Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 03:47 • ปรัชญา
หลวงพ่อกัสสปมุนี
วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
ตอน ๖ เดือนบนภูกระดึง
คำทำความเข้าใจ
หนังสือเรื่อง "๖ เดือนบนภูกระดึง" ซึ่งพิมพ์เป็นครั้งที่ ๖ เล่มนี้ อาตมานึกขึ้นได้ถึงบางท่านบางคน ที่ได้ติงและถามอาตมาด้วยความสงสัยว่า
"เรื่องที่หลวงพ่อเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ คงจะต้องมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่หลวงพ่อได้พบได้เห็น แต่ไม่ได้เล่าไว้ ความเข้าใจดังกล่าวนี้เป็นความจริงเพียงใดครับ ?"
อาตมาก็ตอบว่า
"นั่นเป็นเรื่องปลีกย่อย หลวงพ่อว่าไม่สำคัญแต่อย่างใด จึงไม่เล่าไว้ เพราะถึงจะบอกเล่าไป อาจจะเป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่เชื่อและสงสัย กล่าววิจารณ์หลวงพ่อว่า 'ออกจะมากไป' จึงต้องงดไม่เล่าให้ฟัง "
อีกประการหนึ่งเท่าที่เล่าไว้ในหนังสือนี้ ก็พอสมควรแล้วอนึ่ง อาตมาขอย้ำว่า เรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เห็นด้วยตาบนภูกระดึงนั้น ยังมีอีกหลายอย่างหลายประการ ล้วนเป็นอาจินไตย ฉะนั้นขอให้ทุกท่านและทุกคน จงได้ทราบตามนี้
หลวงพ่อกัสสปมุนี
๙ มีนาคม ๒๕๒๕
บทที่ ๑
ลางเบื้องต้นแห่งการเดินทาง
ออกพรรษาวันที่ ๔ ตุลาดม พ.ศ. ๒๕๐๖ ปวารณาแล้ว ได้อนุโมทนากฐินหลวงแล้ว รออยู่จนถึงวันที่ ๑๒ ตุลาดม พ.ศ. ๒๕๐๖ ฉันเช้าแล้ว ผู้คนเก็บข้าวของเครื่องบริขาร เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการจาริก เช่น บาตรกลด กาน้ำ ย่าม ไม้เท้า ลูกประคำ เสร็จเรียบร้อยแล้วครองห่มดองรัดคต ออกจากกุฏิ น. ๑๘ ไปกราบเท้านมัสการลา เจ้าประคุณสมเด็จพระอุปัชฌายะ (สมเด็จพระวันรัต) ขณะนั้นกำลังอ่านหนังสือบางเรื่องอยู่ พออาตมภาพเข้าไปนั่งคุกเข่า เยื้องมาทางขวาของท่านหน่อยหนึ่ง ท่านวางหนังสือลงบนโต๊ะ หยิบแว่นตาออก พลางเอ่ยทักว่า -
"จะออกเดินทางรึ ?"
อาตมภาพพนมมือ กราบเรียนตอบว่า "ครับผมนัดรถที่จะมารับไปส่งที่จังหวัดสระบุรี ๘ โมงเช้านี้”
"จะไปไหนก่อน ?”
