเมื่อแยกออกแล้วก็ใช้เป็นคำในภาษาไม่ได้ก็มี เช่น แปดแป๋ (ซึ่งน่าจะเป็นคำเดียวกับ แบนแบ) แต่คำที่ว่าแปลไม่ได้หรือเป็นคำที่ไม่มีที่ใช้ในภาษาอย่างในพวกหลังนี้ อาจไปมีใช้อยู่ในภาษาถิ่นอื่นก็ได้
ข้าพระพุทธเจ้าลองนึกถึงวิธีออกเสียงคำคู่ ก็ปรากฏว่ามีหลายวิธี คือ
(๑) แปลงเสียงตัวหลังเป็น แม่ ก กา หรือ เกย โดยคงเสียงสระและพยัญชนะไว้ เช่น อุดอู้
(๒) แปลงเสียงสระตัวหลัง ให้เป็นสระที่อยู่ใกล้กัน เช่น เงินแงน หรือ เงินงิน หรือ เงินงัน
​(๓) แปลงเสียงพยัญชนะตัวหลังซึ่งเป็นตัวสกด ให้เป็นเสียงพยัญชนะนาสิกในวรรคเดียวกัน เช่น แจกแจง ดาดดาน รวบรวม
(๔) แปลงเสียงเหมือนในพวก ๓ แต่ใช้พยัญชนะนาสิกผิดวรรค เช่น ยอกย้อน เปิดเปิง ขับขัน
(๕) แปลงเสียงสระตัวหลังให้ยาว เช่น ทนทาน ลนลาน บางทีก็แปลงเสียงพยัญชนะซึ่งเป็นตัวสกดด้วย เช่น กั้นกาง ฟันฟาง ดักดาน
(๖) แปลงเสียงสระตัวหลังให้เป็นสระอา ซึ่งเป็นสระตัวตั้ง เช่น งุ่มง่าม ซุ่มซ่าม
(๗) แปลงเสียงสระในคำต้น ซึ่งเป็นสระหลัง คือ ออ โอ อู ให้เป็นสระหน้า อยู่ในระดับเดียวกัน คือ แอ เอ อู เช่น อ้อแอ้ โอ้เอ้ อู้อี้ ก้าวก่าย มัวเมา
(๘) หาคำที่มีความเดียว เช่น ใหญ่โต หรือเป็นคำอยู่ในพวกเดียวกัน เช่น เสื้อแสง (ซึ่งน่าจะ เป็นคำเดียวกับ เซี้ยง ในภาษาจีน แปลว่า กางเกง และมักใช้เข้าคู่กับ อี่ แปลว่า เสื้อ เป็น อี่เซี้ยง แปลว่า เสื้อผ้า หรือ เสื้อกางเกง และคงจะเป็นคำเดียวกับ ส่ง หรือ ซง ที่แปลว่ากางเกงในภาษาไทยภาคอีศาน) หรือใช้คำอื่นเข้าแซกกลาง
เช่น กินน้ำกินท่า ข้ามน้ำข้ามท่า (ท่า ในภาษาไทย โดยมากแปลว่า แม่น้ำ ท่าสบ ในภาษาไทยที่แปลว่า ปากน้ำ หรือที่น้ำมารวมกัน ก็น่าจะเป็นคำเดียวกัน) บางทีซ้อนสองคู่ ซึ่งน่าจะเป็นความเดียวกัน เช่น เกี่ยวดองหนองยุ่ง กินอยู่พูวาย เก็บหอมรอมริบ
ข้าพระพุทธเจ้านึกหารูปคำคู่ได้เท่าที่กราบทูลมานี้ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คำเหล่านี้เมื่อครั้งยังไม่มีหนังสือกำหนดเสียงในคำให้ตายตัว ต่างถิ่นก็คงออกเสียงเพี้ยนไปต่าง ๆ แต่การเพี้ยนนั้น คงไม่ออกจากเขตต์ของเสียงที่มีฐานกรณ์อยู่ใกล้กัน ครั้นเมื่อมาพบปะกันอาจฟังไม่ชัด เพราะต่าง​ถิ่น ก็เลยพูดเสียทั้งสองคำ เพื่อตัดปัญหาในความหมาย ข้าพระพุทธเจ้าได้พิจารณาดูคำในภาษาจีน แม้เป็นชาวเดียวกันพูดเสียงก็
เพี้ยนไปได้ต่าง ๆ แล้วแต่เป็นชาวตำบลไหน เพราะหนังสือจีนไม่มีพยัญชนะและสระประกอบคำให้เสียงอยู่ที่ เช่น เงิน ในภาษาชาวกวางตุ้ง พูดว่า หงั่น แหง่น เหง่น เหงิ่น ก็ได้ ในภาษาชาวแต้จิ๋วเป็น งึ้น ทางหลวงพระบางและเหนือๆ ขึ้นไปเป็น งึน เพราะฉะนั้นคำว่า เงินแงน เงินงัน ต่างถิ่นต่างภาษาอาจเลือกเอาไปใช้ก็ได้ ดูเหมือนในหนังสือ อนันตวิภาค ให้ศัพท์งัน หรือ แงน ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ถนัดว่าแปลว่ เงิน
คำ ปิ๊ดปี๋ และ แดงแจ๊ด แดงแจ๋ ทรงเห็นว่าจะเป็นคำเดียวกับ ดำมิดหมี และ แดงจ้า ข้าพระพุทธเจ้าดีใจมาก เพราะข้าพระพุทธเจ้าเคยคิดมาแล้ว แต่คิดไม่ออก หาได้นึกเฉลียวถึงคำ มิดหมี และ จ้า นี้ไม่ ยังมีคำที่ประกอบกับสีอยู่อีก ๓ คำ คือ ขาวจ๊วก เหลืองอ๋อย และ เขียวอี๋ ในคำ จ๊วก ข้าพระพุทธเจ้าพบในภาษาไทยขาว อ่านว่า ซวก
แปลว่า นัก ใช้ประกอบคำว่า ขาว หรือ สว่าง เช่น ขาวซวก ว่า ขาวนัก รุ่งซวก ว่า สว่างนัก ไทยทางอีศานและทางชลบุรี ใช้ จั๊วะ แทน จ๊วก ส่วน อ๋อย ทางอีศานมี เหลืองห่อย แต่แปลว่า เหลืองอ่อน ความตรงกันข้าม ส่วน อี๋ สอบไม่พบ
คำ อยู่ ที่ชาวอุบลใช้ในที่ว่า หยุด ทรงเห็นว่าจะเหมือนกันกับ อยู่มือ อยู่ในถ้อยคำ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริว่าคงจะเป็นเช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้ายินดีที่ได้ความคิดขึ้นอย่างหนึ่งว่า คำซึ่งนำเอามาใช้เลือนออกไปจากความเดิม เพราะความ
เดิมใช้คำอื่นแทนเสียแล้ว แต่ก็ยังเหลือเค้าให้เห็นความเดิมอยู่ในคำพูดบางคำที่ตกค้างอยู่ เช่น อยู่ ดั่งตัวอย่างที่ประทานมานี้ เป็นคำจำพวกที่มีความหมายเดิมตกค้างเหลือต่อมา ในจำพวก ขนหัว ท่าสบ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานกราบทูลเลยไปถึงคำว่า อยู่ อย่า อยาก อย่าง ซึ่งใช้ อ นำ หาได้ใช้ ห นำหน้าไม่ เห็นด้วยเกล้า ฯ
ว่าคนโบราณท่านรู้จักเรื่องเสียงของคำเก่งมาก เพราะฐาน​กรณ์ของ ย และ อ อยู่ใกล้กันมาก อาจเพี้ยนเสียงกันได้ ยิ่งในภาษาจีนด้วยแล้ว ถ้าชาวกวางตุ้งเป็นเสียง ย แต้จิ๋วก็เป็นเสียง อ ไป เช่น ในสี่คำข้างต้นนี้ ของจีนก็มี อยาก ในชาวกวางตุ้งว่า หยก แปลว่า ต้องการ แต้จิ๋วเป็น อ่าย ไป หรือคำว่า ยา กวางตุ้งว่า หยุก แต้จิ๋วเป็น เอี๊ยะ ตกมาเป็นคำคู่ในภาษาไทยว่า หยูกยา กับคำ นกเหยี่ยว กวางตุ้งว่า หยิ่ว แต้จิ๋ว ว่า อิ้ว ตกมาถึงไทยเป็น อิเหยี่ยว คือเสียง อย กล้ำหนักเข้าก็กลายเป็น อีเหยี่ยว ไป
ข้าพระพุทธเจ้าอ่านลายพระหัตถ์ ตอนที่ตรัสเล่าเรื่องเข้าใจผิดในภาษา รู้สึกขบขันอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ เมื่อเร็วๆ นี้ ชาวกรุงเทพ ฯ คนหนึ่ง ขึ้นไปรับราชการเป็นครูอยู่ที่จังหวัดอุดร กลับมากรุงเทพ ฯ แวะมาหาข้าพระพุทธเจ้า มาเล่าให้ฟังว่า ภาษาของชาวพื้นเมืองมีอยู่หลายคำ ซึ่งเมื่อไปอยู่ใหม่ๆ ทำให้เข้าใจผิดไปหลายครั้ง เช่น เด็กคนหนึ่งมีจดหมายมาบอกว่า ทำจดหมายเสียแล้ว ซึ่งที่ถูกหมายความว่า ทำ
จดหมายหาย ดังนี้ กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกไปถึงคำคู่ว่า เสียหาย แต่เมื่อแยกคำก็ใช้เป็นคนละอย่าง เมื่อนำมาเข้าคู่ก็เป็นอีกความหนึ่ง ครูคนนั้นเล่าให้ฟังต่อไปว่า ชาวพื้นเมืองที่นั้น ในเวลานี้ ใช้ภาษาไทยกรุงเทพ ฯ เสียโดยมาก ต่อพูดกันเองจึงจะใช้คำของพื้นเมือง ข้าพระพุทธเจ้านึกเสียดายมาก ที่ไม่มีใครสำรวจภาษาถิ่นเหล่านี้ไว้ เพราะต่อไปไม่ช้าก็คงสูญ จะเป็นความลำบากแก่การค้นคว้าเรื่องภาษาไทยในรุ่นหลังไม่น้อย
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายคำไทยที่ใช้กันอยู่ทางพายัพและอีศาน ซึ่งมีความแผกออกไปจากที่เข้าใจกันในกรุงเทพ ฯ คือ
ถ่ายเสื้อ – เปลี่ยนเสื้อ
ไข้หลวง – ไข้ใหญ่
มันแกว – มันเทศ
บาด – แผล
เสียตัว – ตาย
คนคืน – คนเก่า
นุ่งเสื้อ – ใส่เสื้อ
ครัว – ของ (เช่นขายครัว-ขายของ ค่าครัว - ราคาของ)
เสาะครัว – หาของ
​ลูกอ่อน – เด็ก (ไทยย้อย เสียงกร่อน เป็น ละอ่อน กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกไปถึงคำว่า หล่อน ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือวรรณคดคีสมาคม)
แมว – กระต่ายขูดมะพร้าว
เต่า – กบไสไม้ (สองคำนี้ใช้แต่พายัพ)
ปากเป็น – ช่างพูด
หุงเนื้อ – ต้มเนื้อ
งัวขัน ของชาวปักษ์ใต้แปลกมาก ข้าพระพุทธเจ้าลองค้นในภาษาไทยถิ่นอื่น ก็พบแต่ ไก่ขัน อย่างเดียว
คำว่า กะจ้อยร่อยกะจิริด ร่อย กับ ริด มาจากไหน ไม่ทราบเกล้าฯ แต่ถ้าเทียบ ร่อย กับ น้อย ริด กับ นิด ดูก็แปลกที่เสียงสระมาพ้องกัน ถ้าจะปรับ ร กับ น ก็มีแนวเทียบ เช่น นัด (นาทาเน้น) - รีด (กวางตุ้ง นีด-ว่า รีด) นุงนัง-รุงรัง ชาวพายัพเรียกตำรวจว่า ตำหนวด ถ้าว่าตามแนวเทียบนี้ ร่อย กับ น้อย ริด กับ นิด ก็ไปกันได้
เรื่องไม้เอกโท ข้าพระพุทธเจ้าเคยแปลกใจที่เจ้าหน้าที่ในหอพระสมุดที่เป็นเชื้อชาวอีศาน อ่านหนังสือตัวไทยเหนือแปลงเป็นเสียงไทยใต้ได้คล่องแคล่ว ครั้นข้าพระพุทธเจ้าจับอ่านดูบ้างก็ติดกุกกัก ต้องนึกหาความหมายในบางคำอยู่นาน ข้าพระพุทธเจ้าคิดเห็นว่า ในหนังสือที่ไม่มีเอกโทเช่นนี้ การใช้คำคู่มีประโยชน์มาก เพราะอาจเดาความถูก เช่น ทีนีมีนำ ถ้าเติมคำว่า มีทา เข้าด้วย ความก็คงไม่ไปทาง หมี ข้าพระพุทธเจ้าเคยจดเรื่องระดับเสียงเอกโท ก็ได้เค้าเป็นราง ๆ ว่า ระดับเสียง
