เมื่อวาน เวลา 03:44 • ปรัชญา

หลวงพ่อกัสสปมุนี

ผจญ โยคี แดนภารตะ (ต่อ)
บ่ายโมงเศษท่านวิเวกนันทะพาเดินชมภูมิประเทศ เมืองฤาษีเกษ โดยย้อนขึ้นไปทางต้นแม่น้ำคงคา เพื่อเดินดูสถานที่ และภูมิประเทศ ตลอดจนชุมนุมเหล่านักพรต ลัทธินิกายแปลกๆ ภูมิประเทศที่เดินย้อนขึ้นไปทางต้นแม่น้ำนี้ เรียกว่า “ ลักษมัณจุฬา ” มีอาศรมของพวกฤาษีมุนี มีโบสถ์พระศิวะ หรืออิศวรอยู่เชิงเขา ตามริมถนนมีโรงเรียนแถว และสถานีตำรวจประจำถิ่น ทำเลภูมิประเทศเมืองฤาษีเกษ ทางฝั่งซ้ายต้นแม่น้ำคงคานี้ เป็นป่าใหญ่จริงๆ
น้ำในแม่น้ำก็ใสสะอาดเขียวมรกต เย็นยะเยือก ไม่มีรสกร่อยเลย เพราะเพิ่งไหลออกมาจากธารน้ำใหญ่น้อยในภูเขา ริมฝั่งต้นแม่น้ำได้ถูกดัดแปลง ก่อสร้างเป็นปูชนียสถาน มีท่าลงอาบน้ำสนานกายล้างบาป และท่าเรือข้ามฟาก ปูชนียสถานที่ว่านี้มีชื่อ
ต่างๆ กัน ทางฝั่งขวามี ศิวะนันทะอาศรม มีอาณาเขตริมแม่น้ำ และทางหลังด้านถนน มีกุฏิตึกใหญ่น้อยระดะขึ้นไป ทางฝั่งซ้ายมี สำนักสวรรค์อาศรม สำนักปรมาทนิเกตัน กีตะภวัน และสำนักลักษมัณจุฬา เดินเรื่อยไปขึ้นไปสำนักลักษมัณจุฬา อยู่ติดกับแม่น้ำ ส่วนกุฏิของหลวงพ่ออยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำประมาณหนึ่งกิโลเมตร
ขณะนั้นได้เดินสวนทางกับนักพรตหนุ่มคนหนึ่ง พูดภาษาอังกฤษพอใช้ได้ หลวงพ่อได้ถามว่า ขึ้นไปทางภูเขาด้านหลังร้านรวงนี้ มีสำนักฤาษี และโยคีอยู่บ้างหรือไม่ นักพรตหนุ่มตอบว่า บนภูเขาเหนือขึ้นไปมีถ้ำสำนักของฤาษีอยู่หลายแห่ง (คำว่า “ฤาษี” นี้ภาษาฮินดีออกเสียง เรียกว่า “ริชชี”) แต่โดยมากเป็นถ้ำร้าง เพราะเจ้าของย้ายไปอยู่ที่อื่น มีทางพอขึ้นไปได้
เดินเรื่อยมาพักใหญ่ก็ถึงสะพานแขวนข้ามแม่น้ำคงคา กว้างประมาณห้าเมตร ส่วนยาวประมาณร้อยเมตร หัวสะพานทั้งสองข้างทำเป็นเสาสูงหล่อคอนกรีต และโครงเหล็กก่อยันอยู่สองฟากฝั่ง ตัวสะพานลอยแขวนข้าม โดยไม่มีเสายันข้างล่าง โครงสะพานทำด้วยเหล็กแกร่งมาก ไม่มีแกว่งไกว ห้ามเฉพาะรถยนต์ และช้างข้าม ส่วนผู้คนและวัวควาย ข้ามได้สบายมาก ขณะข้ามสะพานนี้ก้มดูพื้นท้องแม่น้ำในฤดูหนาว น้ำไม่มากนักแต่ไหลเชี่ยวมาก กระทบโขดหินใหญ่น้อยดังซ่าๆ สองฝั่งเป็นภูเขาล้อมรอบ ติดกันเป็นพืดทำให้ดูงดงามยิ่ง
หลวงพ่อกัสสป และท่านวิเวกนันทะ เมื่อเข้ามาอยู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ชุมนุมของผู้วิเศษทั้งหลายเชิงเขาหิมาลัย ก็มิได้นิ่งดูดายวางตัวโอ่อ่าแต่อย่างใด คงสำรวมตนอยู่ในจริยาวัตรอันงาม มีการเที่ยวไปทำความรู้จักกับบรรดาโยคีชั้นสวามี และมหาฤาษีตามสำนักต่างๆ ในแดนฤาษีเกษ ตลอดจนพวกนักบวช พราหมิน (ภักดีต่อพระพรหมแน่วแน่) เป็นการผูกมิตรไมตรีสร้างบรรยากาศแห่งความอยู่ร่วมกันโดยสันติ
นักพรต นักบวช โยคี ฤาษี ชีไพร เหล่านี้ บางรูปก็มีอัธยาศัยดี จิตใจใฝ่ธรรมอย่างแท้จริง มีเมตตา และถืออุเบกขา แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นพวกมิจฉาทิฐิ อวดดี ยะโส โอหัง พูดจากระโชกโฮกฮากชอบข่มขู่หลวงพ่อ เพราะเห็นเป็นภิกษุในพุทธศาสนา และโดยเฉพาะเป็นคนไทยซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างผิวพรรณไปจากพวกแขกอินเดีย แต่พอได้ทราบชื่อหลวงพ่อว่า “กัสสปมุนี” รู้สึกว่าทำความประหลาดใจให้แก่พวกฤาษี โยคี อาชีวก ฯลฯ เป็นอย่างมาก ท่าทีอันจองหองทะนงตนก็ลดลงไปแยะ
โยคี ฤาษี บางรูปทะนงตนว่ามีตบะแก่กล้าฤทธิ์เดชมาก เข้ามาหาหลวงพ่อกัสสปที่กุฏิ ใช้กิริยาอันกระด้าง พูดจาข่มขู่โฮกฮาก แต่พอได้ทราบชื่อ กัสสปเท่านั้น ก็พนมมือหรือไม่ก็แตะหน้าผาก ยิ่งมีการโต้ตอบกันด้วยข้อธรรมะ การปฏิบัติทางจิตแล้ว โยคี ฤาษีรุปนั้นยิ่งอ่อนยวบยาบลงไป แสดงความอ่อนน้อมแทบไม่น่าเชื่อ
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ ฉันภัตตาหารแล้ว ท่านวิเวกนันทะได้กำหนดเวลาที่จะเดินทาง กลับเมืองมัดดร๊าส และ จะเลยกลับเมืองไทย ปล่อยให้หลวงพ่อกัสสปอยู่บำเพ็ญเพียรที่ ฤาษีเกษ ตามลำพังอย่างแท้จริงต่อไป
“ต่อไปนี้ หลวงพ่อจะต้องอยู่ในหมู่ฤาษีโยคีแต่ลำพังองค์เดียว แต่ผมเชื่อว่า หลวงพ่อคงจะอยุ่ได้อย่างสบาย” ท่านวิเวกนันทะกล่าวอย่างอาลัย ไม่อยากจะจากไปเหมือนกัน เพราะมีความเคารพรัก เลื่อมใสในหลวงพ่อกัสสปมาก
หลวงพ่อกัสสป ก็ได้ตอบว่า “ท่านอย่าเป็นห่วงผมเลย แผ่นดินทุกแห่งบนโลกนี้ ผมอยู่ได้เหมือนเจ้าของแผ่นดินนั้นเหมือนกัน”
พอบ่ายโมง หลวงพ่อก็ออกจากกุฏิมาส่งท่านวิเวกนันทะ นั่งเรือข้ามฟากไปยังฝั่งศิวะนันทะอาศรม เพื่อไปขึ้นรถไฟ ท่านวิเวกนันทะได้แนะนำหลวงพ่อ ให้รุ้จักกับนักบวชฮินดู ศิษย์ของศิวะนันทะ ชื่อ นิมลานันทะ ผู้ซึ่งมีนิสัยสุภาพเรียบร้อย และสนใจในหลวงพ่อกัสสปมาก นักบวชนิมลานันทะ ได้ถามว่า “ท่านกัสสป สมาธินี้ทำอย่างไรถึงจะถูก ? ”
หลวงพ่อตอบอย่างง่ายๆ พอเป็นสังเขปว่า “ จงกำจัดความนึกคิด และความกังวลเสีย ทำจิตให้สงบเป็นหนึ่ง นี่แหละคือความถูกต้อง ท่านนิมลานันทะ โปรดจำไว้เถอะ”
นักบวชลัทธิฮินดูยกมือขึ้นพนม ใบหน้าแจ่มใสเบิกบาน กล่าวว่า “สาธุ ท่านคุรุจีกัสสป”
ขณะที่นักบวชนิมลานันทะ กล่าวนี้ อยู่ที่ท่าเรือศิวะนันทะ ทำให้บรรดาฤาษี โยคี อาชีวก และผู้คนจำนวนมากที่กำลังมารอลงเรือข้ามฝาก ต่างก็หันมามอง หลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นตาเดียว แสดงความประหลาดใจเป็นล้นพ้น ที่นักบวชชาวไทยร่างเล็ก เป็นพระภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนา ได้รับการนอบน้อมยอมรับ จากนักบวชฮินดูถึงเพียงนี้