“เกล้าฯ จะเข้าพักบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำซับมืด หลังสถานีซับม่วงก่อน ไม่เกิน ๒ อาทิตย์ แล้วจะเดินทางต่อไปภูกระดึง จะขึ้นไปบำเพ็ญที่นั่นเป็นเวลานานหน่อยครับผม”
“เออ ขออนุโมทนาในความเป็นผู้เอาจริงของท่าน แต่อย่าลืมนะว่าจะต้องกลับเข้าวัดก่อนเข้าพรรษา ๑๐ วัน”
(นี่เป็นคำสัญญาระหว่างเจ้าประคุณสมเด็จอาจารย์ ฯ กับอาตมาภาพก่อนที่จะเข้าอุปสมบทนานมาแล้ว คือ โดยพระวินัยพระที่บวชใหม่จะเที่ยวจาริกไปไหนต่อไหนนานไม่ได้ จะต้องมีพรรษา ๕ ขึ้นไปแล้ว จึงจะปล่อยเดี่ยวได้แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่การพิจารณาของท่านอุปัชฌาจารย์ จะพิจารณาว่าเป็นผู้ที่สมควรไว้วางใจปล่อยให้จาริก
ได้แล้วหรือยัง และเนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จอุปัชฌายะได้ทราบและได้เห็นการปฏิบัติ และวิสัยของอาตมาภาพ แต่ครั้งยังเป็นอุบาสกนุ่งขาวอยู่แล้ว จึงได้วางใจปล่อยอาตมาภาพเข้าป่าไป แต่ก็มีสัญญาว่าต้องเข้าวัดก่อนเข้าพรรษา ๑๐ วัน)
“ขอให้เดินทางโดยสวัสดี ส่งข่าวมาให้รู้บ้างนะ”
อาตมาภาพรับบัญชาแล้ว กราบเท้านมัสการลา ถอยหลังออกมาจนพ้นประตู กลับกุฏิ น. ๑๘ ศิษย์ทางบ้านหมี่เอารถมาคอยรับรอคอยอยู่ที่อยู่ที่กุฏิแล้ว อาตมาภาพลาท่านมหาโกศล อยู่เป็นสุข (ขณะนี้ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่พระอมรสุธี) แล้วออกเดินตรงไปจังหวัดสระบุรี เพื่อพบกับคุณไสว จารุศร สรรพสามิตจังหวัดสระบุรี
ถึงสระบุรีเป็นเวลาเกือบเที่ยง คุณไสว จารุศรรออยู่แล้วพร้อมกับรถแลนด์โรเว่อร์ จำได้ว่ามีคนรถ ๑ คน พนักงานโรงต้ม ๑ คน คุณไสว ๑ เด็กรุ่นหนุ่ม(จำชื่อไม่ได้) ๑ คน อาตมาภาพและสามเณร รวมเป็น๖ คน ออกเดินทางตรงไปยังสถานีซับม่วง เกือบบ่าย ๓ โมง เลี้ยวซ้ายผ่านเข้าที่ตั้งกองทหาร แจ้งความประสงค์ให้ยามรักษาทางเข้า ว่าจะไปยังถ้ำซับมืดของอาจารย์ศิลาเขาก็ปล่อยให้ผ่านไปได้ (ขณะนี้ได้ทราบว่าอาจารย์ศิลาไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดอำเภอสูงเนิน ไม่ทราบชื่อวัดอะไร ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ เพียงแต่ได้ข่าวเท่านั้น)
ถ้ำซับมืดของอาจารย์ศิลานี้ อยู่หลังสถานีซับม่วงประมาณ ๕ กิโลเมตร รถได้วิ่งผ่านไร่มันไปจนถึงสุดทางเกือบถึงศาลาฉัน ก็พากันเดินลงเข้าไป อาจารย์ศิลายังนั่งฉันน้ำร้อนพูดสนทนากับญาติโยมชาวบ้านอยู่ อาตมาภาพนำคณะเข้าไปกราบนมัสการแล้ว แนะนำให้ท่านรู้จักกับคุณไสว จารุศร (อาจารย์ศิลาได้รู้จักกับอาตมาภาพในระยะเวลาที่อาตมาภาพอยู่ในเพศนุ่งขาวแล้ว ได้เคยมาแวะค้างบำเพ็ญธรรมอยู่ ๑๐ วัน)