ของคำนั้น เวลาพูดเห็นจะอยู่ที่แล้วแต่ถิ่นไหน เช่น ระดับเสียงชาวอีศาน ถ้าอักษรต่ำ ไม้เอก เช่น ค่า ก็เป็น ข่า ถ้าเสียงไม้โท เช่น ค้า ก็เป็น ค่า เสียงอักษรสูงไม้โท เช่น เสื้อ ก็เป็น เสื่อ ดังนี้เองจึงต้องเติมเป็นคำคู่ว่า เสื่อสาด เสื้อแสง เสือสาง ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีโอกาศสอบสวนเรื่องระดับเสียงได้ตลอด เพราะต้องฟังเสียงเขาพูด มากกว่าจะตรวจดูในหนังสือ แต่ข้าพระ​พุทธเจ้าเห็นว่าเป็นธรรมดาของภาษา ถ้าผู้ที่ใช้พูดอยู่ในถิ่นที่เป็นพระนครหลวง ซึ่งเป็นสูญกลางแห่งความเจริญของชาติ ภาษา
ของถิ่นอื่นก็ต้องเดินตาม ในที่สุดเสียงของภาษาถิ่นต่าง ๆ ก็กลายมาเป็นเสียงของถิ่นเมืองหลวงหมด ถ้าประสงค์จะให้พูดเหมือนกัน ก็ต้องกำหนดเสียงให้แน่นอน ข้าพระพุทธเจ้าได้ดูหนังสือแบบสอนอ่านของชาวเวียงจันท์ ซึ่งพิมพ์ขึ้นใช้ในไม่สู้ช้านัก ก็ใช้เครื่องหมายบอกระดับเสียงเอกโท เอาตามแบบกรุงเทพฯ หมด ข้าพระพุทธเจ้าคิดเห็นดังนี้ การจะถูกผิดอย่างไร ขอรับพระบารมีปกเกล้า ฯ เป็นที่พึ่ง แล้วแต่จะ โปรดเกล้าฯ
เรื่องไม้ไต่คู้ และ เรื่องใช้วิสัญชนี ข้าพระพุทธเจ้าเห็นเป็นมั่นเหมาะดั่งกระแสพระดำริ การที่มากำหนดขึ้นใหม่ คือให้เดิมไม้ไต่ตู้ลงทุกคำ (เว้นแต่คำมาจากสํสกฤตและบาลี) แม้คำนั้นจะเติมไม้ไต่คู้หรือไม่ก็ไม่เปลี่ยนความ เป็นการเสียเวลาและยุ่งยาก เพราะจะต้องคอยระวังว่า คำนั้นเป็นคำไทยหรือเป็นภาษาบาลี ถ้าเป็นผู้ไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ ก็ทำความลำบากให้อยู่ ในเรื่องใช้วิสัญชนีก็ทำนองเดียวกัน
นอกจากทำความยุ่งยากให้อ่านผิดเสียงที่ควรออก ยังจะต้องระวังดูว่าเป็นคำไทยหรือไม่ใช่คำไทย ต่อเมื่อคำไทยจึงจะใช้วิสัญชนี ครั้นถึงคำว่า พงัน ก็ไปเติมวิสัญชนีเป็น พะงัน ครั้นสอบถามว่าถ้าเป็นไทย ใครจะแปลว่าอะไร ผู้เขียนก็บอกว่าไม่ทราบ ตกว่าเสียงคล้ายไทยก็ใช้วิสัญชนีไปหมด เว้นไว้แต่ที่ทราบแล้วว่าไม่ใช่ไทย เช่น
พนม จึงไม่ใช้วิสัญชนี ถ้าไม่ทราบก็ถือเอาเป็นภาษาไทยหมด ดูออกจะวางกำหนดง่ายไปสักหน่อย ลำบากแก่ผู้ใช้ แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายเห็นชอบ กลับเห็นเป็นความสะดวกไป เป็นเรื่องต่างความคิด พระพุทธเจ้าเห็นว่า เรื่องใช้ไม้ไต่คู้และวิสัญชนีตามวิธีที่ใช้อยูในเวลานี้ เป็นต้นเหตุแห่งการกลายเสียงในภาษาได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเห็นกันได้ก็ต่อเมื่อนานวันตั้งร้อยปีขึ้นไป เป็นลักษณะ ที่ในตำรานิรุกติศาสตร์​ของฝรั่ง เรียกว่าปรับเสียงให้เข้าแนวเทียบเสมอกันหมด (Analogical levelling)
ข้าพระพุทธเจ้า ได้จดคำ อปราชัย ตามที่ประทานมานี้ไว้ในคำที่กลับความหมายแล้ว คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คำนี้อาจจะมีเหตุมาจากคำ อับปราชัยก่อน แล้วเสียงจึงกลายเป็น อปราชัย ตามรูปภาษาบาลี แต่ความหมายเดิมที่ว่า แพ้ ยังคงอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าเคยพบประโยคคำในภาษาไทยพายัพหรืออีศาน (ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้แน่) ซึ่งมี
ลักษณะที่อาจทำให้ความกลับกันได้ (เป็นทำนองคำปากตลาดในกรุงเทพ ฯ ที่พูดถึงเรื่องหนี้สินว่า ฉันติดท่าน ซึ่งหมายความว่าผู้พูดเป็นเจ้าหนี้ ถ้าไปบ้านนอกก็กลับกันตรงข้าม คือ หมายความว่าผู้พูดเป็นลูกหนี้) ข้าพระพุทธเจ้านึกประโยคคำที่กราบทูลนี้เท่าไรก็นึกค้นหาอีกไม่พบ ซึ่งถ้าได้มาหลายๆ ตัวอย่าง ก็จะเป็นทางให้สันนิษฐานในเรื่องความกลับกันได้บ้าง
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานรับพระเมตตา เพื่อทราบเกล้า ฯ ว่า
อินทรพรหม ที่มีในกระบวนแห่ของหลวง หมายถึง พระอินทร และ พระพรหม หรือว่า หมายความถึงอื่น จึงไม่มีคำว่า พระ นำหน้า อินทรพรหม ถ้าเป็นพระอินทรและพระพรหม ในส่วนพระพรหม จะมีกี่องค์ก็พอฟังได้ แต่พระอินทร ทำไมจึงมีมากองค์ด้วย การแต่งตัวของอินทรพรหม ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ แต่เดาว่า บางทีพวกอินทรจะเป็นพวกแต่งตัวเขียว และพวกพรหมสีแดง ดั่งที่ข้าพระพุทธเจ้าเคยเห็น แต่ไม่ได้สังเกตกำหนดจำเอาไว้
ในบริเวณเมรุตรงคดล้อม มีที่พระนั่งสวดเป็นแห่ง ๆ เรียกกันว่า ช่าง แต่ที่เขียนเป็น ซั่ง ก็มี ขอประทานทราบเกล้า ฯ ว่า เสียงไหนเป็นถูก และหมายความว่าอะไรแน่ ดูลักษณะ ช่าง หรือ ซั่ง มีอยู่ตรงมุม​คด กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกไปถึง ซัง ในตาดวด อยู่ที่มุมเหมือนกัน บางทีจะเป็นคำเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างก็ไม่ทราบเกล้า ฯ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ตามที่โปรดประทานเรื่องจีนจุดประทัดในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อเป็นการขับไล่ผี ว่าคล้ายคลึงกับการยิงปืนในพิธีตรุษนั้น ข้าพระพุทธเจ้าอ่านพบในหนังสือ Frazer’s Golden Bough ตอนที่ว่าด้วยการขับไล่เสนียดจัญไร (Expulsion of Evils) ว่า การขับไล่โรคภัยไข้เจ็บและเหตุร้ายต่าง ๆ ให้ไปเสีย ย่อมเป็นวิธีที่มีมาแต่สมัย
ดึกดำบรรพ์ ชนชาติที่ยังล้าหลังต่อความเจริญ ยังคงใช้กันอยู่สืบต่อมา ส่วนชนชาติที่เจริญแล้วก็ยังมีพิธีชะนิดนี้เหลือตกค้างสืบเป็นประเพณีอยู่ แต่ว่าเปลี่ยนแปลงและกลายรูป ไปตามความเจริญของบ้านเมือง วิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายนั้นแบ่งเป็นสองชะนิด อย่างหนึ่งไม่มีตัวตน มองไม่เห็น อีกอย่างหนึ่ง มีตัวตนสมมุตเป็นสิ่งชั่วร้ายนั้น
ในหมู่ชนที่ยังล้าหลังต่อความเจริญ ถ้าเกิดมีเหตุเภทภัยเจ็บไข้ได้ทุกข์ ก็ถือว่าผีร้ายให้แรง ต้องทำพิธีขับไล่ให้ไปเสีย ซึ่งในหนังสือเล่มนั้น ได้รวบรวมพิธีของชาติต่าง ๆ มาเล่าไว้มาก เป็นพิธีของชาติล้าหลังมากชาติด้วยกัน ต่างก็มีคติที่ทำต่าง ๆ กัน แต่เมื่อย่อลง ก็เป็นไปในเรื่องใช้ไม้มือหรือใช้อาวุธฟาดฟันไปในอากาศ ในที่ซึ่งสมมุต
ว่ามีผีร้ายสิงอยู่ ปากก็ร้องเอ็ดอึง และตีเกราะเคาะไม้หรือสิ่งต่าง ๆ ขู่สำทับให้ดังสนั่นหวั่นไหว เพื่อขับไล่ให้ผีหนีไป ถ้าเป็นพวกอยู่ใกล้น้ำใกล้ทะเล ก็สมมุตไล่ต้อนผีให้ลงน้ำไป พวกที่อยู่ตอนก็ใช้วิธีต้อนลงหลุมแล้วกลบเลย นี่เป็นวิธีอย่างที่หนึ่ง ซึ่งเป็นชะนิดไม่มีตัวตนมองไม่เห็น
อย่างที่สอง คือชะนิดสมมุตให้มีตัวตน โดยใช้ทำเป็นอย่างเสีย​กะบาล หรือต่อเป็นเรือแพ สมมุตว่านำเอาผีร้ายหรือโรคภัยไข้เจ็บใส่เรือให้ไปเสีย บางทีก็ใช้สัตว์ สูงขึ้นไปถึงคน ซึ่งสมมุตว่าเป็นผู้รับช่วงเอาโรคภัยไว้ในตน แล้วก็ขับไล่สัตว์หรือคนที่สมมุตเป็นตัวโรคให้ออกจากถิ่นไปเสีย หรือสูงขึ้นไป ก็ทำพิธีฆ่าบูชายัญ ที่พระเยซูทรงรับบาปของมนุษย์เพื่อถ่ายโทษบาป ก็น่าจะเป็นคติในทำนองเดียวกัน
การทำพิธีขับไล่ผีนี้ ทำเป็นครั้งคราวแล้วแต่มีเหตุเภทภัย ครั้นต่อมาพิธีเหล่านี้ ก็เลือนมาเป็นพิธีทำประจำปี ถ้าชาติที่อยู่ในแดนหนาว ก็มักทำในต้นระดูหรือปลายระดูหนาว ถ้าเป็นประเทศร้อน ก็มักทำในต้นระดูหรือปลายระดูฝน หรือมิฉะนั้นก็ทำในระดูที่กำหนดเป็นระยะสิ้นปี เพราะในระดูเหล่านี้ย่อมไม่มีความสบาย และมักเกิดโรคภัย
ไข้เจ็บ จึงต้องทำพิธีขับไล่ล่วงหน้าไว้ หรือที่ทำภายหลังระดู ก็เพื่อจะได้เริ่มความเป็นอยู่ใหม่ ให้มีแต่ความสุขสมบูรณ์ ปราศจากผีร้ายให้แรงเกิดโรคภัยไข้เจ็บ และในพิธีที่ทำนี้ ประชาชนแสดงการร่าเริงเลี้ยงดูกัน ก่อนเวลาขับไล่ผีก็มี ภายหลังเวลาขับไล่ก็มี
ภายหลังชาติที่เจริญแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงการตีเกราะเคาะไม้ เพื่อให้เกิดเสียงดัง ผีร้ายจะได้ตกใจหนีไป เป็นใช้เครื่องอื่นที่ทำให้เกิดเสียงดังดีกว่า เป็นต้นใช้จุดประทัดและยิงปืนแทน ข้าพระพุทธเจ้าได้อ่านตรวจดูในหนังสือ Golden Bough ได้ให้ตัวอย่างที่ใช้ปืนยิงเพื่อขับไล่ผีในวันขึ้นปีใหม่ มีชาวตังเกี๋ย เขมร สยาม และชาติในยุโรป มีพวกโปลและพวกเชก แห่งประเทศเชกโกสโลวเกีย ที่ใช้ปืนใหญ่ยิงสามนัดแรกเป็นอาณัติสัญญา แล้วก็ยิงปืนกระบอกอื่นที่มีไว้พร้อม ๆ กัน