หลังจากท่านวิเวกนันทะจากไปแล้ว พอตกเย็นวันนั้นในราว ๖ โมง ท้องฟ้าอากาศเมืองฤาษีชีไพร อันศักดิ์สิทธิ์เชิงป่าหิมพานต์ แดนหิมาลัยประเทศ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ลมพัดดังกระหึ่ม ก้องสะท้อนหุบเขากลับไปกลับมา ท้องฟ้ามืดสนิท ลมพัดกระหน่ำ ผงฝุ่นและใบไม้ปลิวว่อน ต้นไม้ภายในบริเวณกุฏิหักโผงผาง หลวงพ่อกัสสปเห็นท่าไม่ได้การเลยรีบปิดกุฏิ เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงๆ กึกก้องไปหมด
“เอ้อเฮอ... ฝนฟ้าพายุของชมพูทวีปแถบหิมาลัยดุเดือดอย่างนี้เทียวหรือ ?” หลวงพ่อรำพึงขณะเริ่มนั่งเข้าสมาธิในกุฏิอันมืดตื้อ
ทันใด เสียงฟ้าคำรามดังครืนสนั่น แผ่นดินสะเทือนพะเยิบเหมือนมีลูกขุนเขาขนาดใหญ่ กลิ้งอยู่ภายใต้พื้นโลก พริบตานั้น ภายในกุฏิของหลวงพ่อกัสสปก็สว่างจ้าขึ้นเรืองรอง ไม่ใช่แสงฟ้าแลบฟ้าผ่า แต่เป็นแสงที่เกิดขึ้นเอง หลวงพ่อรู้สึกสงสัยจึงลืมตาขึ้นดู ก็พบว่า แสงสว่างนั้นคล้ายแสงอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ แปลกมาก ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหอมระรื่นประหลาด เย็นซ่านตลบอบอวลไปทั้งกุฏิ แสงสว่างอันลึกลับนั้นมองดูคล้ายเป็นสายพุ่งผ่านกันไปมาฉวัดเฉวียน
หลวงพ่อรู้สึกเคลิบเคลิ้มงงงวย บังเกิดความร่มรื่นชื่นใจคล้ายนั่งอยู่ในแดนวิเวกอันเป็นทิพย์ที่ไหนสักแห่ง ได้สูดดมกลิ่นอันหอมเย็นไม่เคยมีในโลก เข้าในช่องจมูกผ่านลงลำคอ ซ่านไปทั่วทรวงอก ออกทางช่องปาก ทำให้อวัยวะภายในทุกส่วนอิ่มเอมแน่วแน่ หลวงพ่อคงนั่งลืมตาเพ่งมองไม่กระพริบ ในอิริยาบถอันสงบอยู่อย่างนั้น แล้วแสงนั้นก็ค่อยๆ เรืองรอง น้อยลงๆ ภายในกุฏิค่อยๆ มืดเข้าๆ ในที่สุดแสงนั้นก็จับอยู่เฉพาะที่ประตูกุฏิ อย่างแพรวพราวชัดเจน อีกครั้งหนึ่งแล้วจึงจางหายไป
หลวงพ่อบอกตัวเองว่า ถ้ายังเป็นฆราวาสอยู่ หากบังเอิญได้เห็นแสงประหลาดมหัศจรรย์เช่นนี้ เราคงตื่นเต้นขนลุกขนพองเป็นแน่ แต่มาสมัยนี้เราเป็นสมณะนักบวช ผู้มีจิตใจมั่นคง ความขนพองสยองเกล้า และความหวาดกลัวใดๆ ได้สูญหายไปจากจิตใจเสียแล้ว ด้วยอำนาจพระธรรม ชำระล้างจิตใจให้ใสสะอาด อา... พระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ช่างมีคุณอนันต์สุดประเสริฐ ต่อเวไนยนิกรสัตว์ ถึงเพียงนี้
จากนั้นหลวงพ่อก็เอนตัวลงจำวัตร เมื่อฝนซาตอนใกล้รุ่ง ตื่นนอนเอา ๗ โมงเช้า อากาศหนาวพอทน ถึงกระนั้นก็ต้องเอาผ้าเช็ดตัวพันศีรษะ เพราะอากาศเย็นถึงคอหอย แล้วจึงออกจากกุฏิไปฉันน้ำชาที่ร้านนายฤาษีราม ห่างจากอาศรมประมาณ ๔๐๐ เมตร บอกให้นายฤาษีรามช่วยหาซื้อไม้กวาด และหาคนช่วยล้างกุฏิให้ด้วย หลวงพ่อทำคนเดียวไม่ไหว เพราะกุฏิยังใหม่ ผงปูน และ ขี้กบยังซุกอยู่ ตามซอกตามมุม และใต้แท่นที่นอน ซึ่งนายฤาษีรามก็รับปากจะจัดการให้ ....
“หลวงพ่อ กัสสปเล่าว่า นายฤาษีรามนี้ ไม่ทราบว่าเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหามาแต่ปางใด ดูแกเคารพ และรักหลวงพ่อมากจริงๆ เอาเป็นธุระให้เกือบทุกอย่าง วันไหนฝนตกไม่หยุด แกก็อุตส่าห์แบกถาดน้ำชาขนมปังมาให้ถึงกุฏิ ให้ลูกชายลูกสาวช่วยกวาดลานบริเวณกุฏิ และตักน้ำทูนหัวมาให้วันละหนึ่งถัง อายุแก ๕๐ เมียอายุ ๔๖ มีลูก ๖ คน คนโตผู้ชายชื่อ พิษณุ อายุ ๑๕ คนที่สองผู้หญิงอายุ ๑๒ ชื่อ บุษบา คนที่สาม
ผู้ชายชื่อ ราเมศร์ คนที่สี่เป็นผู้หญิงชื่อ อันปูรนา คนที่ห้าเป็นชายชื่อ มเหศวร คนที่หกเป็นหญิงชื่อ อุษา เพิ่งสอนคลาน ครอบครัวนี้มีฐานะพอเลี้ยงตัวได้ไม่ยากจนนัก ใส่บาตรหลวงพ่อหลายครั้ง และได้นิมนต์ไปฉันอาหารที่ร้านแกสองครั้ง พอหลวงพ่อนั่งขัดสมาธิ ใช้มือเปิบข้าวเข้าปากแบบแขกอินเดีย แกดูแล้วชอบใจมาก บอกว่าการจับข้าวเข้าปาก หลวงพ่อทำได้ดีกว่าแกมากทีเดียว หลวงพ่อจึงแสดงการหยิบคำข้าวให้แกดู สำหรับเมียของแกนั้น คอยเอาใจใส่ปฏิบัติดูแลจนหลวงพ่อฉันอิ่ม เธอนั่งพนมมือรับพรอนุโมทนา
วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อไม่ได้ไปรับภัตตาหารที่โรงครัว เพราะถึงเวลา ๙ โมงเช้า ฝนเทกระหน่ำลงมาอีก เป็นฝนลูกเห็บก้อนโต ขนาดกำปั้นบ้าง โตขนาดมะนาวบ้าง ฝนลูกเห็บตกลงมาอย่างถล่มทลายน่ากลัวมาก ดีแต่ว่าหลังคาของบ้านเมืองแขก ทำเป็นหลังคาเทปูนแข็งแรง จึงไม่เป็นอันตราย หลวงพ่อต้องปิดประตูหน้าต่างนั่งเข้าสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง อยู่จนกระทั่งบ่ายสี่โมงฝนจึงหยุดตก หลวงพ่อได้นึกถึงแสงสว่างอันเป็นรัศมีประหลาด เมื่อตอนหัวค่ำวานนี้ แล้วจึงได้แผ่ส่วนกุศลอุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของท่านผู้นั้น
วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ปีนั้น เป็นวันเริ่มต้นของศิวาราตรี มีประชาชนชาวอินเดียต่างถิ่นต่างเมือง เริ่มเดินทางจาริกแสวงบุญเข้ามาเป็นทิวแถว บางหมู่ทำเป็นขบวนแห่ เดินขึงธงยาวใหญ่เต็มถนน บางหมู่ก็แบกธงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมสีต่างๆ เดินย่ำเท้าร้องเพลงประสานกันมาดังลั่นถนน ตกตอนบ่ายคนยิ่งเดินกันมากเข้าทุกที หลวงพ่อจึงถามฤาษีชราที่อยู่กุฏิใกล้ๆ ว่า คนมามากอย่างนี้หรือ?