พอได้เวลาอันสมควร คุณไสวฯ ก็ลากลับ อาตมาภาพขอให้มารับในวันที่ ๒๖ พ ย. เพื่อเดินทางไปภูกระดึง อาจารย์ศิลาพาอาตมาภาพและสามเณรเข้าถ้ำที่พัก อาตมาภาพอยู่ถ้ำชั้นบนระคับเดียวกับอาจารย์ศิลา ส่วนสามเณรอยู่ถ้ำตอนล่าง ลักษณะของลูกเขาซับมืดนี้เป็นถ้ำเหว ช่องถ้ำแต่ละถ้ำอยู่ตามหน้าผา ต่ำจากระดับพื้นดินเบื้องบนราว ๑๒ เมตร สูงกว่าระดับพื้นจากตีนเขาราว ๘ เมตร แต่ละถ้ำเป็นชนิดถ้ำคูหาเป็นห้อง ๆ ขนาดอย่างกว้างดังเช่นถ้ำที่อยู่ของอาจารย์ศิลา ลึก ๔ เมตร กว้าง ๓ เมตร
ครึ่งโดยประมาณ ส่วนถ้ำของอาตมาภาพลึก ๓ เมตร กว้าง ๒ เมตร เป็นถ้ำที่ปล่องชอนขึ้นถึงพื้นเบื้องบน มีอากาศเย็นพอสบาย ไม่ว่าหน้าหนาวหรือหน้าร้อน ภายในถ้ำเป็นหินย้อย รูปเหมือนพระสงฆ์ ห่มคลุมออกบิณฑบาต อุบาสกทอง ซึ่งเป็นโยมวัดที่นั่น บอกว่าเป็นถ้ำที่ค่อนข้างขลัง พระที่มาอยู่ถ้าไม่ดีจริง อยู่ไม่ได้นาน ส่วนถ้ำอื่น ๆ ก็ลดหลั่นกันลงไป มีทางเดินเลียบไปตามผนังเหวโดยตลอด ดูงามมาก อาตมาภาพยังจำภาพของถ้ำซับมืดได้จนบัดนี้ และยังนึกเสียดายที่อาจารย์ศิลาได้ละทิ้งไป ปานนี้คงหมดสภาพของความสงบไปแล้ว
อาตมาภาพได้พำนักพำเพ็ญปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาเดือนเศษ ได้ออกบิณฑบาตกับอาจารย์ศิลาทุกวัน คือ เดินขึ้นจากก้นเหว เดินลงบิณฑบาตเวลาตี ๕ ครึ่ง ทางเดินเป็นก้อนหินใหญ่น้อยไปตลอดทาง เพราะเป็นเทือกเขาที่ช่างก่อสร้างทางหลวงสายมิตรภาพระเบิดเอาไปถมถนน ถึงสถานีรถไฟซับม่วง เข้าบิณฑบาตในตลาดเป็นเวลา ๗ โมงครึ่ง บิณฑบาตเสร็จออกจากตลาดเป็นเวลา ๘.๑๐ น เดิน
กลับเลาะลัดผ่านไร่มันและไร่อ้อย ถึงบ่อน้ำซับใกล้เขตถ้ำเป็นเวลา ๑๐.๐๐น. เศษ ลงสรงน้ำชำระเหงื่อไคลพอเย็นใจหายเหนื่อยแล้ว บิดผ้าอาบพับปิดบนศีรษะกันแดด เดินเข้าศาลาฉัน อุบาสกทองโยมวัด จัดแจงแบ่งกับข้าวลงสำรับ บางครั้งก็มีแกงส้มหัวบุกกับมดแดงร้อน ๆ แถมพก เรื่องการบิณฑบาตนี้มีเรื่องที่ควรเล่าสู่กันฟัง คือ. วันหนึ่งตอนเดินทางกลับจากบิณฑบาตที่สถานีซับม่วง มาได้ครึ่งทางผ่านไร่มันสัมปะหลัง ก็มีผู้หญิงชาวไร่ผู้หนึ่ง ร้องนิมนต์มาทางซ้ายว่า
“ครูบา ฯ นิมนต์ก่อน”
เราสององค์ก็หยุดคอย พอแกมาถึงก็หยิบข้าวนึ่งใส่ลงในบาตร องค์ละก้อนขนาดใหญ่ แล้วหยิบห่อกับโตขนาดลูกน้อยหน่าสุก ส่งกลิ่นใบยอหอมฟุ้ง เสร็จแล้วแกก็นั่งลงไหว้ ถือขันเดินกลับไป เราสององค์ก็พากันเดินต่อไป ส่วนอาตมาภาพยังคงหอมกลิ่นใบยอ นึกในใจว่า วันนี้ฉันห่อหมกให้อร่อยสักมื้อ อาตมาภาพสายตาสั้น ทั้ง
ศาลาฉันก็ไม่สว่างแจ้งนัก ขณะที่หยิบห่อหมกฉัน หอมกลิ่นใบยอก็จริง แต่ก็แปลกที่เนื้อห่อหมกสีขาวหม่น เวลาเคี้ยวก็ร่วนๆ ลื่น ๆ เผ็ดนิดหน่อย เต็มปะแร่ม ๆ ฉันจนอิ่ม ห่อหมกหมดไปครึ่งห่อ ขณะที่กำลังล้างบาตร อดสงสัยไม่ได้ก็เอ่ยถามอาจารย์ศิลาว่า
“มันห่อหมกอันหยัง อาจารย์ศิลา มันบ่แม่นห่อหมกปลาแน่ๆ “
"มันบ่แม่นห่อหมกปลาหรอก ท่านกัสสปะ มันเป็นกุ้งบก" อาจารย์ศิลาตอบยิ้ม ๆ
อาตมาภาพหยุดเช็ดบาตร กลืนน้ำลายเอื๊อก มองอาจารย์ศิลา ตาค้าง
"แม่นกุ้งบก เฮ้ดหยัง อาจารย์บ่เว้า ?"