อนึ่ง ในขณะที่ข้าพระพุทธเจ้าค้นหาหนังสืออ่านที่ว่าด้วยเรื่องที่กราบทูลมาข้างต้นนี้ ไปพบหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่งชื่อว่า Things Chinese ได้เล่า​ถึงวิธีทำศพในประเทศจีนว่า ชนชาติม่านจื๋อ (หมายความถึงชาติต่างๆ ที่อยู่ในตอนใต้ของจีน) ในแคว้นเสฉวนตอนทิศตะวันตก มีประเพณีมัดศพให้อยู่ในท่านั่งแล้วจึงเผา ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าคตินี้ อาจเป็นทางให้สืบสาวเรื่องพิธีทำศพของไทยในบางประการได้บ้าง จึงขอประทานจดถวายมา เท่าที่มีข้อความบอกไว้เพียงย่อๆ ข้างบนนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่าน ลงวันที่ ๑๖ ว่าด้วยเรื่องถ้อยคำต่าง ๆ ได้รับแล้ว
พวกคำคู่ ซึ่งท่านนึกขึ้นได้ ๘ วิธีผสมกันนั้นถูกทั้งสิ้น ฉันคิดว่ามีอีก และคิดว่ามีอีกมากอย่างด้วย ฉันเห็นด้วยท่านว่าคำคู่เกิดแต่พูดพุ่งไปก่อน แล้วจึ่งเก็บเอาไปใช้เปนมีความหมายในภายหลัง
คำที่ซ้ำกันตรง ๆ ก็มีอีกวิธีหนึ่ง เช่น เล็กเล็ก โตโต ไม่ใช่มีแต่ไทย พม่าก็มีคำ แงแง ถึกถึก มลายูก็มี กจิกจิ ตรงกับ เล็กเล็ก คำที่ตรงกับ โตโต จะมีหรือไม่มีฉันไม่ทราบ คำว่า ลูกแง โคถึก นี่ประกอบด้วยคำพม่า
คำที่ประกบกับสี เข้ากับขาวพูดว่า ขาวจ๊วก ก็มี ขาวจั๊วะ ก็มี ท่านหาคำแปลมาได้ดีมาก คำที่ประกอบกับเหลือง ไม่ใช่มีแต่ เหลืองอ๋อย เหลืองจ๋อย ก็มี เหลืองจ้อย ก็มี ถ้าเดินตามทางนี้ เขียวอี๋ จะต้องเปน เขียวจี๋ ก็ได้ เขมรมีคำ ขจี แปลว่าอ่อน และเคยประกอบ คำว่า เขียวขจี แปลว่า เขียวอ่อน อันนี้ก็เป็นแนวเดียวกัน ไปได้กับ เหลืองห่อย ซึ่งหมายความว่าเหลืองอ่อน แต่ที่จริงคำ อ๋อย ห่อย ใกล้ไปข้างน้อย แม้จะเปนเหลืองน้อย ก็คงเปนเหลืองอ่อนอยู่นั้นเอง แต่นี่ติดจะเดาหลายชั้นเกินไปหน่อย
คำ กะจ้อยร่อย กะจิริด ท่านคิดว่า ร่อย เปน น้อย ริด เปน นิด ฉันเห็นเปนถูกแล้ว แนวเดียวกับ ไหน ไร เช่นพูดมาก่อนแล้ว
ขอบใจท่านที่บอกคำไทยซึ่งใช้กันทางพายัพอีศาน ให้ทราบหลายคำ เห็นคำกระต่ายขูดมะพร้าวเรียกว่า แมว เข้ารู้สึกเห็นขันมาก นิทานพระยามนตรีไปเป็นข้าหลวงปักษ์ใต้ก็มีเรื่องกระต่ายขูดมะพร้าวเหมือนกัน
​จึงจำจะต้องเล่าต่อ เมื่อนายศรีแก้วเอาใบมะพร้าวมาให้พระยามนตรีแล้ว พระยามนตรีก็ฉุน นายศรีแก้วก็ฉุน ข้างพระยามนตรีฉุนว่าจะเอาลูกมะพร้าววิ่งไปเอาใบมะพร้าวมาให้ ข้างนายศรีแก้วฉุนว่าจะเอาใบมะพร้าว ครั้นเอามาให้ กลายเปนว่าจะ
เอาลูก เมื่อได้ความเข้าใจแล้วนายศรีแก้วเอาลูกมะพร้าวมาให้ ที่นี้พระยามนตรีสั่งนายศรีแก้วให้ไปหากระต่ายมาให้ตัวหนึ่ง คราวนี้นายศรีแก้วตกใจมาก ด้วยคิดเห็นว่าจะหาไม่ได้ เที่ยวได้วิ่งไปตามบ้าน ถามหาว่าใครจับกระต่ายมาเลี้ยงไว้บ้าง ชาวบ้านเขาพากันเห็นขัน เขาถามว่าจะเอาไปทำไม นายศรีแก้วก็บ่นบอกว่าเจ้าคุณท่านจะ
เอา จะเอาไปทำไมก็ไม่รู้ เที่ยวหาไปจนถึงบ้านหญิงมลายูซึ่งเขาเคยเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ฯ หญิงคนนั้นฉลาดหน่อย จึ่งถามนายศรีแก้วว่าท่านจะเอากระต่ายนั้น ท่านกำลังทำอะไรอยู่ นายศรีแก้วบอกว่าท่านกำลังจะแกงไก่ หญิงมลายูนั้นเข้าใจ ร้องว่า อา เล่กคู้ด เล่กคู้ด นายศรีแก้วเชื่อกลับมาบ้าน เอาเหล็กขูดไปให้พระยามนตรี เป็นการสำเร็จเรียบร้อย ไม่เกิดถ้อยร้อยความ ประหลาดดี เราเห็นเปนกระต่าย ทางพายัพเขาเห็นเปนแมว แต่ทางปักษ์ใต้ไม่เห็นเปนสัตว์เลย
คำ อย่า อยู่ อยาก อย่าง ฉันสงสัยมานานแล้ว ว่าทำไมจึงนำด้วยตัว อ จำเพาะแต่สี่คำเท่านั้น ท่านอธิบายเปิดตาให้เข้าใจได้ว่าเปนอักษรกล้ำ ดีมาก ไม้ม้วน ๒๐ คำ ก็สงสัยเหมือนกัน ท่านเคยพิจารณามาหรือเปล่า ฉันแลไม่เห็นเหตุเลยจนบัดนี้
เรื่องระดับเสี่ยงสูงต่ำ นั้น ฉันได้ทราบจากหลวงราชนิธิวิมล เปนเด็กอยู่ที่บ้านฉันก่อน แล้วไปทำการอยู่ที่โคราช เขามาพูดให้ฟังว่าชาวเมืองนั้นเสียงกลับกันกับเรา ถ้าเราต่ำเขาก็สูง ถ้าเราสูงเขาก็ต่ำ ฉันไปถึงโคราชสังเกตตามก็เห็นจริงอย่างว่า เมื่อไปนั้นเปนเวลาดอกไม้บาน ได้ดอกไม้ชะนิดหนึ่ง อยากรู้ชื่อถามเขาว่านี่ดอกอะไร เขาบอก
ว่า ตาโนกโก๊ด ได้แก่ตานกกดทางเรา แต่เปนความจริงต้องยืนเสียงชาวบางกอกไว้ แขวงหัวเมืองย่อมจะหันเข้ามาหาเสียงบางกอกกว้างออกไปทุกที ในที่สุดเสียง​และภาษาพื้นเมืองจะหายกลายเปนอยางกรุงเทพฯ ไปหมด นับว่าเปนความเจริญอย่างหนึ่ง
เรื่องวิสัญชนี ฉันออกจะไม่พอใจมาก เปนเครื่องหมายแบบสํสกฤตแท้ ๆ เขาไม่ได้ใช้เปนสระอะ ซ้ำตรงกันข้ามเสียด้วย สระอะเขานับเปนลหุ ถ้าใส่วิสัญชนีเข้ากลายเป็นครุ เรามาใช้เปนสระอะ แต่บังคับใช้ฉะเพาะ ภาษาไทย ภาษามคธสํสกฤตไม่ให้ใช้ ส่วนภาษาอื่นออกไปเช่นพะม่า มลายู เขมร มอญ ให้ใช้หรือไม่ให้ใช้ไม่ทราบ ไม่มีใครบอก รู้สึกว่าลำบากมาก เห็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงใช้ในภาษาสํสกฤตซึ่งพระองค์ทรงนำมาใช้ใหม่ คนอ่านไม่ถูกจึงทรงใส่วิสัญชนีลงไป เช่น
ตรุส ตะรุษะ เปนต้น ฉันคิดว่าเปนหน้าที่ของผู้อ่านจะต้องเรียนอ่านให้ถูก ไม่ใช่กิจของผู้เขียนจะต้องเขียนโอนเอนไปสำหรับให้คนไม่ได้เรียนอ่านถูก มีคำอีกถมไปซึ่งคนจะอ่านไม่ถูก และเขียนช่วยให้อ่านถูกก็ไม่ได้ ที่จริงมีคำโดยจำเพาะที่จะต้องใช้วิสัญชนี เปนต้นว่า ละเลย นี่ต้องใช้ ลลาย ไม่ต้องใช้ เขมรเขาเขียนยึดเอาแบบสํสกฤตทีเดียว เช่น ชำนิะ เขาลงวิสัญชนี ดำริห เขาลง ห การันต์ ตามแบบสํสกฤตใช้ตัว ห แทนวิสัญชนีได้ แต่เราเอาออกหมดด้วยเห็นว่าผิด
นึกถึงคำ งัวขัน ขึ้นมาได้ว่า เพราะเราเขียนผิดจึ่งได้เห็นขวางหนัก ที่ถูกคำ ขัน นั้นเปน ขาน ไก่ขัน ก็คือ ไก่ขาน หมายถึงขานยาม ทั้งคำอื่นก็มีใช้อยู่ถมไป เช่น ขานชื่อ หมายความว่าออกชื่อ ยืดเปน ขนานนาม หมายความว่าตั้งชื่อ คำใช้มีอยู่อย่างนี้ งัวร้องจะเปน งัวขาน ย่อมฟังคล่องขึ้นกว่าเก่ามาก แต่คำ ขนานนาม นี้หกหลังไปตีเอาคำ เรือขนาน แตก ควรจะเปน เรือขนัน หมายความว่าเรือผูกติดกัน ยืดจากคำ ขัน-ขันชะเนาะ ขนันปากหม้อ แห่งผีกุมารก็มีเปนพยานอยู่
คำถามเรื่อง อินทร์พรหม เรื่อง ซ่าง หรือ ซั่ง จะตอบมาต่างหาก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๙ เดือนนี้ ประทานข้อความต่าง ๆ ที่ทรงคิดเห็น ในเรื่องถ้อยคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถวาย พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
คำคู่ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คำว่า รบรา ซึ่งได้เคยมีผู้ค้นหาคำแปลและที่มาของ รา แต่หาไม่พบ ก็น่าจะออกมาจากคำว่า รบ นั้นเอง เป็นคำซ้อนจำพวก วัดวา คบค้า กำชับกำชา
คำซ้อน ข้าพระพุทธเจ้าได้อ่านพบเรื่องคำซ้อนในหนังสือฝรั่ง เรียกว่า reduplication ว่าเป็นวิธีที่ใช้กันอยู่แทบทุกภาษา มากบ้างน้อยบ้าง การซ้ำคำต่างภาษาก็มีวิธีซ้ำต่าง ๆ กัน เช่น
บอกลักษณะว่า ยิ่ง ว่า นัก หรือ มาก
ใช้วิธีซ้ำเต็มคำสองหน ในภาษาชาวเกาะ Mandingo ding ว่า เด็ก ding ding ว่าเด็กนิด มลายู ราชราช ว่า เจ้านายหลายองค์ โอรัง ว่า คนโอรังโอรัง ว่า ประชาชน
ใช้ซ้ำเต็มคำสี่ครั้ง igi ในภาษาชาวเกาะ Mantaway ว่ามาก igi-igi-igi-igi ว่ามากมาย
ให้ยืดหรือซ้ำเสียงพยางค์หลัง uatu ภาษาของชาวป่าในประเทศบราซิลว่า ลำธาร uatu-u-u-u ว่า มหาสมุทร
ใช้ซ้ำโดยตัดคำออกเสียบ้าง แปลงเสียงพยัญชนะเสียบ้าง ฯลฯ aliguli ในภาษาของพวกชาวป่าพวกหนึ่งในอเมริกาใต้ว่า เด็กชาย aliguguli ​เด็กชายหลายคน ในภาษายี่ปุ่น kuni ว่าประเทศ kuni-guni หลายประเทศ (เสียง ni เป็นโฆษ ลากเสียง k ให้เป็น g เป็นเสียงโฆษะไปด้วย) ในบางภาษาใช้เสียงซ้ำหลายครั้งซึ่งเกิดจากของบางอย่าง แล้วตั้งเป็นชื่อของนั้นก็มี เช่น ชาวป่าเอโนในเกาะยี่ปุ่น เรียกบุ้งขูดไม้ว่า