แกบอกว่าคนจะเข้ามาบูชาพระเป็นเจ้า และสนานกายที่ท่าอาบของอาศรมสองฟากแม่น้ำ เป็นเวลา ๑๑ วัน
หลวงพ่อจึงนั่งดูขบวนประชาชนแต่งตัวต่างๆ กัน บางพวกมาจากปัญจาบแต่งตัวไปอย่างหนึ่ง ที่มาจากกุชราษฎร์แต่งตัวไปอย่างหนึ่ง มาจากมัดดร๊าสแต่งตัวไปอย่างหนึ่ง มาจากแคว้นกาลิงคะ และอุตตระกาสีก็แต่งไปอย่างหนึ่ง พวกผู้หญิงเผ่ากาลิงคะนุ่งผ้าโจงกระเบน เห็นรูปก้นเป็นปั้นทีเดียว ผู้คนเหล่านี้อุตส่าห์พากันมาแต่ไกล
เพื่อจาริกแสวงบุญ ขณะที่หลวงพ่อกัสสปนั่งขัดสมาธิ อยู่บนม้าหินหน้ากุฏิดูชมอยู่นี้ พวกประชาชน กลุ่มใหญ่ก็เปิดประตูรั้วเข้ามา ตรงเข้ามากราบหลวงพ่อกัสสป กราบแบบหน้าผากจรดพื้น พวกผู้ชายเอามือแตะแขนหลวงพ่อ แล้วเอาไปแตะที่หน้าผากของตนเช่นเดียวกัน เสร็จแล้วก็ทรุดตัวลงกราบอีก
หลวงพ่อกัสสป ได้ให้พรเป็นภาษาฮินดีอย่างกระท่อนกระแท่นว่า “ตุม ซับบะ ประสันระฮีเย ปีน้ากีชีคดุ๊เค่” แปลความว่า ขอพวกเธอทุกคนจงอยู่เป็นสุข และปราศจากภัย
บางคนก็ยิ้มอย่างชื่นชม บางคนก็พนมมือกล่าวว่า “นมัสการ สวามีจี นมัสการ” แล้วพวกเขาก็พากันเดินออกไป บางคนพ้นประตูออกไปแล้วยังหันกลับมาไหว้อีก
หลวงพ่อก้มมองดูปัจจัยที่พวกเขาบริจาคทาน แล้วรำพึงว่า “นี่แหละคือทานที่ได้โดยชอบในต่างถิ่นต่างแดน เป็นทานที่ปราศจากมลทิน เกิดจากศรัทธาอย่างแท้จริงของผู้บริจาค”
ตอนเย็นวันนั้น หลวงพ่อได้นำเอาปัจจัยทั้งหมดเกือบสองรูปี ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักอาศรม ทำให้เลขานุการของสำนักอาศรมแปลกใจ ถามว่า “ทำไมท่านไม่เก็บเอาปัจจัยที่ศรัทธาบริจาคมาให้นี้ เก็บเอาไว้ใช้อย่างฤาษี หรือสาธุอื่นๆ ?”
“อาตมาไม่ขัดสน อาหารจากโรงทานของอาศรมก็เป็นการเพียงพอแล้ว และ นี้เป็นส่วนของทานที่ได้มา จึงขอมอบให้สำนักไว้ แล้วแต่จะจัดการ” หลวงพ่อกล่าวชี้แจง ทำให้เลขานุการของสำนักอาศรม ยกมือพนมสาธุ ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างจริงใจ
หลวงพ่อได้รับบริจาคทานทำนองนี้ ตลอดเวลาที่บำเพ็ญธรรมอยู่เมืองฤาษีเกษ ได้เงินเป็นจำนวนหลายรูปี ไม่เคยเก็บไว้เลย ได้นำไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของอาศรมเสมอมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ในสำนักอาศรมทุกคน ให้ความคารวะนับถือ คอยช่วยเหลือต่างๆ อยู่เสมอมา
ต่อมาในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่หลวงพ่อกัสสปกำลังล้างบาตร และภาชนะสองสามใบหลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ฝูงชนยังคงเดินหลั่งไหลอยู่ทั่วเมืองฤาษีเกษ ขณะนั้นมีชายกลางคนผู้หนึ่งแต่งตัวเรียบร้อย เปิดประตูเดินตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ แล้วเอ่ยขอน้ำสักหนึ่งขัน หลวงพ่อบอกว่าไม่มีขัน มีแต่ถ้วย ชายคนนั้นก็ว่าขอสักถ้วยเถอะ หลวงพ่อคิดว่าแกเดินทางมาเหนื่อยคงจะมาขอน้ำกิน จึงได้เดินไปตักน้ำมาส่งให้ แกรับน้ำแล้วก็รีบเดินหันหลังกลับออกไป เอาน้ำไปส่งให้กับผู้หญิงแก่คนหนึ่ง พอยายนั่นรับถ้วยน้ำได้ ก็รีบเดินหายเข้าไปในป่า
หลวงพ่อนึกเอะใจร้องในใจว่า “ตายละวา เจ้าหมอนั่นเอาถ้วยน้ำอาตมา ไปให้ยายแก่นั่นล้างก้นแน่ๆ ”
สักครู่ยายแก่นั่นก็กลับออกมาจากป่าส่งถ้วยคืนให้เจ้าหมอนั่น แล้วหมอนั่นก็รีบเอาถ้วยมาส่งคืนให้หลวงพ่อ ซ้ำยังขอกินน้ำอีกสักถ้วย หลวงพ่อจึงเอาถ้วยใบนั้นแหละตักน้ำในถังส่งให้ แต่หมอไม่รับ กลับทำมือห่อจรดเข้าที่ปาก บอกให้เทน้ำลงในมือของแก หลวงพ่อก็ทำตาม ชายคนนั้นจึงเอามือรับน้ำหยอดใส่ปากตัวเองดื่ม แสดงว่าประเพณีของพวกเขา คงเป็นอย่างนั้นเอง เป็นอันว่าถ้วยน้ำใบนั้น หลวงพ่อเลยไม่กล้าใช้ จึงเอาไว้ตักน้ำล้างเท้าต่อไป
ในราวบ่ายสามโมง มีสามีภรรยาครอบครัวหนึ่ง พร้อมทั้งพ่อตาแม่ยายและลูกชายอายุ ๑๒ ปี ชื่อราเชนทร์ ได้พากันเข้ามาหาหลวงพ่อกัสสปที่กุฏิ เสื้อผ้าการแต่งตัวแสดงถึงฐานะอันมั่นคง เมื่อได้เข้ามา และแสดงคารวะอย่างนอบน้อมแล้ว ก็บอกว่า
เขาชื่อนายมหลตรา และภรรยา เด็กคนนี้เป็นบุตรชายคนโต และบุรุษและสตรีชราทั้งสอง เป็นพ่อตาแม่ยายของเขา สำหรับนางมหลตราใบหน้าสวยยิ้มเสมอ รูปร่างค่อนข้างอ้วน นั่งขัดสมาธิลงกับพื้นซีเมนต์ โดยไม่คำนึงถึงว่าเสื้อผ้าอันสะอาดงามของแกจะเปื้อน ส่วนเด็กชายราเชนทร์นั้น ยืนมือไขว้หลังดูหลวงพ่ออยู่อย่างสนใจ
นายมหลตราถามว่า “ท่านมาจากไหน เป็นสาธุของลัทธิใด เพราะผมเห็นกิริยาอาการของท่าน แปลกกว่าพวกฤาษีและสาธุที่นี่”
หลวงพ่อกัสสปได้ตอบให้แกทราบอย่างไม่ปิดบัง ทำให้นายมหลตราและภรรยาแปลกใจ และพอใจมาก สำหรับพ่อตาและแม่ยายขออนุญาตเข้าไปในกุฏิเพื่อดูชม ครั้นเมื่อได้เห็นกลดธุดงค์แขวนอยู่ และบาตรใหญ่ที่วางไว้บนหิ้งชั้นกลาง แกได้ไต่ถามว่า ของเหล่านี้ใช้สำหรับทำอะไร? ซึ่งหลวงพ่อก็ได้อธิบายให้เป็นที่เข้าใจทุกประการ ทำให้ทุกคนพอใจ และเลื่อมใสมาก
ผู้เป็นพ่อตาได้ถามว่า “ทำอย่างไรจึงจะทำใจให้เป็นสมาธิได้ ?”