“ผมเว้าท่านก็บ่สันนะชี” อาจารย์ศิลาตอบพลางหัวเราะชอบใจ ทำให้อาตมาภาพพลอยหัวเราะเฝื่อน ๆ ไปด้วย ที่เกิดมาในชีวิตก็ได้มาชิมเนื้อกิ้งกือตอนอยู่ซับมืดนี่เอง แต่ทำไงได้มันลงไปอยู่ในท้องแล้ว กิ้งกือก็กิ้งกือ กินเข้าไปมันก็กลับออกมาก็หมดเรื่อง ถ้าเป็นคนอื่น ยังไงไม่รู้
ฉันเสร็จก็ตกเกือบเที่ยง ฉันน้ำร้อนน้ำชาแล้วก็สะพายบาตรขึ้นถ้ำ เข้าสมาธิสงบอยู่ต่อไปจนตกบ่าย ๒ โมงเศษ ออกจากถ้ำเดินจงกรมประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วลงไปฉันน้ำร้อนน้ำชาสนทนากันพอสมควร ถึงเวลาบ่าย ๕ โมงเย็นกลับขึ้นถ้ำ เวลาเดือนหงาย อาตมาภาพชอบออกมานั่งอาบแสงเดือนหน้าถ้ำ ได้ยินรถไฟวิ่งไกล ๆ สามคืนแรก มีงูเห่าดำนอนขดอยู่ใต้แคร่ ตัวขนาดข้อมือยาวเกือบ ๓ เมตร ไม่แสดงอาการคุร้ายอะไร บางครั้งได้ยินเสียงหายใจดัง ฟ่อ ๆ เห็นท่าไม่เหมาะสม เพราะตอนดึก
อาตมาภาพลุกออกจากกลดถ่ายเบาเสมอ เดี๋ยวถ้าบังเอิญไปเหยียบเข้าจะเกิดเรื่องไม่งามขึ้น จึงเอ่ยขอร้องให้เขาออกไปนอนที่อื่นก่อน พอตอนค่ำของวันที่ ๔ เข้าถ้ำก้มดูใต้แคร่ ไม่เห็นก็แปลกใจ และให้นึกสงสาร จึงเอาไฟตะเกียงเที่ยวส่องดู ก็เห็นนอนขดอยู่ใต้ซอกหลืบผนังหน้าถ้ำทำให้ต้องนึกเห็นใจเขาอย่างยิ่ง ที่เขาเข้าใจในคำขอร้องและไม่ดื้อดุร้าย แม้จะเป็นอสรพิษ อาตมาภาพได้เอ่ยปากอนุโมทนาและแผ่ส่วนกุศลให้ หมดชาตินี้แล้ว ขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ และให้มีความประพฤติเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาสืบต่อไปตราบเท่าพระนิพพาน
อาตมาภาพได้พำนักปฎิบัติบำเพ็ญอยู่กับอาจารย์ศิลาและเพื่อนพระอาจารย์บางองค์ที่จำได้มี อาจารย์สุบิน ฯ ส่วนอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ ได้รับความร่มเย็นพอสมควร แต่ยังไม่เป็นสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจัง เพราะยังเกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คนเข้าออกอยู่ จนถึงวันที่ ๒๖ พ.ย. ๒๕๐๖ ฉันเช้าเสร็จพอดี คุณไสว จารุศร มารับ(ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่รักษาวาจามั่นคงดีอย่างยิ่ง)