Shiriushiriurani ในภาษาชาว Dhak ในเกาะบอร์เนียว หัวเราะใหญ่ว่า kakakkaka ภาษาชาว Maori เกาะ New Zealand ลมพัดว่า haruru ในภาษาอังกฤษ barbarian ก็ออกมาจากคำซ้ำ barbar โดยเลียนเสียงคนพูดไม่เป็นภาษาอย่างบ้าๆ แบ้ๆ แปลว่าชาติป่าเถื่อนพูดไม่เป็นภาษา ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานเดาคำว่า ใบ้ บ้า บอ บุ้ย ในภาษาไทย น่าจะมีกำเนิดมาจากลักษณะเดียวกัน
คำซ้ำในภาษาไทย ข้าพระพุทธเจ้านึกได้ คือ
(๑) บอกลักษณะยิ่ง มาก นัก โดยซ้ำคำเต็ม เช่น โตโต
(๒) บอกลักษณะอย่างข้างบน แต่ใช้แปลงระดับเสียงคำหน้าให้เป็นเสียงสูง เช่น แด๊งแดง ไม่ช้ายไม่ใช่
(๓) ใช้คำอื่นแซกกลางคำที่ซ้ำ เช่น อะไรต่ออะไร ใครต่อใคร
(๔) ใช้ซ้ำคำเพื่อแยกจำนวน เช่น เป็นคน ๆ ไป
(๕) ใช้ซ้ำคำ แต่หดเสียงสระในคำหน้า เป็นทำนองอัพพาสในตำราไวยากรณ์บาลี เช่น วะวับวะวาบ ระริกระรี่
(๖) บอกลักษณะการติดต่อเรื่อยไปไม่ให้ขาดระยะ ใช้ซ้ำคำเต็ม เช่น ช้าช้า คือ ให้ช้าสม่ำเสมอเรื่อยไป แดงแดง หมายความว่า คิดแต่สีแดงอย่างเดียว จะแดงมากแดงน้อย หรือมีสีอื่นปนอยู่ก็ไม่สำคัญ คงให้ถือแต่สีแดงอย่างเดียว ความจึงกลายเป็นว่า
แดง ๆ แปลว่าไม่สู้แดง ในตำรานิรุกติศาสตร์ฝรั่งอธิบายว่า คำพูดในภาษามีวิภัติปัจจัย คำย่อมสำเร็จรูปมีความหมายแน่นอนอยู่ในตัว เช่น is ในภาษาอังกฤษ เป็นคำประกอบรูปคำเสร็จไว้ก่อนน่าที่จะพูดอยู่แล้ว เพราะ is จะมีความหมายเป็นอื่นไม่ได้ ​นอกจากหมายความว่า is ใช้ฉะเพาะคนที่สามคนเดียว หรือ เทโว ในภาษาบาลี ก็
เป็นคำผะสมเสร็จ หมายความว่าเป็น ปฐมาวิภัติ เอกพจน์ ปุงลิงค์ ส่วนภาษาใช้คำโดด เมื่อยังไม่กล่าวออกมา ก็ยังไม่เป็นรูปคำ ต่อเมื่อหลุดปากออกมา ผู้พูดก็ผะสมคำไปในตัว โดยวีธีเรียงลำดับคำให้เป็นไปตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ หาได้ประกอบคำขึ้นในตัวไม่ เพราะฉะนั้นคำที่เปล่งออกมาแต่ละคำ ถ้าเปรียบด้วยเส้นตามยาว ก็ไม่มีเขตต์สุด แต่คำในภาษาจำเป็นต้องมีฐานและเขตต์สุดของเส้นตามยาว จึง
จะเป็นที่เข้าใจกัน ที่พูดว่า ช้า ก็หมายความว่า ตามเส้นซึ่งเป็นฐานตั้งแต่ A ไปถึง B เป็นสุดเขตต์ เป็นระยะของคำว่า ช้า ถ้าพูดว่า ช้าช้า ก็หมายความแบ่งระยะของคำว่า ช้า เป็นสองตอน แต่ละตอนให้ถือเอาอาการช้าอย่างเดียว อาการอย่างอื่นไม่นึกถึง ตามที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมานี้ ไม่แน่ใจว่าข้าพระพุทธเจ้าจะเข้าใจความหมายของเขาได้ถูกต้อง ด้วยเป็นเรื่องทางจิตตวิทยา คำผิดพลาดอย่างไร ขอรับพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง แล้วแต่จะทรงระเมตตา
คำว่า ถึก คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า จะเป็นคำไทย พะม่าน่าจะได้ไปจากไทยใหญ่ เพราะ ถึก มีอยู่ในภาษาไทยทุกถิ่น คือ มีอยู่ในภาษาอาหม ไทยใหญ่ คำที่ ไทยขาว ไทยโท้ ไทยนุง และไทยย้อย เสียงเพี้ยนเป็น ถิก ติก ตึก ไปบ้าง แต่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ใช้ประกอบบอกเพศของสัตว์สี่เท้าว่าเป็นตัวผู้ เช่น ลิงถึก งัวถึก ถ้าเป็นนก จึงจะใช้ว่า ผู้ เช่น ไก่ผู้ นกยูงผู้
คำว่า แง อาจเป็นคำพะม่า แต่ข้าพระพุทธเจ้ายังรวนเรใจ เพราะ แง น่าจะเป็นคำตั้งจากเสียงร้อง จึงยากที่จะวินิจฉัย เพราะอาจพ้องกันได้ทั้งเสียงและความ แม้จะเป็นคนละตระกูลภาษา ถ้าความคิดและฟังเสียงของผู้ตั้งคำตรงกัน เพราะแง ๆ ในภาษาไทยก็มี เป็นเสียงร้องของเด็กเล็กๆ ในภาษาอาหมมีคำว่า งี หรือ เง แปลว่า บุตรคน
เล็กที่สุด ความได้กับ ลูกแหง คือ ลูกเล็กที่สุด และ งี แปลว่า กวาง ตรงกับภาษาจีน ซึ่ง​คงจะตั้งตามเสียงร้องของกวาง เสียงร้องไห้ครวญครางในภาษากวางตุ้งว่า เหย่ เหง่ เอ่ ก็น่าจะเทียบได้กับ แย แง ในภาษาไทย และ ขี้แอ่ ในภาษาพายัพ
คำประกอบกับสี ที่ทรงสันนิษฐานว่า เขียวจี๋ จะมาจาก เขียวขจี ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริ เพราะเสียง ขะ เป็นเสียงเบา เวลาพูดเผลอตัว อาจหลุดหายไปได้ ด้วยอยู่ในระหว่างเสียงหนัก ที่ เขียวจ กลายความหมายว่าเขียวจัด คงจะเป็นเพราะ ขจี เป็นคำต่างประเทศ ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดในความหมายไปได้
ข้าพระพุทธเจ้าอดขันเรื่องที่ตรัสเล่าต่อนิทานพระยามนตรีสุริยวงศ์ไว้ไม่ได้ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า กระต่ายขูดมะพร้าวของเดิมจะมีลักษณะรูปไม่เหมือนกัน จึงทำให้คิดเห็นรูปกระต่ายขูดมะพร้าวเป็นชื่อต่างๆ เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้านึกเลยไปถึงการตั้งชื่อสัตว์ต่างๆ ในครั้งแรก เดิมคงตั้งชื่อตามเสียงที่มันร้อง เพราะมีพะยานอยู่มากภาษา
ด้วยกัน และเป็นภาษาอยู่คนละตระกูล แต่เสียงเพี้ยนไปตามแต่จะได้ยิน และถือเอาเสียงร้องนั้นพอเป็นประมาณ แต่มีชื่อสัตว์บางชะนิด ซึ่งชื่อของมันในบางภาษาก็ไม่ไปทางเสียงที่ร้องเลย เช่น อัศว ในภาษาสํสกฤต เป็นต้น บางทีการตั้งชื่อจะไม่อาศัยเสียงร้องของมันอย่างเดียว น่าจะถือเอาลักษณะอื่นที่เป็นพิเศษในสัตว์นั้น จะเป็นด้วยเหตุนี้ได้บ้าง ความคิดในเรื่องกระต่ายขูดมะพร้าวจึงเป็นต่าง ๆ
ไม้ม้วน ข้าพระพุทธเจ้าเคยสอบค้นมาคราวหนึ่ง รู้สึกด้วยเกล้า ฯ ว่าเป็นเสียงที่แปลก และฝรั่งจดเสียงไว้สับปลับมาก แต่ก็มีเค้าพอพิจารณาได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายผลสอบค้นทีหลัง
งัวขัน ขานชื่อ เรือขนาน ข้าพระพุทธเจ้าค้นในภาษาอาหม พบคำ khā n ซึ่งเป็น ขัน ขาน คัน คาน หรือจะเป็นระดับเสียงไหนก็ได้ แปลไว้ว่าขวาญ เคียว เจ็บร้าว กะสวย เรือสองลำผูกติดกัน สนิม ฉมวก คำ พูด​ไปเร็ว ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริว่า งัวขัน ก็คือ งัวขาน เพราะในภาษาอาหมก็มียันอยู่ว่า ขัน หรือ ขาน แปลว่า พูด ในภาษาไทยขาว ขาน แปลว่า ตอบ ในไทยย้อย หาน แปลว่าตอบ ก็เป็นคำเดียวกับ ขาน แต่ในปทานุกรมของเราว่า ขาน มาจาก ขยาน ในภาษาสํสกฤต ซึ่งคงเป็นการลากไทยเข้าหาภาษาสํสกฤตมากกว่าอื่น
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้นึกเฉลียวไปถึงคำว่า ขนาน ว่าที่ถูกเป็น เรือขนัน ต่อเมื่อทรงแนะขึ้นจึงได้เห็น คงจะเป็นเพราะเสียงสั้นยาว เป็นเสียงที่สับปลับในภาษาไทยถิ่นต่างๆ เป็นข้อเตือนใจให้ข้าพระพุทธเจ้าได้สติสำหรับพิจารณาคำอื่น ๆ ต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
ได้รับหนังสือลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคมของท่าน อันว่าด้วยคำต่างๆ ลางคำ ทำให้นึกถึงความเห็นอย่างโสกโดกขึ้นมาได้ ให้นึกขัน อดที่จะบอกท่านไม่ได้
วัดวา มีคนเห็นว่าเปน วตฺวา ภาษาบาลี อธิบายว่า เปนที่ไปสนทนาธรรม
กำชับ ฉันเห็นว่ายึคมาแต่คำ กะชับ กระชับ หมายความว่าทำให้แน่น มีคนรับรองเห็นด้วยว่าถูก แต่เขาออกความเห็นว่า ถ้าซ้อนคำเข้าเปน กำชับกำชา แล้ว ทำให้ความหมายอ่อนลง เปนกำชับแต่พอเปนที เข้าทีอยู่มาก
คำซ้ำ ท่านหาตัวอย่างมาได้ มีซ้ำถึงสี่ครั้ง เจ็บปวดมาก บรรดาคำซ้ำออกจะเปนพหุพจน์
ท่านเดาคำ ใบ้ บ่า บอ ทำให้นึกขึ้นมาได้ถึงคำใช้ว่า โง่เง่า เราใช้ติดกันไปเปนความอันเดียว แต่ได้ทราบว่าทางพายัพเขาแยกคำ เง่า ออกไปเปนมีความหมายขึ้นอย่างหนึ่ง ใช้แก่คนในจำพวก บ้า หรือ บอ นั้น เข้าใจว่าเพราะคำนี้เอง เหง้ายุพราช จึงยักไปเขียนเปน ห นำ
คำ แงแง ถึกถึก ฉันไปรู้มาจากไปเที่ยวหาซื้อโอเงินฉลักผีมือดีๆ ที่เมืองย่างกุ้ง เขายกเอามาให้ดูล้วนแต่ใบโตโตทั้งนั้น ฉันจึงบอกล่ามว่าให้เอาใบเล็กเล็กมาดู เขาหันไปบอกกันว่า แงแง ฉันก็ตระหนักในใจว่า​แงแง แปลว่า เล็กเล็ก จับใจขึ้นมาจึ่งถามเขาว่า โตโต พูดว่ากะไร เขาบอกว่า ถึกถึก เห็นเข้ารูปภาษาไทยจึ่งได้จำมาบอกท่าน พม่าจะจำเอาคำไทยไปใช้ แต่มีความหมายเปนอย่างอื่นไปนั้นเปนอย่างง่ายที่สุด เขาว่างัวก็เรียกว่า งัว น้ำพริกก็เรียกว่า น้ำพริก เปนคำไทยทั้งนั้น คงจะมีอีกมาก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น (๒)