“จงทำใจของท่านให้ดับจากความขุ่นเคือง ดับจากความครุ่นคิดถึงสิ่งใด รักษาอารมณ์ของใจให้สงบนิ่ง มีสติรู้สึกตัว ทำได้อย่างนี้เมื่อใด เมื่อนั้นใจท่านอยู่ในสมาธิแล้ว”
“จริงสินะท่านภิกขุ จริงอย่างที่ท่านพูด ผมจะพยายามกระทำอย่างที่ท่านแนะนำ” ชายชราพูดเสียงแจ่มใส ส่วนหญิงชราได้แต่พนมมือ
นางมหลตราถามว่า “อย่างดิฉันและคุณผู้ชายนี่ จะทำได้ไหม?”
“ได้ซิ แม้แต่พ่อหนูราเชนทร์ก็สามารถจะกระทำได้ ถ้าตั้งใจจริง” หลวงพ่อตอบพลางเอื้อมมือไปจับแขนเด็กน้อยดึงเข้ามาใกล้ ซึ่งแกก็ไม่ขัดขืน หน้าตาท่าทางแกน่ารัก นางมหลตรามองดูหลวงพ่อด้วยแววตาสดใส ส่วนนายมหลตรายืนยิ้ม
นางมหลตราบอกว่า “ราเชนทร์นี่ดื้อจริงๆ ค่ะท่านกัสสป จะสั่งให้ทำอะไรก็มักจะโกรธขัดขืนอยู่เสมอ ท่านช่วยเตือนหน่อยซิคะ ว่าแกควรจะทำอย่างไร”
“อันธรรมดานั้น ลูกย่อมผูกพันกับแม่และพ่อ ถ้าเป็นคำพูดคำเตือนของพ่อและแม่แล้ว ลูกก็ไม่ปรารถนาจะขัดขืน ฉะนั้นถ้าพ่อและแม่รู้จักอัธยาศัยของลูก รู้ธาตุแท้ของลูก ให้คำเตือนสั่งสอนว่ากล่าว ให้ถูกกับอัธยาศัย และธาตุแท้ของเขาแล้ว เขาจะไม่ดื้อดึงขัดขืนเลย มีแต่เพิ่มพูนความรักความผูกพัน ในพ่อแม่ยิ่งขึ้น จริงไหมราเชนทร์ ?” หลวงพ่อกล่าว พลางหันไปถามหนูน้อยอย่างปรานี ซึ่งราเชนทร์ได้มองดูหลวงพ่ออย่างยิ้มแย้มถูกใจ
“ท่านจะกลับเมืองไทยเมื่อใด?” นายมหลตราถาม
หลวงพ่อได้ตอบให้ทราบ จะออกจากเมืองฤาษีเกษในวันที่ ๑๐ เมษายน จะไปพักที่สำนักชาวพุทธซีลอน ที่กรุงเดลลีก่อนสัก ๒-๓ วัน แล้วจึงจะไปกัลกัตตาขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย ซึ่งนายมหลตราได้บอกว่า เขาจะไปรอพบหลวงพ่อที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นได้ถวายปัจจัยไว้เป็นเงิน ๑๐ รูปี ก่อนอำลาจากไป พวกนักพรต นักบวช ลัทธินิกายต่างๆ ในเมืองฤาษีเกษ ได้ถูกคหบดีชาวอินเดียผู้มั่งคั่งนิมนต์เลี้ยงอาหาร
อยู่เสมอ โดยแจกสลาก แต่เป็นการเลี้ยงในตอนเย็น หลวงพ่อกัสสปฉันอาหารตอนเช้ามื้อเดียว จึงได้มอบสลากนั้นให้กับเพื่อนฤาษีรูปอื่นไปแทน นั่นแสดงว่าผู้ที่มีใจศรัทธาในศาสนานั้น มีอยู่ทุกแห่งไม่ว่าประเทศใด พวกเขาหวังประกอบการกุศล เพื่อเป็นเสบียง และกำลังอุดหนุนค้ำชูตน ทั้งภพนี้และภพหน้า นับว่าชนเหล่านี้เป็นสาธุชน เป็นกัลยาณชนที่ควรคบหาสมาคมด้วย
อนึ่ง การที่หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้เข้ามาอยู่ในท่ามกลางกลุ่มฤาษี และโยคีใหญ่น้อยในเมืองฤาษีเกษอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ยิ่งนานวันเข้า หลวงพ่อได้ตกเป็นเป้าเพ่งเล็ง ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ประกอบกับอากาศหนาวเริ่มจางไป และอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บรรดาฤาษีผู้สูงอาวุโส ได้ทยอยกันกลับมาบำเพ็ญธรรมที่เมืองฤาษีเก
ษมากหน้าหลายตา บางครั้งหลวงพ่อกัสสปนั่งสมาธิอยู่เงียบๆ ก็มีฤาษีและโยคีบางรูปได้เข้ามาที่กุฏิถามด้วยเสียงอันดัง บางคนทำท่าจะก้าวเข้าไปในกุฏิอย่างล่วงเกินดูหมิ่น หลวงพ่อต้องร้องห้ามไว้จึงชะงักอยู่แค่ประตู มีฤาษีโยคีหลายรูปถามเป็นเชิงขู่ตะคอกว่า หลวงพ่อมาจากไหน? มีฐานะสำคัญอย่างไร ? จึงได้มาอยู่ในสถานที่แห่งนี้
หลวงพ่อก็ตอบไปว่า “อาตมาภาพมาจากเมืองไทย ดินแดนพระพุทธศาสนา เข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ให้ไปถามผู้จัดการอาศรมดูก็แล้วกัน พวกท่านเห็นอย่างไร ที่เราเข้ามาอยู่ที่นี่ ท่านรังเกียจเราหรือ ?”
ก็ได้รับคำตอบพร้อมกับโคลงศีรษะว่า “ก็ไม่เห็นอย่างไร เราจะไปรังเกียจทำไม” ว่าแล้วก็ทำท่ายกไม้ยกมือขึ้นชู เปล่งเสียงว่าโองการ เกือบเป็นเสียงตะโกนว่า “โห โห โอม...นารายณ์...นารายณ์...โอม” แล้วเดินปึงปังออกไป แต่อีกหลายคนไม่ยิ้ม มีแต่มองถมึงทึงแสดงความไม่เป็นมิตร
เช้าวันหนึ่ง หลวงพ่อเดินจงกรมชักลูกประคำคอภาวนาอยู่ มีอุบาสกผู้หนึ่งแต่งตัวสะอาดโอ่โถงเข้ามาฟุบหมอบกราบอยู่ตรงหน้า หลวงพ่อจึงถามว่า “สุขีระฮีเย่ อุปาสะกะ ท่านมีกิจอะไรหรือ?”
อุบาสกผู้นั้นลุกขึ้นพนมมือ ถามอาตมาภาพเป็นภาษาอังกฤษว่า “ขอประทานอภัย ท่านเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาใช่ไหมครับ?”
“ใช่...อุบาสก”
“ท่านมาแต่ไหนครับ ?”