อาตมาภาพได้นมัสการลาอาจารย์ศิลา \เละอาจารย์สุบิน ขึ้นรถแลนด์โรเว่อร์ ออกจากถ้ำซับมืด เดินทางตรงไปยังชัยภูมิ โดยคุณไสวบอกว่าเป็นทางลัดที่จะถึงอำเภอภูกระดึงได้เร็ว รถได้วิ่งผ่านที่ต่าง ๆ เข้าสู่เขตจังหวัดชัยภูมิ ผ่านตัวจังหวัดไปจนถึงถนนที่กำลังสร้างใหม่แห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นเขตท้องที่ของอำเภออะไร เป็นเวลา ๕ โมงเย็นเศษ ขณะที่ไปถึงนั้น มีรถ ๑๐ ล้อบรรทุกมัดปอเพียบรถอยู่ ๒ – ๓ คันจอดเรียงกันอยู่ ถามได้ความว่าเพิ่งพากันพ้นมาจากถนนที่ยังเป็นหล่ม และเตือนว่ารถของเราไม่ควรไป เพราะหล่มที่พ้นมาค่อนข้างลึก
คุณไสว ฯ เห็นว่ารถของเราเป็นรถมีสองเพลา พอจะเร่งเครื่องขับพาให้พ้นหล่มไปได้ จึงสั่งให้ขับต่อไปด้วยความระมัดระวัง แต่เจ้ากรรมไปได้ไม่ไกลนักในราวครึ่งชั่วโมง รถก็ลื่นถลาจมหล่มลงไปครึ่งล้อ คนขับพยายามเร่งเครื่องเดินทั้งสองเพลา ก็ยังไม่มีทางที่จะขึ้นพ้นจากหล่มได้ ต่างคนต่างก็ช่วยกันอย่างเข้มแข็ง หาท่อนไม้ กิ่งไม้
ก้อนหินสอดยัดลงไป แล้วก็ช่วยดันรถให้ถอยหลัง คนขับก็เร่งเครื่องทั้งสองเพลาแต่ก็เปล่าประโยชน์ ล้อรถจมลึกลงไปจนท้องรถนอนพังพาบติดบนสันถนน ล้อทั้ง ๔ ลอย อาตมาภาพลงจากรถ ขึ้นไปยืนอยู่บนดินแห้งริมขอบถนน ส่วนคุณไสว ฯ ก็เดินสั่งการ
ขณะที่วุ่นกันอยู่นั้น เวลาก็ล่วงเข้ากลางดึกโดยไม่รู้ตัวอย่างรวดเร็ว จนจะเข้าตีสองท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้ม เสียงพาคำรามมาแต่ไกล ฝนพรมลงมาเป็นฝอย อาตมาภาพยืนนิ่งพิจารณาดูเหตุการณ์ เห็นท่าจะไปไม่รอด จึงยืนนิ่งนึกอธิษฐานประกาศต่อเทพยดาออกไปว่า
“ดูก่อน ปวงเทพทั้งหลาย ผู้คงอยู่ในธรรมแห่งพระพุทธศาสนา การที่อาตมาภาพด้นดั้นมาครั้งนี้ มิใช่มาเพื่อหาความสนุกสำราญนั้นหามิได้ แต่มาเพื่อแสวงหาถิ่นที่พำนักปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเพื่อโมกขธรรม ขอปวงเทพทั้งหลาย ณ ที่นี้ แคว้นนี้โดยรอบ จงได้อนุเคราะห์ช่วยคลี่คลายเหตุขัคข้องครั้งนี้ด้วย”
ขณะที่ยืนนิ่งนึกอธิษฐานอยู่นั้น เป็นเวลาย่างเข้าตีสองเศษ อาตมาภาพได้ยิน เสียงคนพูดพึมพำมาข้างหน้า คุณไสว ฯ ก็ได้ยิน อาตมาภาพก็บอกคงจะมีคนเดินมา ครู่หนึ่งก็แลเห็นแสงไฟกลมแดงแวบ ๆ ส่องมาตามหนทางแต่ลำแสงไม่ไกล ยังไม่เห็นหัวคนว่ากี่คน ครู่หนึ่งขณะผู้ที่เดินทางมาก็ถึงมีหมดด้วยกันสี่คน แต่เนื่องด้วยอากาศมืด สว่างแต่แสงไฟหน้ารถ จึงพอจะสังเกตเห็นการแต่งตัวได้ว่า แต่งอย่างแบบข้าราชการ จะเป็นทหารหรือพลเรือนไม่แจ้งชัด พอเดินเข้ามาใกล้ แสงไฟที่คล้ายไฟฉายก็หายไป ทั้งสี่คนเดินหลีกอาตมาภาพ ๆ ได้ทักขึ้นว่า
“อุบาสกทั้งหมดจะไปไหนกัน ?”