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
ได้รับหนังสือของท่าน ลงวันที่ ๑๒ เรื่องไล่ผี รู้สึกซึมทราบเปนอันมาก
ใครอย่าคุยโตไปเสียให้ยากเลย ย่อมนับถือผือยู่ด้วยกันทั้งนั้น God คืออะไร ผีหรือมิใช่ พูดอย่างเบี่ยงบ่ายก็ว่าเทวดา เทวดาพวกชาวอีศานก็เรียกว่า ผีฟ้า ฉันเห็นเปนถูกต้อง บรรดาศาสนาก็มีพระพุทธเรานี้แหละที่ไม่ใช่ผี แม้กระนั้นชาวเราก็ยังยกให้เป็นผีอยู่นั่นเอง มีปฏิญญากันว่าให้พระแก้วหักคอ ที่แท้พระพุทธเจ้าจะไม่ทำร้ายใครเลย หากแต่เราเคยถือผีมาก่อน จึงจัดการให้พระพุทธเจ้าเปนผี พระพุทธเจ้าต้องมีอำนาจผิดจากคนสามัญ ไม่ฉะนั้นก็ไม่มีคนนับถือ
อันว่าผีนั้นเห็นจะแยกออกได้เปน ๒ พวก คือ ผีดีพวกหนึ่ง ผีร้ายพวกหนึ่ง ผีดีนั้นช่วยคนก็ได้ลงโทษคนก็ได้ แล้วแต่อารมณ์จะพึงพอใจ ส่วนผีร้ายนั้นมีแต่จะข่มเหงคนประตูเดียว บรรดาโรคอันเปนไปโดยธรรมดาพวกที่เรียกว่าล้าหลังก็คิดว่าผีนำเอามาให้ทั้งนั้น จึงต้องขับไล่ไสส่งเอาไปฝัง เอาไปทิ้งน้ำ คนดีมีวิชาซึ่งสามารถจะไล่ผีร้าย
ได้ต้องมีเครื่องมือ คือ มีดหมอ หวายลงคาถา ทั้งกรวดซายสำหรับขว้างหัวให้หนีไป ตลอดถึงประทัดและปืนเปนต้น อายุฉันก็ได้เห็นมามาก ที่ขับผีจากคนเปนโรคต่าง ๆ เช่น ฝีดาษเปนต้น แต่เดี๋ยวนี้เลิกกันไปหมดแล้ว ส่วนผีดีนั้นดูไม่ยาก ทำอะไรให้ถูกใจ มีเส้นวักตั๊กแตนหรือกล่าวคำเยินยอเปนต้น ก็งดสิ่งร้ายให้สิ่งดีได้
เรื่องมัดศพนั่งนั้น ฉันตั้งใจสืบประเพณีมาหนักทีเดียว แต่ไม่ได้เรื่องเลย แต่แรกคิดว่ามาทางอินเดีย แต่สืบดูทางอินเดียก็ไม่พบ เรื่อง​ราวที่ท่านพบเก็บมาบอกให้นั้นก็รัวเต็มที แต่ก็ดีอยู่ที่มีเค้าว่าการมัดศพนั่งนั้น เปนประเพณีมาทางจีนใต้ ถ้าท่านพบอะไรที่กล่าวละเอียดไปกว่าที่พบแล้ว ขอช่วยบอกด้วย คำ ม่านจือ ม่าน นั้นเราเคยเข้าใจกันว่าพม่า
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส (๒)
กรมศิลปากร
วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๙ เดือนนี้ ทรงปรารภถึงการนับถือผี ตามที่ตรัสมานั้น เป็นความจริงแน่แท้ ฝรั่งคนหนึ่งเขียนเรื่องความเชื่อถือไว้ว่า ถ้าลองสะกิดผิวหนังคนที่เป็นอารยชนดู ก็จะพบอนารยภาพพื้นป่าเถื่อนซ่อนอยู่ใต้
ผิวหนังนั้นเต็ม เพราะมนุษย์ จะมีเพศผิวพรรณต่างๆ กัน แต่ก็มาจากประเภทเดียวด้วยกันทั้งนั้น จะแตกต่างกันก็ในส่วนภายนอก ลึกเข้าไปก็เป็นอย่างเดียวกันหมด มนุษย์ที่นับว่าเจริญก็เปรียบเหมือนยอดไม้ ที่ยังไม่เจริญเปรียบได้ด้วยรากไม้ เขยิบขึ้นมาก็ถึงลำต้นและกิ่งก้านสาขา ล้วนเป็นต้นไม้ต้นเดียวกันทั้งหมด
ม่าน ทีใช้เป็นชื่อพม่า คงเป็นคำเดียวกับ ม่านจื๊อ ในภาษาจีน จีนเรียกชนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ตอนใต้ว่า เมี่ยวจื๊อ หรือ ม่านจื๊อ รวมทั้งหมด ไม่กำหนดแยกพวกแยกชาติ นอกจากจะเติมคำประกอบบอกลักษณะลงไป ที่แยกเป็น เมี่ยว (แม้ว คงเป็นคำเดียวกันกับ เมี่ยว) และ ม่าน เพียงแต่ เมี่ยว เป็นพวกที่ปกครองเป็นบ้านเป็นเมือง มีความเจริญดีกว่า ม่าน เท่านั้น คำว่า ม่าน ที่ติดมาเป็นชื่อพม่า ก็คงเป็นด้วยถือกันว่า สืบมาจาก​ชาติเหล่านี้พวกหนึ่ง เพราะชาติที่นับอยู่ในตระกูล ธิเบต-พม่า ยังมีอยู่มาก
พวกในแดนตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ตอนที่ต่อกับธิเบตและพม่า ก็คงจะมาจากพวก ม่าน เหล่านี้พวกหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าเคยอ่านเรื่องราวของชาติเหล่านี้ ซึ่งฝรั่งแปลออกจากหนังสือจีน เวลาอ่าน มุ่งหาแต่ข้อความบางอย่าง จึงอ่านข้าม ๆ ไป ไม่ได้สังเกตในเรื่องประเพณีทำศพของชาติเหล่านี้ ว่าจะมีกล่าวไว้หรือไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะค้นอ่านดูอีกครั้งหนึ่ง เพราะได้จดชื่อและเล่มหนังสือนั้นไว้แล้ว
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
จะตอบคำถามของท่านเรื่อง อินทร์พรหม ที่มีในกระบวนแห่ของหลวง จะหมายความถึงอะไรนั้นบอกไม่ถูก เปนแต่คิดเห็นว่า ที่ชื่อพรหมนั้นเห็นจะเปนชื่อมีมาก่อนเก่า ด้วยได้เห็นใน กฎมณเฑียรบาล มีพูดถึงกลิ้งพรหม แต่จะได้แก่พวกอินทร์พรหมนี้หรือมิใช่ ก็ได้แต่ทึกเอาว่าใช่เท่านั้น อันชื่อ อินทร์ นั้น เห็นจะเรียกขึ้นภายหลังอย่างเถื่อนๆ ด้วยชื่อพรหมนำไปนั้นอย่างหนึ่ง กับใส่เสื้อสีเขียวนำไปอีกอย่างหนึ่ง
ความจริงสีแดงเขียวนั้น หมายทองเงินและขวาซ้าย ท่านจะเห็นได้ว่ากรมต่าง ๆ ย่อมมีกรมขวาและกรมซ้าย กรมขวาเดินแห่ขวา กรมซ้ายเดินแห่ซ้าย แล้วมีที่หมายในเครื่องแต่งตัวผิดกัน กรมขวาแต่งเครื่องทอง กรมซ้ายแต่งเครื่องเงิน แล้วก็มีสีตามเครื่องทองเงิน คือสีแดงตามทอง สีเขียวตามเงิน นี่ว่าตามหลักแบบบุราณ แต่เดี๋ยวนี้เลอะไปหมดแล้ว
อินทร์พรหมเดี๋ยวนี้มีอยู่ ๑๖ ตน ถือจามรเดินแซงพระที่นั่งข้างละ ๘ คน ที่แซงซ้ายใส่เสื้อเขียวเรียกว่าอินทร์ ที่แซงขวาใส่เสื้อแดงเรียกว่าพรหม ในกฎมณเฑียรบาลนั้น กลิ้งพรหมเพิ่มลดมากน้อยตามยศ แต่อินทร์พรหมทุกวันนี้มี ๑๖ ตนยืนที่ หรือมิฉะนั้นก็ตัดหมด ไม่ให้มีทีเดียวแม้ว่าต่ำยศ
คำว่า จามร ควรจะเปนแส้ขนจามรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตรัสเล่าว่า เจ้าแขกทางอินเดียเขามีคนถือแส้ขนจามรีเคียงข้างพระที่นั่ง และไม่ใช่ถือไปเฉย ๆ มี มีการกระทุ้งกระแทกขึ้นลง ให้ขนเผยิบผยาบด้วย ส่วนจามรของเรากลายเปนพัดยอดแหลมสองลอนไป ฉันสันนิษฐานเอาว่าจามรก็คือวาฬวีชนีในเครื่องราช
กกุธภัณฑ์นั้นเอง คำ วีชนี ​นั้นก็เถียงกัน ลางอาจารย์ก็ว่าเปนแส้ ลางอาจารย์ก็ว่าเปนพัด จามรที่อินทร์พรหมถือ ทำเปนพัด เห็นจะดำเนินตามความเห็นอาจารย์ที่ตัดสินว่าวีชนีเปนพัด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เห็นจะทรงสงสัยเหมือนกัน จึ่งโปรดให้จัดหลีกไปเสีย แม้เปนกระบวนแห่องค์พระเจ้าแผ่นดินแล้ว อินทร์ซึ่งอยู่ซ้ายให้ถือพุ่มดอกไม้เงิน พรหมซึ่งอยู่ขวาให้ถือพุ่มดอกไม้ทอง
ถ้าจะสรตะคำ กลิ้งพรหม ซึ่งมาใน กฎมณเฑียรบาล ก็มีทาง ลางทีท่านจะได้เคยเห็น แต่ก่อนนี้ตลกที่กั้นร่มตัวโขนตัวละคอนออกตรวจพล ไม่ใช่แต่ถือกันเฉย ๆ เขาถือหมุนร่มไปด้วย เข้าใจว่านั่นได้แก่คำกลิ้งกลด ถ้าอันนั้นเปนถูกต้อง คำ กลิ้งพรหม ก็เห็นจะเปน กลิ้งพรม หมายความว่าหมุนจามรขนจามรี
เรื่องอินทร์พรหมฉันรู้พอจะบอกท่านได้เพียงเท่านี้
เรื่องคดซ่าง ฉันตั้งใจจะเขียนบอกให้ท่านอยู่แล้ว โดยที่ได้พบพูดกันที่วัดเทพศิรินทร์ แล้วท่านมาถามขึ้นก็พอดี จะเขียนให้ท่านต่อไปนี้
สิ่งที่ปลูกสร้างแวดล้อมสิ่งสำคัญอันเปนประธาน จัดได้เปนสามชั้นคือ อย่างน้อย อย่างกลาง และอย่างมาก ดังที่เขียนมาให้ดูนี้
เลขที่ ๑ เปนอย่างน้อย มีแต่คดสี่มุม เปนที่พักคนมาเพื่อสิ่งซึ่งเปนประธานนั้น ลางที่ก็เรียก พระระเบียง ทางนครศรีธรรมราชเรียกว่า ​พระห้อง นั่นเพราะทำพระพุทธรูปขึ้นประจำไว้ทุก ๆ ห้อง ซึ่งในกรุงเทพฯ นี้ก็มีอยู่ชุกชุม
เลข ๒ เปนอย่างกลาง คือปลูกศาลาแซกลงในระหว่างคค ถ้าประธานเปนพระสถูป ก็เรียกกันว่า วิหารทิศ ที่ประธานเปนเทวสถานในเมืองเราไม่มี มีแต่ในเมืองเขมร เขมรจะเรียกอะไรไม่ทราบ แต่ฝรั่งเรียก โคปุร เอาคำสํสกฤตมาเรียก และวิหารทิศนั้นไม่จำเปนจะต้องมีทั้งสี่ทิศ ที่พระธาตุนครศรีธรรมราชก็มีแต่ด้านหน้าทิศเดียว เรียกว่า ธรรมศาลา เห็นจะใช้เปนที่สำหรับมีเทศน์