“มาจากเมืองไทย” หลวงพ่อตอบ
อุบาสกผู้นั้นทรุดตัวลงกราบ ที่หลังเท้าหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนพนมมือ “กระผมนึกไม่ผิด ว่าท่านต้องเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา กระผมได้ออกเดินทุกเช้า และยืนดูท่านที่ริมรั้วทุกวัน ท่านก็ไม่มองออกไป วันนี้จึงตัดสินใจเข้ามากราบเท้า กระผมชื่อซิบรามโสบั๊ด เป็นข้าราชการประจำประเทศพม่า ๑๐ กว่าปี จนพม่าได้รับเอกราช กระผมจึงถูกเรียกตัวกลับอินเดีย และเดี๋ยวนี้ได้ถูกปลดจากข้าราชการ รับเบี้ยบำนาญ เพราะอายุมากแล้ว”
“ขอบใจท่านอุบาสก จงเรียกอาตมาภาพว่า กัสสปมุนี ท่านพักอยู่ที่ไหน ?”
“กระผมมาแสวงวิเวกกับภรรยา พักอยู่ที่ปรมาทนิเกตันนี่เองครับ กระผมดีใจอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน” นายซิบรามโสบั๊ดว่าแล้ว ก็กราบจนหน้าผากจรดพื้นสามครั้ง แล้วควักปัจจัยถวาย ๑๐ รูปี จากนั้นก็กล่าวคำอำลานมัสการจากไป พอตกตอนเย็นนายซิบรามโสบั๊ด ได้พาใครต่อใครมาอีก ๒-๓ คน เข้ามานมัสการหลวงพ่อกัสสปอีก ด้วยการก้มลงสองมือจับข้อเท้าหลวงพ่อไว้ แล้วใช้ปากจุ๊บที่หลังเท้า อันเป็นการแสดงความเคารพ ยิ่งไปกว่าเมื่อเช้า ส่วนบุคคลนอกนั้น มีสุภาพสตรีอายุอยู่ในวัยเดียวกันได้คุกเข่าลงกราบ
“กระผมได้กลับไปเล่าเรื่อง ที่ได้พบท่านกัสสปเมื่อเช้านี้ให้ภรรยาฟัง เธอทราบเรื่องแล้วก็อยากจะมาเห็นท่าน เพราะเราไม่ได้พบพระภิกษุมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ออกจากประเทศพม่ามา กระผมสองคนผัวเมียได้ปรึกษากัน ตกลงว่าจะขอปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐากท่านกัสสปมุนี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จึงได้ชวนเพื่อนอีกสองคนมาเป็นพยานด้วย” นายซิบรามโสบั๊ดกล่าว
หลวงพ่อได้กล่าวอนุโมทนาในกุศลจิตของสองผัวเมียชาวอินเดีย แล้วการกล่าวคำปวารณาตัว เป็นโยมอุปัฏฐากตลอดชีวิตของสองผัวเมียก็ได้กระทำขึ้น ณ บัดนั้น นายซิบรามโสบั๊ดกล่าวว่า “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ท่านไม่ต้องไปรับอาหารที่โรงครัวทานอีกแล้ว กระผมจะนำมาส่งให้ทุกเช้า โดยจะทำอาหารสับเปลี่ยนกัน คือเป็นอาหารจาปาตีวันหนึ่ง และเป็นอาหารข้าวสุกวันหนึ่ง”
“โยมอย่าลำบากเลย เพราะอยู่ไกล อาหารทางโรงครัวทาน เป็นอาหารประจำ ก็พอแก่ความเป็นอยู่ของอาตมาภาพแล้ว”
“อาหารโรงครัวทานไม่ค่อยเปลี่ยน ทำไม่ค่อยดีนัก ท่านกัสสปอย่าคิดอะไรเลย เป็นหน้าที่ของดิฉันและคุณผู้ชายเองจะจัดทำ ตอนเช้าเราเดินทุกเช้าเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ลำบากอะไร" ผู้ภรรยากล่าว ซึ่งฝ่ายสามีก็รับรอง หลวงพ่อเลยต้องนิ่งโดยดุษณีภาพ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ความเป็นอยู่ของหลวงพ่อที่เมืองฤาษีเกษ ก็ดีขึ้นเหมือนกับอยู่เมืองไทย ไม่ต้องไปยืนเข้าคิว และถูกแซงคิวที่โรงครัวทาน
หลวงพ่อพูดถึงการแซงคิวให้ฟังว่า วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังยืนเข้าคิว รอรับแจกอาหารทานอยู่นั้น ได้มีเจ้าโยคีคนหนึ่ง นุ่งเตี่ยวห่มขาวหนวดเครารุงรัง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเป็นกระเซิงสะพายย่ามถือไม้เท้า เดินแซงพรวดเข้ามายืนบังหน้าหลวงพ่อไว้ แล้วหันหน้ามามองหลวงพ่อ ทำท่ายียวน แต่พอดีผู้จัดการสำนักอาศรมยืนดูอยู่ เพื่อความเป็นระเบียบ ได้เอามือชี้หน้าโยคีตวาดว่า “ถอยออกไป ไม่รู้ระเบียบหรืออย่างไร ถอยไป”
เจ้าโยคีไม่มีมารยาทนั่นทำหน้าล่อกแล่ก รีบถอยกรูดหนีไปอยู่ท้ายแถวโดยเร็ว ทำให้หลวงพ่อกัสสปต้องรำพึงว่า “นี่แหละฤาษีก็ฤาษี โยคีก็โยคีเถอะ ถ้ามันยังมีความอยากอยู่ตราบใด ก็แสดงออกซึ่งกิเลสในxxxตราบนั้น” ….
นับตั้งแต่บัดนั้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว หลวงพ่อก็จะเก็บอาสนะ แล้วขึ้นทางด้านหลังกุฏิ ลัดเลาะขึ้นไปตามทางบนภูเขา ไปประมาณ หนึ่งชั่วโมง แล้วหลบเข้าไปเจริญสมณธรรมอยู่ในหลืบเขา ปกคลุมด้วยดงมะม่วง และมะตูม มะขามป้อม เป็นที่เงียบวังเวงยิ่งนัก แต่งูชุกชุมมาก แต่มันก็ไม่ได้สนใจหลวงพ่อแต่อย่างใด บ่าย
วันหนึ่ง โยม ซิบรามโสบั๊ด และภรรยา ได้นำดอกไม้ธูปเทียน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่มแบลงเก็ต พร้อมทั้งผ้าเช็ดเท้า และไม้กวาดแข็งมาถวาย มีโยคี ฤาษี และอาชีวกหลายรูป ยืนชุมนุมกันจ้องมองดูอยู่นอกรั้ว พลางเอียงหน้าเข้าซุบซิบกัน ครั้นพอโยมซิบรามโสบั๊ด และภรรยากลับไปแล้ว พวกฤาษีโยคี และอาชีวกเหล่านั้น ได้พากันเข้ามายืนล้อมหลวงพ่อไว้ แล้วตะคอกถามว่า “คนทั้งสองนั่นเป็นอะไรกับสาธุ เขามาทำอะไรให้ ?”
หลวงพ่อกัสสปมุนี มองหน้าพวกฤาษี และโยคี แต่ละคนด้วยอาการสงบ ไม่โกรธ ไม่รัก ไม่ชัง เพียงรู้สึกเฉยๆ ท่านได้ตอบไปเรียบๆ ว่า “ไม่ได้เป็นอะไรกะเรา เป็นแต่เพียงเขาคอยช่วยเหลือ ปฏิบัติเราด้วยความเคารพนับถือ พวกท่านเห็นแล้วจะถามทำไม ?”