"พวกผมจะไปชัยภูมิครับ เสียงคนหนึ่งตอบค่อย ๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว อาตมาก็จะกลับไปชัยภูมิ ขอแรงอุบาสกทั้งสี่คนช่วยดันรถให้พ้นจากหล่มที จะเป็นกุศลยิ่ง”
“ได้ครับ” เสียงคนหนึ่งตอบค่อย ๆ ตามเคย “เอ้า พวกเราช่วยกันหน่อย” พร้อมกันนั้นทั้งสี่คนก็พากันตรงเข้าไปหารถที่นอนพังพาบอยู่บนสันดินถนน เสียงคนหนึ่งบอก พวกเราให้ช่วยกันหากิ่งไม้ ก้อนดินมายัดรองใต้ล้อ เสร็จแล้วก็ให้มารวมพร้อมกันที่หน้ารถ เพื่อช่วยกันออกแรงดัน ซึ่งวิธีการเช่นนี้พวกเราก็ได้ช่วยกันทำมาจนหมดผีมือแล้วก็ไม่ได้ผลอะไร มีแต่จะทำให้รถลอยยิ่งขึ้นในเมื่อล้อหมุนคะกุยเอาดินกระเด็นขึ้นมา แต่คุณไสว ฯ ก็ได้สั่งให้ทุกคนทำตาม พอพร้อมกัน ก็มีเสียงคนหนึ่งบอกขึ้นว่า
“คนขับขึ้นรถ แล้วเร่งเครื่องถอยหลังเต็มที่”
อาตมาภาพยังจำประโยคนี้ได้ดี คนขับถึงนั่งสตาร์ทเครื่องเต็มที่ แล้วเสียงก็ร้องบอกอีกว่า “เอ้า ดันเต็มที่พร้อมกัน”
เท่านั้นเอง พอเสียงเร่งเครื่อง และทุกคนออกแรงดัน รถแลนด์โรเว่อร์ก็พุ่งถอยหลังปราดกลับขึ้นสู่ที่แห้งอย่างง่ายดาย พวกเราปล้ำกันมาตั้งร่วมสามชั่วโมง มีแต่จะเข้าตาจน พอที่คนนี้มาช่วย ทุกอย่างก็สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ขณะนั้นอาตมาภาพไม่นึกระแวงสงสัยอะไร เพราะรู้สึกโล่งอกโล่งใจ หมดความวิตกกังวล ได้แต่กล่าว
อนุโมทนาที่ทั้งสี่คน ที่ได้ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากหล่มแห่งความลำบากแห่งนี้ได้ แล้วต่างก็พากันขึ้นรถวิ่งย้อนกลับมายังจังหวัดชัยภูมิ โดยคุณไสว ฯ บอกว่าจะแวะหาคุณเชษฎ์ สรรพสามิตจังหวัดชัยภูมิ จะได้ล้างหน้าล้างตาชำระฝุ่นโคลนเสียที รถไปถึงตลาดตอนตีสี่เศษ ยังไม่สว่าง คงมีแสงไฟตามถนนเท่านั้น อาตมาภาพก็หันหลังไปถามคนทั้งสี่ว่า
“อุบาสกทั้งสี่คนจะลงที่ไหน ?”