เลข ๓ เปนอย่างมากอย่างใหญ่ ในเมืองเรามีทำขึ้นหน้าขึ้นตากันอยู่ก็ที่เมรุ ที่ชื่อว่า เมรุ นั้น ฉันเข้าใจว่าเพราะมีสิ่งแวดล้อม สัณฐานดุจเขาพระสุเมรุ มีเขาสัตตบริพันธ์ล้อม สิ่งที่ล้อมเมรุนั่น คดก็เรียก คด หอที่ประจำมุมนั้นเรียกว่า ส้าง บ้าง สำส้าง บ้าง ที่เขียน ซ่าง หรือ ซั่ง นั้น ออกจากทางสรตะของฉันเอง ฉันคิดว่า ส้าง ออกจาก ซัง
ซึ่งมีที่เติ่งดวด ในพระราชพงศาวดารตอนเกิดกบฎในกรุงธนก็มีว่า พระยาสรรค์ขึ้นนั่งซัง คำว่า สำ คิดว่า สำ ส่ำ ซ้ำ อันเปนคำเดียวกัน หมายความว่า ซังหลายซัง สิ่งที่ปลูกสูญกลางหว่างคด ถ้าเปนเมรุแล้วเขาเรียกว่า เมรุทิศ หรือ เมรุประตู ที่เปนเทวสถานในเมืองเราไม่มี ในเมืองเขมรมีมาก ถ้าเปนสถานใหญ่ สิ่งที่แวดล้อมทำถึงสองชั้นสามชั้นก็มี
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส (๓)
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๒๐ เดือนนี้ มีพระเมตตา ประ ทานคำอธิบายเรื่อง อินทรพรหม ในกระบวนแห่ และเรื่อง คดช่าง แก่ข้าพระพุทธเจ้า เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้
ความรู้เรื่องเหล่านี้ เป็นชะนิดที่หาได้ยาก เพราะ เป็นความรู้พิเศษ รู้กันน้อย แม้จะรู้กันบ้าง ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ทราบเหตุผลต้นปลายเป็นมาอย่างไร เมื่อต้องการจะรู้ แต่ไม่สามารถจะรู้ได้ก็มักทำให้เบื่อหน่าย เลิกสังเกตเลิกคิดค้น ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ก็เสื่อมไป เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาได้อ่านพระอธิบายเรื่องข้างต้นนี้แล้ว ก็กระทำให้กระหายที่จะได้เห็นตัวจริงขึ้นมาทันที เพราะจะได้ความรู้สิ่งอื่น ๆ จากที่ทรงพระเมตตาอธิบายไว้ออกไปอีก
ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อเป็นแน่ว่า พรหม ก็คือคนถือ พรม หรือ ขนจามรี ดังที่ทรงสันนิษฐาน ต่อมาเมื่อเลิกถือขนจามรี จะโดยเหตุที่หาได้ไม่สะดวก เพราะไม่มีในเมืองไทย หรือจะด้วยเหตุไรไม่ทราบเกล้า ฯ จึงได้ทำสิ่งอื่นสมมตขึ้นแทน แล้วยืดเสียง จมร ซึ่งแปลว่าขนหางจามรีในภาษาสํสกฤตให้เป็นจามร หนักเข้าแปลไม่ออก
ก็เกิดลากเข้าความเป็น จ่ามอญ โดยคิดเดาลากเข้าความเอาตามรูป ส่วน พรม เมื่อแปลไม่ออก และของที่ถือก็ไปเป็นทางชวนให้คิดไปถึง ผมหรือขนเสียแล้ว ก็ลากเข้าความให้เป็น พรหม เพื่อให้แปลได้ แล้วพรหมก็นำอินทรมาเข้าคู่ เพราะเครื่องแต่งตัวสีเขียว ช่วยหนุนอีกแรงหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าคิดเห็นดังนี้ จะเป็นถูกผิดประการไร ขอรับพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง แล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
เรื่อง คดช่าง ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจทราบซึ้งในพระอธิบาย พระ​เดชพระคุณล้นเกล้าฯ เมื่อก่อนหน้านี้ แม้ข้าพระพุทธเจ้าจะได้พบรูปสิ่งปลูกสร้างของโบราณก็มักผ่านเลยไป เพราะไม่มีความรู้ โคปุระ ข้าพระพุทธเจ้าก็เคยเห็นรูป นึกเสียว่าเป็นประตูเข้าเทวาลัยตามธรรมดา ความรู้ก็ยุติอยู่เพียงแค่นั้น ในคราวทำปทานุกรม ถึงคำว่า คด ก็
ไม่มีกรรมการชำระปทานุกรมคนใดทราบลงไปได้ชัดว่า คด คืออะไร เอารูปถ่ายวิหารคดวัดพระเชตุพนมาดู ก็ไม่เข้าใจ เพราะหาเฉลียวถึงคดเป็นข้อศอกไม่ คงค้างคำว่า คด ไว้ ข้าพระพุทธเจ้าได้จคคำอธิบายเรื่อง คด จากข้อความที่ทรงอธิบายไว้สำหรับลงในปทานุกรม คำ คด ว่า ‘สิ่งที่ปลูกสร้างแวดล้อมสิ่งสำคัญอันเปนประธาน อยู่ตรงด้านมุมที่หักคดเป็นมุมฉาก’
อนึ่ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสมายังข้าพระพุทธเจ้าถึงคำ cross section ในภาษาอังกฤษว่าทรงจำได้ว่า ดูเหมือนมีคำแปลที่เคยใช้กันมาแล้ว มิใช่แปลว่าลูกตัด แต่ว่ากะไรทรงจำไม่ได้ ตรัสสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถามใต้ฝ่าพระบาท
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น (๒)
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ซึ่งว่าด้วย อินทร์พรหม และ คดช่าง นั้น ได้รับทราบความแล้ว
ความเข้าใจของท่านในเรื่อง อินทร์พรหม นั้นถูกแล้ว เว้นแต่คำ จ่ามอญ นั้นเปนคำของคนเขลาเรียก ไม่เคยเขียนลงเปนหนังสือ ถ้าเขียนหนังสือแล้วเขาเขียน จามร กันทั้งนั้น อนึ่ง ขอให้ท่านสังเกตไว้ว่า ข้อวิเคราะห์ชื่อ อินทร์พรหม นี้ใหม่ทีเดียว วิเคราะห์โดยที่เพิ่งจะรู้ว่า พรมหมายถึง ขน ถ้าไม่ทราบข้อนี้ก็ไม่มีทางวิเคราะห์ไปได้
คด ท่านเขียนคำอธิบายในปทานุกรมไปให้ เห็นว่าจะขัดข้องอยู่บ้าง เช่น คำ แวดล้อม เปนทางทำให้เข้าใจว่าล้อมอยู่โดยรอบ แต่ที่จริงไม่รอบก็มี แม้ว่าสิ่งซึ่งเปนประธานคิดฝากอยู่กับสิ่งอื่น หรือตั้งอยู่ชิดใกล้กับสิ่งอื่น อาจมีคคแต่สองคด ครึ่งซีกเท่านั้นก็ได้ จึ่งคิดว่า อธิบายว่า ‘สิ่งที่ปลูกสร้างอ้อมสิ่งสำคัญอันเปนประธาน มีสัณฐานหักคดเปนมุมฉาก’ ดังนี้จะดีกว่า อนึ่ง ที่มีคำค่อข้างหน้าอีกก็มี เช่น วิหารคด ทิมคด ทิมดาบคด เปนต้น แล้วแต่กรณีจะพึงมีมา แต่ว่าคงมีลักษณหักคดเปนมุมฉากทั้งนั้น
Cross Section ฉันเคยเขียนเปนไทยว่า ตัดขวาง รูปตัดขวาง Longitudinal Section เคยเขียนว่า ตัดยาว รูปตัดยาว Section เคยเขียนว่า ตัดรูปตัด ฉันเขียนพุ่งเอาตามใจฉันทั้งนั้น แล้วใครเขาจะเรียกจะเขียนเปลี่ยนกันไปเปนอย่างอื่นอย่างไรบ้างฉันไม่ทราบ ไม่ได้เอาใจใส่ ในเรื่องนี้ท่านไม่ควรถามฉัน ในกรมศิลปากรของท่านเอง มีแบบเก็บไว้มากมายทั้งเก่าใหม่ ท่านอาจสอบสวนดูได้ทุกอย่างไป
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๕ เดือนนี้ ๒ ฉะบับ ประทานเรื่องคำบางคำซึ่งมีผู้สันนิษฐาน และเรื่อง คด ซึ่งทรงพระเมตตาประทานคำอธิบายมานั้น พระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้
วัดวา คำนี้มีบางท่านสันนิษฐานว่ามาจากคำ วัสส ทางเขมร ภายหลังเขมรเปลี่ยนเขียนเป็น วัต โดยเอาอย่างไทย บางท่านก็ว่ามาจาก วัตร ยังมีคำในภาษาบาลีและสํสกฤตอีกคำหนึ่ง ที่เสียงและความใกล้กับวัด คือ อาวาศ คำว่าเจ้าวัดและเจ้าอาวาศก็ใช้กันอยู่ เสียงสระ ถ้าอยู่หน้าอรรธสระ คือ ย ว มักกลมกลืนเข้าไปอยู่ในเสียงอรรธสระ ในที่สุดเสียงสระก็หายไป เพราะฉะนั้น อาวาศ อาจเหลือเสียงเพียง หวาด หรือ
หวัด ได้อีกทางหนึ่ง คำว่า วา ที่เป็นสร้อยคำของวัด อาจเกิดเพราะซ้ำคำวัด โดยผ่อนเสียงคำหลังให้เป็นเสียงสระ และมีพะยานที่ภาษาถิ่นพายัพใช้ วา แทนคำว่า วัด ซึ่งเป็นกิริยา เช่น วัดทาง ก็ว่า วาคลอง บางทีวัดซึ่งเป็นที่อยู่ของสงฆ์ จะเป็นที่ซึ่งกะวัดเอาไว้เป็นสถานที่พิเศษ แต่ข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ข้างต้นนี้ เป็นชะนิดที่ในตำรานิรุกติศาสตร์ เรียกว่า popular etymology ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าใช้ว่า ลากเข้าความ คือ คำใดที่แปลไม่ออกตามธรรมดามักจะคิดหาคำทีมีเสียงและความหมายใกล้กัน ก็
อนุโลมถือเอาคำนั้นเป็นหลัก เช่น พระเสื้อเมือง เมื่อแปล เสื้อ ไม่ได้ความ ก็หันเข้าทางลากเข้าความ แก้เป็น พระชื่อเมือง โดยคิดคำอธิบายไปในทางว่า ซื่อตรง หรือ เสาเกียด สำหรับนวดเข้า ก็แก้เป็น เสาเกียรติ การลากเข้าความมีอำนาจในทางเปลี่ยนแปลงภาษา แม้ทั้งรู้ๆ ข้าพระพุทธเจ้าเองก็เคยผิดพลาดที่วินิจฉัยคำว่า ยั่นตานี เป็น ย่านตานี ซึ่งที่ถูกมาจาก Jamdanny ​ในภาษาเปอร์เซีย แปลว่า ผ้าบางเนื้อดีชะนิดหนึ่ง ในตำรานิรุกติศาสตร์กล่าวว่า การหาที่มาของคำ เป็นวิชาทาง
ประวัติศาสตร์ (historical science) เพราะต้องทราบเรื่องราวประเพณีและอื่น ๆ อันเนื่องด้วยคำที่ค้นคว้าเอามาประกอบการสันนิษฐานด้วยอีกชั้นหนึ่งจึงจะใช้ได้ ดั่งตัวอย่างอินทรพรหม ที่ทรงสันนิษฐานไว้เป็นอันถูกต้องพร้อมด้วยหลักฐานทุกอย่าง ข้าพระพุทธเจ้าจึงจับใจไม่รู้หาย เพราะข้อสันนิษฐานเป็นไปตามแนวประวัติศาสตร์ต่อเนื่องกันไป ด้วยมีเหตุผลเป็นลำดับ ลำพังแต่รู้ว่า พรม แปลว่า ขนหรือผม ก็ไม่ทำให้สันนิษฐานออกไปได้กว้างขวาง นอกจากมีความรู้ทางด้านอื่น ๆ อันเป็นเรื่อง
ราวเกี่ยวเนื่องมาถึง มาประกอบวินิจฉัย ส่วนในคำว่า วัดวา ข้าพระพุทธเจ้าได้ลองสืบสาว คงได้ความว่า วัด นั้นใช้กันอยู่ในประเทศสยามกับประเทศเขมรเท่านั้น ไทยถิ่นอื่นที่นับถือพุทธศาสนามีไทยใหญ่ ก็ไม่เรียกว่า วัด ไทยที่อยู่ติดต่อกับสยาม เช่น ลือ เขีน ผู้ไทย ก็ยังสืบไม่ออกว่าเรียก วัด หรือว่าเรียกอะไร และคำว่า วัด ในภาษาไทยที่จดเป็นตัวหนังสือไว้จะมีมาแต่เมื่อไร และที่บางท่านว่า วัด ในเขมรเขียนว่า วัสส ก็ยังไม่ได้หลักฐานมายืนยัน ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานสอบสวนต่อไป
กำชับ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในข้อที่ทรงสันนิษฐานว่า กำชับ ยืดมาแต่ กะชับ กระชับ แน่นอน (คำว่า กระฉับกระเฉง ก็คงเป็นคำพวกเดียวกัน) ที่มีผู้เห็นว่าถ้าซ้อนคำ กำชับ เข้ากับ กำชา ทำให้ความอ่อนลง เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า ความเดิมจะมีความหมายเท่ากัน เพราะคงเป็นคำซ้ำ มุ่งไปในทางผ่อนเสียงคำหลังให้เป็นเสียงสระ แต่
เมื่อใช้คำมากในความหมายเดียวกัน และคำหลังกลายเป็นสร้อยคำ ความหมายเมื่อถูกเฉลี่ยก็ต้องอ่อนลง เช่น รบราฆ่าฟัน ถ้าพูดว่า รบกัน ฆ่ากัน ความรู้สึกในความหมายไปรวมอยู่ในคำเดียว ดูออกจะแข็งกว่า รบรากัน ฆ่าฟันกัน หรือ รบราฆ่าฟันกัน
​โง่เง่า โง่ทึบ ในพายัพและไทยใหญ่ เป็น เง่า อิศาน เป็น โง่ กวางตุ้งเป็น เหง่า หง่อย และยังมีคำ งั่ง แปลว่า โง่ ด้วย แคะเป็น โง่ แต้จิ๋ว เป็น งั่ว ที่ทรงเห็นว่า เพราะ เง่า แปลว่า บ้าบอ คำว่า เหง้ายุพราช จึงยักเขียนเป็น ห นำนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยในกระแสพระดำริ ที่ยักเขียนเป็น ห นำ เห็นจะเป็นเพราะในเวลานั้น เง่า ยังรู้จัก
กันอยู่ว่า มีความหมายอย่างเดียวกับ โง่ ยังไม่เลือนมาเป็นสร้อยคำของ โง่ แต่อย่างเดียวเหมือนในทุกวันนี้ ที่เขียน เหง้า เป็น เง่า ไปก็มี คงเป็นเพราะไม่ทราบคำแปลเดิมของคำว่า เง่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี ว่าคำที่ท่านเขียนไว้แต่ก่อนและมาเห็นกันว่าผิด แล้วแก้เสียใหม่ ก็ตกเป็นเรื่องที่โง่มากกว่าอื่น
คำว่า เหง้า ข้าพระพุทธเจ้ายังค้นไม่พบในภาษาไทยถิ่นอื่น คงพบแต่ในภาษาจีนชาวกวางตุ้ง เหง่า แปลว่า รากไม้ที่เป็นศีรษะ เช่น เหง้าบัว แปลไว้เพียงเท่านี้ ไม่มีความหมายอื่นอีก
อนึ่ง ในขณะที่ข้าพระพุทธเจ้าค้นหาคำว่า เหง้า ได้พบคำอยู่สองคำ ซึ่งนับว่าแปลก ขอประทานถวายมาด้วย คือ
ในภาษาจีนมีคำ หง่า แปลว่า เครื่องปั้นดินเผา กระเบื้อง ในภาษาญวน เพี้ยนเสียงเป็น งั่ว หรือ ง่อย เรือนมุงกระเบื้องว่า หญางั่ว หรือ หญาง่อย ไทยขาวว่า เลือนงัว ข้าพระพุทธเจ้านึกไปถึงคำว่า กระเบื้องหน้างัว ซึ่งคิดไม่เห็นว่า เหตุไรจึงเรียกอย่างนั้น บางทีจะมาจากคำว่า งัว ข้างบนนี้ คำว่า หญา (เสียงขึ้นนาสิก) ในภาษาญวน แปลว่า เรือน เสียงก็ใกล้กับคำว่า ปั้นหยา แต่ บั้นหยา จะมาจากภาษาใด ข้าพระพุทธเจ้ายังค้นหาไม่พบ
ในภาษาอาหม มีคำว่า งิว แปลว่า คนขันที ทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกเลยไปถึงคำว่า งิ้ว ละครจีน ซึ่งยังไม่ทราบเกล้า ฯ ว่า ไทยได้คำว่า งิ้ว มาจากไหน เพราะในภาษาจีนเองก็หาได้ใช้คำว่างิ้วไม่
​เรื่องคำพะม่า ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายคำพะม่าที่ตรงกับภาษาไทย คือ
ช้าง ว่า เชน งัว ว่า นัว หนู ว่า จวด แสนหนึ่ง ว่า ตะเซ็น ช้อนว่า โจ่น ตะแกรง ว่า จะก้า ต้นตาล ว่า ทานเป้น
คำว่า ช้าง และ งัว พระยาอินทรมนตรีเคยเล่าให้ข้าพระพุทธเจ้าฟังว่า พะม่าเป็นชาติในตระกูลธิเบต-พะม่า ยกเข้ามาอยู่ในแหลมอินโดจีนภายหลังชาติอื่น ในถิ่นเดิมของพะม่าไม่มีช้างและงัว เมื่อพะม่ายกเข้ามาในดินแดนซึ่งเป็นของไทยใหญ่มาก่อน พบช้างและงัว ก็ตั้งชื่อโดยใช้คำเดิมของไทยใหญ่ว่า เสน และ นัว เพราะพะม่าไม่นิยมเสียง ง จึงเพี้ยนเสียงเป็น น ไป อย่างเชียงใหม่ก็เรียกว่า เจ้นแม เรียกสงฆ์ว่า เซ็นก้า
แต่ก็ไม่สู้แน่ เพราะคำที่ใช้เสียง ง ก็มี เช่นเรียกวัดวาว่า กย๊อง ในภาษามอญก็เรียกช้างว่า เจิน บางท่านว่า เจ่ง กับ เจิน ก็เป็นคำเดียวกัน ที่เพี้ยนเสียงไปอาจเป็นภาษาคนละถิ่น ในภาษาพะม่าเรียก บืน ว่า เสนัด แต่คำนี้น่าจะเป็นคำในภาษาตระกูลมอญ-เขมร เพราะมีอยู่ในภาษามอญและภาษาสาขาอื่นๆ เช่น ข่า ขมุ เป็นต้น ก็ ก็เรียกปืนว่า สินาด เสนาด ฉินาด เว้นแต่เขมร
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายรายงานเรื่องไม้ม้วน ตามที่สอบค้นได้ดังต่อไปนี้
ในพจนานุกรมภาษาไทยถิ่นต่าง ๆ ตามที่ฝรั่งใช้ถ่ายเสียงจดลงเป็นอักษรโรมัน ถ้าเป็นเสียง ไอ อาย ก็ใช้ ai ลงกันทั้งในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และคำที่ไทยสยามใช้ ไอ (ไม้มลาย) เสียงในไทยถิ่นอื่น ก็ลงกันทุกแห่ง ส่วนเสียง ใอ (ไม้ม้วน) มีลักลั่น
(๑) ภาษาอาหม
ใบ้ ใหม่ ใย ใช้ aü
ใต้ ใน ใคร ใจ ใช่ ใส ใส่ ให้ ใช้ eu
ใบ ใฝ่ ใช้ aū
ใหญ่ ใช้ ao
ใกล้ ใช้ ใช้ ai
ใคร่ ใด ใหล สะใภ้ ค้นยังไม่พบ
เสียง aü (อะ กล้ำ อือ) ใกล้เสียง เออ เสียง eu ใกล้ไปทาง เอว อิว เสียง aū และ ao ใกล้ เอา อาว
(๒) ไทยใหญ่
ใด ใต้ ใน ใบ ใฝ่ ใหม่ ใส่ ใหญ่ ให้ ใช้ aü
ใคร ใช้ aū
ใจ ใส่ ใช้ eu
ใกล้ ใคร่ ใช่ ใช้ สะใภ้ ใหล ใส่ ยังค้นไม่พบ
​(๓) ไทยคำที่
ใจ ใช้ ใน ใบ ใบ้ สะใภ้ ใหม่ ใย ใหญ่ ให้ ใช้ aü
ใกล้ ใคร ใช้ aū
ใคร่ ใช่ ใด ใต้ ใฝ่ ใหล ใส ใส่ ยังค้นไม่พบ
ในภาษาไทยตะวันตกทั้ง ๓ ถิ่นข้างต้นนี้ เสียงเป็น ไอ ก็มีแต่ ใกล้ และ ใช้ ในอาหมเพียง ๒ คำ นอกนั้นเป็นเสียง aü aū eu ao เสียงทั้ง ๔ นี้ก็กลับกลอกมาก เช่น ใจ ในภาษาไทยคำที่ เขียน chaü แต่ในอีกตำราหนึ่ง (ฉะบับ Barua) เขียนเป็น cheu คำ
ว่า ใกล้ ในอาหมเป็น kai ในไทยคำที่เป็น kau แต่ฉะบับ Grierson เขียนเป็น kai คำว่า ใช้ ในอาหมเป็น chai แต่ในไทยคำที่เป็น saü คำว่า ใหญ่ ในอาหมเป็น jao แต่ในไทยใหญ่และไทยคำที่เป็น yaü คำว่า ใส่ ในภาษาอาหมเขียนเป็น sheu แต่ในที่อีกแห่งหนึ่ง ในสมุดเล่มเดียวกัน เขียนเป็น hsaü เป็นอันเชื่อแน่ในเรื่องใช้เสียงสระไม่ได้ แต่ก็มีแน่อยู่อีกอย่างหนึ่งที่เสียงไม้ม้วนไม่ใช่เสียง ไอ เสียงไม้มัวนน่าจะเป็น
เสียงสระควบ ซึ่งออกเสียงยากและเพี้ยนง่าย แม้แต่พวกเดียวกัน ผิดถิ่นเสียงพูดก็คงเพี้ยนไป ผู้จด ๆ ไม่ลงหรือฟังไม่ชัด จึงจดเป็นโรมันต่างๆ กัน คำว่า ใกล้ และ ใช้ ที่ในภาษาอาหมเป็นเสียง ไอ ก็เชื่อถือไม่ได้ ถึง ใกล้ จะพ้องกับของไทยคำที่ก็น่าจะเป็นเพราะลอกคัดมาจากคำราเล่มเดียวกัน ไม่ได้จดจากปากโดยตรง สรุปความเสียงไม้ม้วนในภาษาไทยตะวันตก ไม่ใช่เสียง ไอ คงเป็นเสียงใกล้ เออ เอว เอา แต่ส่วนมากจะเป็น aü
คำว่า ใคร ในภาษาอาหมเป็น phreu ไทยใหญ่และไทยคำที่เป็น phaū ตรงกับคำว่า ใผ ทางอีศานและพายัพ แปลกที่ในภาษาไทยสยามใช้เป็น ใคร
สอบภาษาไทยถิ่นทางตะวันออก
(๔) ไทยขาว
ใกล้ ใคร ใจ ใด ใต้ ใน ใบ ใบ้ ใหม่ ใหล
​ใส ใส่ ให้ ใช้ ou
ใคร่ ใช่ ใช้ ใฝ่ สะใภ้ ใย ใหญ่ ยังหาไม่หบ
(๕) ไทยดำ
ใจ ใด ใต้ ใบ ใหม่ ให้ ใช้ aeu
ใหญ่ ใช้ aille
(เสียงคล้าย ไอ็ย)
(นอกนี้ยังค้นไม่พบ)
(๖) ไทยโท้
ใกล้ ใจ ใด ใต้ ใบ ใช้ oeu
ใน ใช้ ei
ใหม่ ใช้ eu
ใส่ ใช้ ou
ใหญ่ ใช้ aille
(นอกนี้ยังหาไม่พบ)
ไทยในเมืองจีน
(๗) ไทยนุง
ใกล้ ใคร (cou) ใต้ ใบ ใหม่ ใส ใช้ ใช้ ou
ใช่ ใช้ ay
ใช้ (soi ตรงกับ ใช้สอย) ใช้ oi
ให้ ใช้ u
(นอกนี้ยังหาไม่พบ บางคำก็ใช้ภาษาจีนเช่น ใจ ใช้ว่า sam)
(๓) ไทยย้อย
ใกล้ ใช้ iaeu
ใคร่ ใช้ iai
ใช้ ใช้ ou
​ใด ใน ใบ ให้ ใช้ aeu
สะใภ้ ใช้ paeuh
(นอกนี้ยังหาไม่พบ คำว่า ใจ ใช้ตามจีน)
ไทยในสยาม
(๙) ไทยพวน ทางสระบุรี
ใกล้ ใคร ใจ ใต้ ใบ สะใภ้ ใส่ ใหญ่
ออกเสียงเป็น เออ นอกนี้ยังหาไม่พบ
(๑๐) อีศาน
คำไม้ม้วน เป็นเสียง ไอ ทุกคำ เพี้ยนกับไทยใต้เพียงระดับเสียงอย่างเดียว
(๑๑) พายัพ
คำว่า ให้ ใช้ว่า หื้อ นอกนั้นเป็นเสียง ไอ หมด ผิดกันแต่ระดับเสียงอย่างเดียว
ถ้ายกเว้นเสียงไทยถิ่นอีศานและถิ่นพายัพแล้ว คำไม้ม้วนในไทยนอกนั้นก็ตกอยู่ในเสียง เออ เอว เอา ไอย เอย เอียว แต่เสียง เออ หรือคล้าย เออ มากกว่าเพื่อน ถึงกระนั้น คำว่า ให้ ในถิ่นพายัพ ยังเหลือตกค้างไม่เป็น ไอ แต่เป็นเสียง หื้อ ใกล้กับเสียง hu ในไทยนุง และ เห่ย ในภาษาพูดของชาวแต้จิ๋ว
คำว่า ใคร่ ในภาษาไทยย้อย เป็น kiai แปลว่า รัก แต่ในถิ่นพายัพ ไค่ แปลว่า ต้องการ
คำว่า ใด ในไทยใหญ่เป็น laü ในไทยขาวเป็น lou หรือ rou ในไทยดำเป็น laeu ในไทยโท้เป็น toeu หรือ roeu ในไทยย้อยเป็น laeu ในถิ่นอีศานและพายัพเป็น ใด เพราะฉะนั้น คำว่า ใด ไร ไหน ถ้าเป็นคำเดียวกันก็น่าจะใช้ไม้ม้วน เป็น ใหน ใร ไปตามแนวกัน
​ใคร ไทยนุงใช้ว่า cou นอกนั้นเป็น phreu, phaū, hou ทั้งสิ้น แม้ในอีศานและพายัพ ก็เป็น ไผ พวนเป็น เผ้อ
ใต้ ในพายัพหมายความฉะเพาะทิศ ที่ตรงกันข้ามกับเหนือ ถ้าใต้ถุนเรือน ใช้ว่า พื้นล่าง
ใหม่ ในภาษาญวนเป็น เม่ย
สะใภ้ ไทยถิ่นต่าง ๆ ไม่มีเสียง สะ คงเป็น luk paü ในคำที่ paeuh ในไทยย้อย น่องใภ่ ในอีศาน ไป๊ ในพายัพ และ เพ้อ ในพวน ในอีศานเรียกพี่สะใภ้ว่า พี่เอื้อย พี่เขยว่า พี่อ้าย น้องสะใภ้ว่า น่องใภ่ น้องเขยว่า น้องเขย
ใหล ในไทยขาวเป็น lou แปลว่า ฝัน ในพายัพ ใหล แปลว่า เมา เช่น ใหลฮัก ว่า เมารัก
ใบ้ ทางปักษ์ใต้ว่า เบ้ย ก็เป็นคำคู่ตัวหลังของใบ้
ข้าพระพุทธเจ้าเคยซักไซ้หญิงแก่ชาวผู้ไทย ที่ตำบลดอนหอม จังหวัดสกลนคร ถึงเสียงไม้ม้วน ในชั้นต้นบอกเป็นเสียงสระไอ สงสัยว่าจะใช้เสียงของชาวอีศาน จะไม่ใช่เสียงเดิมของชาวผู้ไทย เมื่อใช้ล่ามอธิบายถึงความประสงค์เป็นที่เข้าใจกันแล้ว หญิงคนนั้นจึงได้ออกเสียงคำไม้ม้วนเป็นเสียง เออ อย่างเสียงพวนทุกคำที่สอบถาม
สำเนียงชาวปักษ์ใต้ ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าสำเหนียกไว้เมื่อออกเสียง ไอ เช่น ใจ ก็เป็นเสียง ใจ็ย หรือ เจ็ย กลาย ๆ มีการเน้นเสียง ย นิดๆ อยู่ด้วย
ตามเหตุผลที่กราบทูลมาข้างต้นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อแน่ว่าเสียงไม้ม้วนไม่ใช่เสียง ไอ แต่จะเป็นเสียงสระควบเช่น ไอ้ย เอ็ย อืย เสียงใดเสียงหนึ่งซึ่งยังทราบไม่ได้ว่าเสียงใดแน่ เพราะสระควบบางเสียงก็ออกได้ยาก และฟังให้แน่ว่าเสียงใด ก็ยาก เช่น อา ควบ แอ อา ควบ เอ อา ควบ ​อี อา ควบ เออ และ อา ควบ อือ ฟังเสียงเกือบเหมือนกันหมด แต่ที่จริงผิดเสียงกันทุกตัว ถ้าเน้นเสียงสระ อา ตัวต้นให้หนัก ก็เป็นจำพวกเสียง ไอ ถ้าเน้นเสียงสระ แอ เอ หรือ อี ตัวหลังให้หนัก เสียงก็เป็นจำพวก
เอ็(ย) มีเสียง ย นิด ๆ ไม่ใช่สระ เอ เฉย ๆ ซึ่งเป็นเสียงสระเดี่ยว ถ้าเสียงสระควบเสียงไหนไม่มีเป็นระเบียบอยู่ในการออกเสียงของภาษาผู้ฟัง เสียงนั้นผู้ฟังจะสังเกตไม่ออก เสียงข้างต้นนี้ ฝรั่งไม่มี หรือจะมีอยู่บ้างก็ในบางภาษาแต่น้อยเต็มที เพราะฉะนั้น เมื่อมาจดเสียงสระไอในภาษาไทย จึงเขียนเป็นตัวโรมันต่าง ๆ กัน และคงจะเป็นเพราะเสียงไม้ม้วนของเดิม เป็นสระควบออกเสียงยาก เสียงต่อมาก็เลื่อนมาเป็นเสียง ไอ ในภาษาไทยสยามซึ่งเป็นเสียงสระควบด้วย อา กับ อี (เน้นเสียงสระ อา)
ถ้าจะถือเสียงคำคู่เป็นหลักแนวเทียบ เสียง ไอ ก็มี เอย เป็นคำหลัง เช่น ใบ้เบ้ย ไขเขย ที่เพี้ยนเป็น ออย ก็มีเช่น ใช้สรอย (ในภาษาจีน เสย สอย หรือ โสย ในเสียงชาวกวางตุ้ง แปลว่า ของใช้ ในเสียงชาวแต้จิ๋ว เป็น ใช้ หรือ ช้าย) ก็น่าจะสันนิษฐานไว้ทีว่า เสียงไม้ม้วนเดิมจะเป็นเสียง เอ็ย ใกล้กับเสียงบาลี เช่น เทยฺยทาน เพี้ยนเป็น ไทยทาน ในภาษาไทยสยาม
ทั้งนี้ การจะสมควรสถานไร แล้วแต่จะทรงพระเมตตาโปรดเกล้าฯ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๔๘๑
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่าน ลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม บอกรายงานการสอบคำใช้ไม้ม้วนไปให้ทราบนั้น ได้รับแล้วด้วยความขอบใจเปนอย่างยิ่ง
ในรายงานนั้นเปนอันสอบได้ในสาขาหนึ่ง ว่าคำใช้ไม้ม้วนนั้น เพื่อนภาษาเดียวกันซึ่งอยู่ต่างถิ่นเขาออกเสียงเปนอย่างอื่น ไม่เหมือนกับคำใช้ไม้มลาย
จะลองขุดต้นตอหาทางดูว่าจะเปนไปได้สักกี่ทาง ต้นตอนั้นมีไม้มลาย ไม้ม้วน ซ้อนกันอยู่ใน แม่ ก กา แจกไปเหมือนกันทุกพยัญชนะ แต่ไม่มีครูบาอาจารย์คนใดอธิบายให้เข้าใจว่าวางซ้อนกันไว้ด้วยเหตุอันใด ลองเดาดูก็เห็นว่าอาจเปนไปได้ ๓ ทาง
ทางที่ ๑ วางไว้ให้เลือกตามใจ จะเขียนไม้มลายหรือไม้ม้วนก็ได้
ทางที่ ๒ ออกเสียงผิดกัน อย่างที่ท่านจับเอาไปสอบมาได้ แต่เพราะเสียงใกล้กันมาก ทีหลังจึงเลยเลือนเข้าหากันเปนเสียงเดียว
ทางที่ ๓ เสียงเหมือนกัน แต่ระดับเสียงต่างกัน ทางนี้อาศัยเหตุที่ท่านสอนกันมาแต่ก่อนให้อ่านว่า เก้ แก่ ไก่ ใก้ ลางทีจะเปนก่อนคิดใช้ไม้เอก โท เปนเครื่องหมายขึ้นก็เปนได้ ไม้มลายจัดเปนระดับเสียงสูง ไม้ม้วนจัดเปนระดับเสียงต่ำ หากจะช่วยทางที่ว่าอย่างนี้ ยกเอาคำไกล ใกล้ ไฝ ใฝ่ มาเปนอย่างจะเปนสมกัน แต่เปล่า คำ ใช้ ใช่ ใคร ใคร่ แม้ระดับเสียงจะต่างกันก็เปนไม้ม้วนด้วยกัน ไม่เปนหลักที่ควรฟังได้ว่าถูก
​คำ ใคร นั้นแปลกอยู่ ถ้าพูดก็ว่า ใค ต่อเขียนหนังสือจึ่งจะเขียนว่า ใคร ส่วนคำว่า ใคร่ นั้นดูจะใช้แต่เขียนหนังสือ ส่วนพูดดูเหมือนจะไม่ได้พูดกันเลย นี่เขียนพุ่งมาให้ท่านดูเล่นแปลกๆ
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยส (๒)
กรมศิลปากร
วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๒๘ เดือนนี้ ทรงแนะแนวสำหรับค้นหาที่มาของคำใช้ไม้ม้วน พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
แนวทางที่ทรงแนะมานี้ เป็นเค้าให้ข้าพระพุทธเจ้าขยายวงความคิดออกไป เพราะไม่ได้เฉลียวนึกมาแต่ก่อน
เรื่องสระของไทยใหญ่ ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าเดาเสียงจากตัวโรมันเป็นดังนี้ อะอา อิอี อุอู เอ (เสียงสั้นและยาว) ไอ (เสียงสั้นและยาว)
เอา (เสียงเอาะ ใช้สระ เอ+อา ไม่ใช่ ออ+อะ)
ออ อาว อิว โอ อือ ออย และ เออ (เสียงไม้ม้วน)
ในภาษาอาหม เติม อํ ระหว่าง อิว กับ โอ
สระเหล่านี้ พอถึงสระที่ใช้ใน แม่เกย ฝรั่งจดเป็นตัวโรมันสับสนและยุ่งมากเพราะเป็นเสียงที่ฝรั่งไม่สู้มีใช้ คงฟังเสียงไขว้เขวไปต่าง ๆ ได้ ​เช่น เสียงไม้ม้วน ที่จดไว้ว่า aü ในคำอธิบายซึ่งข้าพระพุทธเจ้าพบทีหลังว่าเป็นเสียงสระ aēü (อา+เอ+อือ) ซ้อนกัน
สามเสียง เมื่อลองออกเสียงดู ก็ไม่ผิดกับเสียง ไอย อาย เลย และในสระเหล่านี้ไม่ปรากฏมีเสียง เอย คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าเสียงไม้มลายคงตกอยู่ในเสียง เอย ไอย อาย เป็นแน่ บางทีจะโอนคำ ไอย ไปใช้ถ่ายเสียงภาษาบาลี จึงต้องสร้างไม้ ใอ ขึ้น แต่เรื่องก็ยังตกอยู่ในการเดา ไม่ตลอดปลอดโปร่งไปได้
ใคร ในคำอธิบายหน้าต้นของพจนานุกรมอาหม–อังกฤษว่า คำที่เขียนหนังสือเป็นกล้ำ แต่เวลาอ่านเป็นไม่กล้ำ ตรงกับที่ตรัสไว้ในคำว่า ใคร และ ใค ครั้นตรวจดูคำที่ให้ไว้ ความกลับตรงกันข้าม คือ เขียนหนังสือเป็นไม่กล้ำ แต่บอกให้อ่านเป็นเสียงกล้ำ เช่น เขียนว่า ไข่ ให้อ่านว่า ไขร่ กิน ให้อ่านว่า กลิน (ในความว่า กลืน ถ้าในความว่า กิน ก็คงเสียงตามตัวหนังสือ) ที่บอกไว้ก็เป็นบางคำ บางคำก็เขียนหนังสือเป็นกล้ำไว้ทีเดียว คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ผู้รวบรวมไม่มีความรู้ในภาษาไทยถิ่นเหล่านี้เพียงพอ จึงจดไว้ไขว้เขวต่าง ๆ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
โฆษณา