เมื่อได้ยินคำตอบเฉยเมยเช่นนี้ พวกฤาษีโยคีเหล่านั้นต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก พอดีมีพวกประชาชนชาวอินเดียจากรัฐต่างๆ พากันแห่เข้ามาไหว้ หลวงพ่อกัสสปมุนี เพราะยังอยู่ในระหว่างวันพิธีศิวาราตรี เลยทำให้พวกฤาษีโยคีเหล่านั้น ผละจากไปอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไปรีๆ รอๆ อยู่ที่ประตูรั้ว ยิ่งได้เห็นประชาชนอินเดียหลั่งไหลมา
ไหว้ หลวงพ่อกัสสปมุนี แล้วยังเอาสตางค์ถวายให้อีกด้วย พวกฤาษีโยคีเหล่านั้น ก็พากันชะเง้อมองเป็นการใหญ่ แล้วเที่ยวได้แบมือขอสตางค์จากประชาชนบ้าง ประชาชนบางคนก็ให้สตางค์แก่พวกฤาษีโยคีเหล่านั้นบ้าง ไม่ให้บ้าง แสดงความรังเกียจบ้าง ดูๆ ไปก็แปลก รู้สึกว่ากิริยาท่าทางของพวกฤาษีโยคีเหล่านี้ เหมือนไม่เต็มเต็ง
หลวงพ่อกัสสปมุนีครุ่นคิดว่า เรามาอยู่ในต่างถิ่น ท่ามกลางพวกนักพรตโยคีฤาษีชีไพร นิกายแปลกๆ เช่นนี้ หากเราสงบสำรวมไม่แสดงสิ่งที่ปกปิดไว้นานแล้ว หมายถึงอานุภาพของพุทธศาสนา ให้พวกมิจฉาทิฐิเจ้านิกายแปลกพิสดารเหล่านี้ ได้รู้เสียบ้าง เห็นทีเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้อย่างสงบสันติเสียแล้ว ฉะนั้นเพื่อความสวัสดีแก่เราเอง ทั้งบัดนี้และกาลต่อไป เราควรออกไปต่อสู้กับฤาษีโยคีเจ้าของถิ่น ให้รู้แจ้งแดงแจ๋กันเสียที
ในตอนประมาณ ๖ โมงเย็นวันนั้น ภายหลังที่หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้นำปัจจัยที่ได้จากการบริจาคทาน ไปมอบให้กับสำนักงาน ดำเนินกิจการอาศรมแล้ว หลวงพ่อกัสสปก็กลับมาเดินจงกรม อยู่ที่ลานดินหน้ากุฏิที่พัก โดยชักลูกประคำภาวนาไปเรื่อยๆ “ลูกประคำ” นี้ ภาษาฮินดีเรียกว่า “หม่าลัย” คล้ายสำเนียงไทยๆ เราว่า “มาลัย”
ขณะนั้นได้มีโยคีหนุ่มชาวอินเดียสองคน ได้เข้ามาหยุดยืนขวางหน้าหลวงพ่อกัสสปไว้ ทำให้ท่านต้องหยุดชะงักเดินจงกรม เงยหน้าขึ้นถามเป็นภาษาอังกฤษว่า “มีธุระอะไร ?”
โยคีหนุ่มกล่าวตอบว่า “ท่านมหาฤาษีอาจารย์ของผม ให้มาเชิญท่านไปพบหน่อย”
“มหาฤาษีของเธอชื่ออะไร ?” หลวงพ่อกัสสปจ้องหน้าถาม “อยู่ไกลแค่ไหน ?”
โยคีหนุ่มทั้งสองตอบว่า “ท่านอาจารย์ของผมชื่อ รามด๊าส ขณะนี้กำลังนั่งชุมนุมอยู่กะศิษย์ทั้งหลาย บนลานหินกว้างอันศักดิ์สิทธิ์กลางแม่น้ำคงคา อยู่เหนือสะพานแขวน ลงไปไม่มากนัก”
“แล้วมีธุระอะไร ?”
“ไม่ทราบครับ”
“ให้อาตมาไปเดี๋ยวนี้รึ ?”
“อย่างนั้นครับ”
“ถ้าอาตมาไม่ไป ?”
“โอ... ถ้าท่านกัสสปไม่ไป ท่านมหาฤาษีรามด๊าส และพวกเราเหล่าสานุศิษย์ทั้งหลาย ที่ชุมนุมคอยอยู่ที่โน่น จะเสียใจกันมากทีเดียวครับ” โยคีหนุ่มทั้งสองพูดละล่ำละลัก
หลวงพ่อกัสสปมุนียิ้มให้ด้วยไมตรี พลางถามเป็นนัยๆ ว่า “เธอสองคนสามารถเดินตามอาตมาทันรึ ?”
โยคีหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง แต่ก็กล่าวตอบว่า “นมัสเต้”
หลวงพ่อกัสสปมุนี ยิ้มฉันท์เมตตาจิตน้อยๆ เก็บสายประคำแล้วเข้าไปเอาย่าม และไม้เท้าในกุฏิจัดแจงปิดประตูใส่กุญแจให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเชิญชวนให้โยคีหนุ่มทั้งสองตามไป
พอก้าวพ้นประตูรั้ว หลวงพ่อกัสสปมุนีได้หันมาพูดยิ้มๆ กับโยคีทั้งสองเป็นนัยๆ อีกครั้งว่า “ เธอทั้งสองเดินตามอาตมาให้ทันนะ ! ”
“นมัสเต้” ทั้งสองกล่าวรับ
หลวงพ่อกัสสปมุนี กำหนดจิตด้วยความชำนาญในชั่วขณะจิต จิตวูบเข้าสู่ปฐมฌานเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ใช้ปฐมฌานเป็นบาทฐาน ออกจากปฐมฌานในแวบเดียวของขณะจิต เข้าสู่อากาศธาตุในแวบจิตเดียว ทำร่างกายให้เบาดุจปุยนุ่น หรือละอองสำลี ! อธิษฐานจิตให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปดุจลมพัด แล้วออกก้าวเดินช้าๆ ตามปกติในสายตาปุถุชน โยคีหนุ่มทั้งสองออกเดินตาม รู้สึกว่าหลวงพ่อเดินตามธรรมดา โยคีทั้ง
สองกลับก้าวตามไม่ทัน จนต้องออกจ้ำอ้าวแทบกลายเป็นวิ่ง แต่ก็ไม่สามารถตามหลวงพ่อได้ทัน สร้างความประหลาดใจให้โยคีหนุ่มทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อกัสสปมุนีไปยืนรอโยคีหนุ่มทั้งสอง อยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เลยสะพานแขวนไปประมาณ ครึ่งกิโลเมตร ห่างจากลักษมัณจุฬา ประมาณกิโลเมตรเศษ หลวงพ่อกัสสปยืนรออยู่เกือบ ๒๐ นาที โยคีทั้งสองจึงได้ตามมาถึง ในอาการหอบเหนื่อยอย่างแรง เพราะต้องเดินจ้ำอ้าว คล้ายวิ่งตามหลวงพ่อมาตลอดทาง
“โอ... ท่านกัสสปเดินยังไง ถึงได้รวดเร็ว น่ามหัศจรรย์แท้ ?” โยคีหนุ่มทั้งสองถามพลางหายใจกระหืดกระหอบด้วยความเหนื่อย
หลวงพ่อกัสสปมุนี กลับถามว่า “ไหนที่อาจารย์ของเธอรออยู่ พาอาตมาไปซิ ?”
โยคีทั้งสองรีบชิงกันเดินนำหน้า ลงไปตามริมตลิ่งแม่น้ำอันสูงชันมาก พอลงไปถึงก็ต้องก้าวข้ามโขดหินเป็นระยะ ไปในแม่น้ำอันไหลเชี่ยวกรากน่ากลัว หลวงพ่อกัสสปมุนี ก้าวตามไปอย่างสงบไม่ยินดีไม่ยินร้ายใดๆ มองไปข้างหน้าในความมืดกลางแม่น้ำคงคา ตรงพลาญหินกว้างก้อนใหญ่กลางแม่น้ำ เห็นกองไฟลุกส่องแสงสว่างโชติช่วง ชุมนุมไว้ด้วยเหล่าฤาษี โยคี และพวกพราหมมิน นั่งล้อมเป็นหมู่ๆ จำนวนมากมาย
หลายสิบคน พอเข้าไปใกล้ก็เห็นมหาฤาษีชราร่างใหญ่อ้วนคนหนึ่ง เกล้าผมเป็นมวยสูง หนวดและเครายาวเป็นพุ่ม คิ้วดกหนา ห่มผ้าสีเหลืองหม่นเฉวียงบ่า กิริยาที่นั่งเป็นสง่ามาก ไม่มองดูหลวงพ่อกัสสปมุนีเลย คงนั่งหลับตาก้มหน้านิดหนึ่ง สองมือท้าวหัวเข่า โยกตัวไปข้างหน้า และข้างหลังอย่างช้าๆ ตรงหน้ามีกองไฟขนาดเขื่อง ลุกเป็นเปลวโชติช่วง บรรดาพวกที่เป็นสานุศิษย์ นั่งห้อมล้อมอยู่นั้นต่างพากันหันมามองหลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นตาเดียว แต่มิได้กล่าวคำเชิญใดๆ
หลวงพ่อกัสสปมุนีสังเกตดูพบว่า ตรงข้ามกับมหาฤาษีรามด๊าสผู้ยิ่งใหญ่ มีกองไฟคั่นกลางนั้น มีอาสนะแบบเสื่อกกปูไว้ผืนหนึ่ง เข้าใจได้ทันทีว่า นั่นคืออาสนะที่มหาฤาษีรามด๊าส จัดไว้สำหรับให้หลวงพ่อกัสสปมุนีนั่ง อย่างไม่ลังเล หลวงพ่อกัสสปมุนีก้าวตรงเข้าไปดึงเอาอาสนะส่วนตัวออกจากย่าม แล้วปูทับลงไปบนเสื่อของเจ้าภาพ
ทำให้พวกสานุศิษย์มหาฤาษี จ้องมองอย่างประหลาดใจ ตาไม่กระพริบเลยทีเดียว แต่หลวงพ่อกัสสปมุนีไม่ได้เอาใจใส่ จึงทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิ ตรงข้ามกับมหาฤาษีรามด๊าสอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของพวกฤาษีโยคี และพราหมมิน และบรรยากาศอันเย็นยะเยียบของแม่น้ำคงคา ขอบป่าหิมพานต์อันวิเวกวังเวงใจ เป็น
อันว่าตอนนี้กองกูรณ์อัคคีใหญ่ ลุกโชติช่วงร้อนแรงกล้า อยู่ท่ามกลางระหว่าง หลวงพ่อกัสสปมุนี และมหาฤาษีรามด๊าส โดยมีพวกสานุศิษย์ของมหาฤาษีนั่งล้อมอยู่ทั้งสองด้าน บรรยากาศเงียบสงัดน่าสะพรึงกลัว แต่ลมพัดอู้รุนแรง เสียงกระแสน้ำคงคาไหลเชี่ยว กระแทกโขดหินดังอยู่ตลอดเวลา เป็นที่น่าประหลาดว่า ไฟโชติช่วงในกองกูรณ์ ได้ลุกพลุ่งโพลงขึ้นไปบนท้องฟ้าในความมืด เป็นลำไฟขนาดใหญ่ตั้งตรง
ดุจลำเสาแดงฉาน แน่วแน่ไม่ไหวติง แผ่ความร้อนอันรุนแรงกระจายไปทั่ว แสงสว่างเต็มพลาญหิน และพื้นน้ำคงคา กระแสลมพัดอู้ไม่สามารถทำให้ลำแสงไฟขนาดใหญ่นั้นไหวติงเลย ต่อเมื่อมหาฤาษีรามด๊าส โยกตัวไปข้างหน้า และข้างหลังอย่างช้าๆ นั่นแหละ ลำแสงไฟจึงเคลื่อนไหวพุ่งสูงขึ้นไปทุกที ลมยังคงพัดอู้ไปทิศทางตรงกันข้าม แต่ทันใดลำเปลวไฟสูงลิ่วนั้นได้ถูกมหาฤาษีบังคับให้สวนทางลม ตวัดโค้งมายังหลวงพ่อกัสสปมุนี เปลวไฟร้อนแรงกล้าแทบจะเผาไหม้ร่างหลวงพ่อทีเดียว
หลวงพ่อกัสสปมุนีรู้ได้ในฉับพลันว่า เขาเชิญมาทดลองวิชาเพื่อพิสูจน์ว่าฝ่ายใดจะแน่กว่ากัน และบัดนี้เขาได้เริ่มทดลองแล้ว โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำของเขาด้วยการบังคับลำแสงไฟมา จะให้เผาไหม้เรานี้ เป็นการประกาศอยู่ในตัวว่า เขาจะกระหนาบเราให้เห็นอำนาจของเขา ว่าเหนือกว่าพุทธศาสนา แล้วก็จะข่มเราในภายหลัง ถ้าเราไม่มีอะไรเหนือเขา หรือมีเพียงเสมอกับเขา เราก็จะอยู่ในแดนฤาษีเกษเชิงภูเขาหิมาลัยป่าหิมพานต์ ได้อย่างไม่ปกติสุขสงบราบรื่นแน่ๆ เขาจะต้อง
คอยข่มขู่ดูหมิ่นบีบบังคับให้เราตกเป็นเบี้ยล่างตลอดไป หลวงพ่อกัสสปมุนีรำพึงในใจว่า เมื่อเราอยู่เมืองไทย ก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ได้สำแดงอะไร เพราะเรามีอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ต้องเคารพ แต่เมื่อเราย่างเหยียบเข้ามาสู่ต่างแดน ต่างลัทธินิกายศาสนาเช่นนี้ เมื่อเห็นสมควรว่าจะสำแดง เพื่อความสงบสวัสดีก็พึงสำแดงเถิด ธรรมดาพญานาคราช หรือ พญากุมภีร์จะเป็นใหญ่ในถ้ำที่สถิตย์ อย่างมีสง่าทรงอำนาจนั้น ย่อมจะต้องถึงพร้อมด้วยอิทธิที่มีอยู่ในกาย
เมื่อคิดรำพึงได้แล้วเช่นนี้ หลวงพ่อกัสสปมุนีจึงน้อมจิตรำลึกถึง พระพุทธคุณ พระอริยสาวกานุภาพ ตลอดทั้งไตรสิกขานุภาพ และทั้งเทพยดาผู้ติดตามรักษา พลางเพ่งสายตาจับอยู่ที่กองไฟมหึมา ที่กำลังลุกโชติช่วงสูงตระหง่าน ปานต้นไม้ไฟขนาดใหญ่ ส่งเสียงลุกฮือกระหึ่มคล้ายเสียงปิศาจร้าย คุกคามจะเอาชีวิตก็ปานนั้น หลวงพ่อกัสสปมุนีจึงระงับจิตรวมสงบเข้าสู่ ปฐมฌานเป็นบาทฐาน ออกจากปฐมฌานเข้าสู่อากาศสมาบัติ แล้วอธิษฐานจิตประมวลอากาศธาตุ เข้าตัดลำแสงไฟนั้นให้ลดวูบลงมาครึ่งหนึ่งในพริบตา
เพื่อทดลองกำลังจิตอิทธิของมหาฤาษีรามด๊าส จะไปถึงขั้นไหน เจตนาของหลวงพ่อ มิใช่เป็นการปฏิบัติเพื่อรุกราน แต่ปฏิบัติครั้งนี้เพื่อการปะทะ และระงับความหลงผิดมิจฉาทิฐิ ของพวกมหาฤาษีเท่านั้นเอง เมื่อกระแสลำแสงไฟอันโชติช่วงสูงตระหง่านถูกบังคับให้ลดวูบลงมากึ่งหนึ่ง มหาฤาษีรามด๊าสทำอาการคล้ายสะดุ้งนิดหนึ่ง แต่ยัง
นั่งตัวตรงหลับตาอยู่ ปากภาวนามนตรามหาเวทอยู่ในลำคอไม่ขาดระยะ ร่างกายเบ่งพองขึ้นแสดงถึงการเร่งพลังจิตกำลังภายใน ตามลัทธิโยคีมุนีไพร ของตนอย่างเต็มที่ หลวงพ่อกัสสปมุนี จึงลองถอยอากาศสมาบัติออกเป็นช่องว่างดู ก็ปรากฏว่าลำแสงไฟได้พวยพลุ่งขึ้นฟ้าไปอีก ตามอิทธิพลังจิตสาธยายมนต์ของมหาฤาษีรามด๊าส ทำให้มหาฤาษีรามด๊าสมีสีหน้าปีติลิงโลดใจ จึงเร่งภาวนาใหญ่บังคับลำแสง
ไฟด้วยการโยกตัวไปมา ทำให้ลำแสงไฟแผ่กว้างโค้งวูบเข้ามาหาหลวงพ่อกัสสปมุนี เพื่อจะให้ไฟเผาผลาญร่างกาย แสงไฟใกล้เข้ามาห่างระยะประมาณหนึ่งวา หลวงพ่อกัสสปมุนีจึงบังคับ อากาศสมาบัติในฉับพลัน อากาศตัดลำแสงไฟของมหาฤาษีวูบวาบลงต่ำจนติดกองไฟ มีเปลวแสงนิดหน่อยเท่ากับไฟแลบก้นหม้อเท่านั้น ครั้นแล้วหลวงพ่อก็ประมวลสรุปอากาศสมาบัติกดประทับกองไฟ ให้ดับวูบมอดสนิทไปหมดสิ้น แม้แต่ควันก็จางหายไปด้วยในพริบตา
มหาฤาษีรามด๊าส สะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว ผงะแทบหงายหลังด้วยความตะลึงลานตื่นตระหนก หายใจดังฟืดฟาดกระหืดกระหอบ คล้ายวัวควายเหน็ดเหนื่อย ทำให้พวกสานุศิษย์ของมหาฤาษีทั้งหลาย ที่นั่งชุมนุมอยู่ที่นั้นโดยรอบ ต่างขยับเคลื่อนไหวกระสับกระส่าย ระคนเสียงถอนใจ และเสียงเคาะนิ้วกับพลาญหิน หลวงพ่อกัสสปมุนี คง
นั่งนิ่งสงบดุษณีภาพ เพ่งมองหน้ามหาฤาษีรามด๊าสฉันท์เมตตาจิต มหาฤาษีรามด๊าส ถอนหายใจยาว ยิ้มแย้มออกมาอย่างนักพรตที่เข้าถึงธรรม ยกมือขึ้นนมัสการอย่างนอบน้อมแค่อก พลางเปล่งวาจาออกมาโดยปราศจากทิฐิมานะว่า “โอม นมัสเต กัสสปมุนี”
หลวงพ่อกัสสปมุนี กล่าวตอบยิ้มแย้มว่า “ยีระเตโฮ้ รามด๊าส ยีระเตโฮ้”
มหาฤาษีรามด๊าสผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองฤาษีเกษ ถอนใจยาว ลุกขึ้นก้าวเข้ามานั่งลงข้างๆ หลวงพ่อ พลางเอามือหนาใหญ่ของแกจับเข่าหลวงพ่อแสดงความเคารพนับถือ หลวงพ่อกัสสปมุนีตบหลังมือแกเบาๆ นัยน์ตาของมหาฤาษี เป็นประกายแจ่มใสปีติยินดี แม้แกจะอายุ ๗๘ ปี ชรามากแล้ว แต่นัยน์ตาก็ใสกระจ่าง และดูร่างกายแข็งแรงอยู่มาก แกหัวเราะอย่างบริสุทธิ์ใจ กล่าวถามว่า หลวงพ่อกัสสปพูดภาษาฮินดีได้มากไหม หลวงพ่อตอบว่าพูดได้บ้าง พอกระท่อนกระแท่นเท่านั้น แต่ภาษาอังกฤษใช้ได้ดี
มหาฤาษีรามด๊าสเปิดเผยว่า ตัวแกเมื่อสมัยหนุ่มจบการศึกษาจากโรงเรียนฝรั่งอังกฤษ แล้วก็เข้าทำงานเป็นข้าราชการกรมรถไฟอยู่นาน ครั้นต่อมาจึงได้ออกจากราชการมาปฏิบัติธรรม จากนั้นมหาฤาษีรามด๊าสได้นิมนต์หลวงพ่อให้กลับกุฏิ และบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมคารวะ ครั้นรุ่งขึ้นวันต่อมา มหาฤาษีรามด๊าสก็เดินเข้าประตูรั้วมา ด้วยใบหน้าเบิกบาน ดังวาจาที่ได้พูดไว้จริงๆ รูปร่างของแกใหญ่อ้วนผึ่งผาย
หนวดเคราดกงาม แต่วันนี้แกปล่อยผมยาวลงมาปรกหลัง ถือไม้เท้าท่อนโต เมื่อเชิญให้นั่งเรียบร้อยแล้วแกก็ถามว่า หลวงพ่อจะอยู่ที่เมืองฤาษีเกษนานสักเท่าใด หลวงพ่อกัสสปมุนีตอบไปว่า อย่างเร็วสองเดือน อย่างช้าก็สามเดือน ถ้าไม่รังเกียจ อยากให้ท่านมหาฤาษีรามด๊าส ช่วยแนะนำสอนภาษาฮินดีให้บ้าง เพื่อจะได้เป็นการสะดวกในการพูดจากับคนทั่วไป เพราะประชาชนคนอินเดียทั่วไป ไม่รู้ภาษาอังกฤษ มหาฤาษีรามด๊าสไม่ขัดข้อง ยินดีสอนให้ด้วยความเต็มใจ มหาฤาษีได้มาสอนภาษาฮินดี
ให้หลวงพ่อทุกวัน สอนเสร็จแล้วก็มักชวนกันไปนั่งฉันน้ำชาที่ร้านนายฤาษีราม โดยหลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นเจ้ามือทุกวัน นายฤาษีรามทั้งแปลกใจ และดีใจมาก เพราะแกเองก็เคารพนับถือมหาฤาษีรามด๊าสไม่น้อยเหมือนกัน มหาฤาษีรามด๊าสเป็นมหาฤาษีผู้ใหญ่ ที่มีลูกศิษย์มากมาย ดังนั้น จึงไม่ยอมเป็นเพื่อนคบหา สนิทสนมกับใครง่ายๆ การที่มหาฤาษีรามด๊าส ยอมเคารพนับถือ หลวงพ่อกัสสปมุนี ทำให้บรรดาพวกนักพรตนิกายต่างๆ ในเมืองฤาษีเกษ มีความเคารพยำเกรง ในตัวหลวงพ่อกัสสปมุนีอย่างมาก
เวลาเดินสวนทางกันตามถนน ต่างก็จะก้มศีรษะพนมมือคารวะ หลวงพ่อกัสสปมุนี และเปล่งคำว่า “โอม” ทุกคนไป ต่อมาก็ได้รู้จักสนิทสนมกับนักพรต โยคีฤาษี มากขึ้นทุกวัน เท่าที่จำได้ก็มีมหาฤาษี ศิวานันทะ ฤาษีโกรกานันทะ นักพรตกมลาคีรี และอีกมากที่จำชื่อไม่ได้ ต่อมาในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๐๘ ประมาณ ๑๐ โมงเช้า มหาฤาษีรามด๊าสได้มาเยี่ยม และขออำลากลับกรุงเดลลี แล้วจะเลยขึ้นไปปัญจาบ และกัษมีระ ต่อจากนั้นแกก็เดินทางไปบำเพ็ญธรรมที่ไกรลาสคีรี แดนส่วนลึกของหิมพานต์
“ท่านกัสสป นับแต่เราได้วิสาสะกันมาตลอดเวลาเดือนเศษนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกรัก และเลื่อมใสในน้ำใจ ตลอดจนการปฏิบัติธรรมของท่านมาก สักเมื่อใดเราจะได้พบกันอีก เพราะไม่ช้าท่านเองก็จะกลับเมืองไทยแล้ว” มหาฤาษีรามด๊าสกล่าวอย่างซาบซึ้งตรึงใจ
หลวงพ่อกัสสปมุนีรู้สึกซึ้งในน้ำใจของแก แม้จะต่างกันในลัทธิศาสนา และในการปฏิบัติธรรม แต่ในส่วนน้ำใจแล้วเหมือนกัน คือใฝ่สันติสงบสุข หลวงพ่อจึงได้ตอบไปว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นเดียวกะท่านมหาฤาษี เราคงจะไม่ได้พบกันอีกนาน หรืออาจไม่ได้พบกันเลย แต่อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง ยังคงอยู่ตราบเท่าที่เรายังระลึกถึงกัน สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นของไม่แน่นอน เราอาจจะได้พบกันหรือไม่ได้พบกันก็ได้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่านมหาฤาษีจงเดินทางไปด้วยความปลอดภัย และผาสุก”
มหาฤาษีรามด๊าส พนมมือรับพรแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าจะกระทำอย่างไร ในระหว่างการเดินทาง จึงจะเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย”
“ท่านมหาฤาษีเองก็มีวิชชาอยู่กะตัว ไม่น่าจะถามข้าพเจ้าอย่างนั้นเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นท่านกัสสป ข้าพเจ้าหมายถึงความสบายภายใน ข้าพเจ้าใคร่จะขอฟังคำแนะนำจากท่าน”
“ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงตั้งใจฟัง จงอย่ายึดมั่น อย่าเพลิดเพลินในสิ่งที่ได้พบเห็นใดๆ ทั้งสิ้นในโลกนี้ จงดับอารมณ์ความครุ่นคิดทั้งหลายให้หมดสิ้น ทำใจให้ผ่องแผ้ว นั่นแล ท่านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางทุกประการ ”
มหาฤาษีรามด๊าส หลับตาตั้งใจฟัง พลางผงกศีรษะอันขาวโพลนเนิบๆ ใบหน้ามีปีติอิ่มเอิบ แสดงว่ามีความเข้าใจในความหมายคำพูดของหลวงพ่อกัสสปมุนี อย่างซาบซึ้ง” ...
(จบที่คุณ "คนรู้น้อย" โพสท์ไว้เพียงเท่านี้)
โฆษณา