เสียงคนหนึ่งบอกว่า “ลงตรงนี้แหละครับ ผมจะเข้าตลาด”
คุณไสว ฯ ก็ให้รถหยุด เมื่อทั้งสี่ลงแล้ว ก็กล่าวคำขอบคุณ และกล่าวคำลา อาตมาภาพขณะนั้นก็มิได้ทันคิดอะไร เพียงแต่ตอบว่า
“อนุโมทนาทุกคนมีกุศลจิต ช่วยเหลือครั้งนี้ ขอให้มีความสุขเจริญยิ่งทุกคน” แล้วเราก็จากกัน อาตมาภาพมิได้สังเกตว่าไปทางไหน ถามพวกที่นั่งด้านหลัง ก็ได้ความว่าทั้งสี่คนเดินเข้าตลาดไป
อาตมาภาพตำหนิตัวเอง และนึกเสียดายทีหลังว่า ควรที่จะได้เรียกมาที่หน้ารถ ได้รู้จักหน้าตากิริยาท่าทางกันบ้าง แต่ทำไมไม่คิด และไม่เรียก ก็ไม่รู้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไรจึงไม่ทำให้คิดเช่นนั้น โดยปกติผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อาตมาภาพจะขอทำความรู้จักและได้อนุโมทนาให้ทุกรายทุกคนไป แต่มาคราวนี้กลับเฉยเสีย ก็ได้แต่นึกแผ่ส่วนกุศลให้ในใจ ทั้งนี้ก็เพราะแน่ใจว่า ทั้งสี่คนนี้มิใช่ใคร คงจะเป็นท่านผู้
มีหน้าที่ในเขตป่าแดนนั้นนั่นเอง ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ เสียงที่พูดพึมพำมาตามทางจับถ้อยคำไม่ได้ว่าพูดว่าอะไร ประการหนึ่ง แสงไฟฉายที่เป็นแต่เพียงวงกลมแดง ซึ่งผิดกับแสงไฟฉายของผู้เดินทางในเวลาเช่นนั้น ประการหนึ่ง ตลอดจนรูปร่างก็มองแลไม่ถนัด ว่าหน้าคาเป็นอย่างไร ประการหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็ได้ผ่านไปแล้ว จึงเป็นบทเรียน ที่เตือนและสอนตัวเองว่า “ต่อไปอย่าละเลย อย่าทำเฉยต่อสิ่งที่ผิดสังเกต”
ถึงบ้านคุณเชษฐ์ ฯ สรรพสามิตจังหวัดชัยภูมิเป็นเวลาตีห้าครึ่ง อากาศตอนข้างเย็น เจ้าของบ้านและแม่บ้านตื่นแล้ว คุณไสว ฯ ได้แนะนำให้รู้จักโดยบอกว่าอาตมาภาพเป็นพี่ชายของประสาทศิลป์ อาภรณ์ศิริ ขณะนั้นน้องชายอาตมาภาพ เป็นสรรพสามิตจังหวัดอะไรก็จำไม่ได้ พวกเราเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ชะล้างโคลนตมที่เปื้อน
ตามเนื้อตัว คุณเชษฐ์ ฯ และภริยา ได้จัดน้ำชากาแฟถวายเป็นอาหารมื้อเช้ารองท้อง โดยคุณไสว ฯ บอกว่าจะต้องไปส่งอาตมาภาพที่โคราชเสียแล้ว เพราะหนทางที่จะไปโดยรถยนต์จนถึงจังหวัดเลยนั้นขัดข้อง กะถึงโคราชก่อนเพล ไปฉันเพลเอาที่สถานีโคราช แต่อาตมาภาพบอกคุณไสว ฯ ว่า “ไหน ๆ จะฉันแล้วก็ฉันให้อิ่มเสียเลย ไม่ให้เสียศรัทธาเจ้าของบ้าน “
ฉันเสร็จ อนุโมทนาแล้ว ลาคุณเชษฐ์ ฯ และภริยาเดินทางต่อไปยังโคราช ถึงสถานีรถไฟโคราช ตกเพลเศษ คุณไสว ฯ ซื้อตั๋ว กรุงเทพ ฯ ขอนแก่น ถวายทั้งพระและสามเณร แล้วคอยส่งจนรถไฟเคลื่อนออกเวลาเที่ยงเศษ จึงลากลับ อาตมาภาพได้อนุโมทนาและอวยพร ขอให้คุณไสว จารุศร จงมีความสุข จำเริญยิ่ง ๆ ตลอดชีวิตและแม้บัดนี้อาตมาภาพก็ยังระลึกถึงอุปการะของท่านผู้นี้อยู่ ที่มีน้ำใจศรัทธาอันมั่นคงแน่วแน่ไม่หวั่นไหว ถ้าไม่ได้ท่านผู้นี้คงไปไม่ถึงภูกระดึงแน่
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย