31 ส.ค. เวลา 03:48 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Green Book (2018) : ชีวิตอันแปลกแยกของอัจฉริยะ เมื่อไม่มีที่ไหนที่เรียกว่า“บ้าน”ได้จริงๆ

อัจฉริยะมักโดดเดี่ยว คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริง เมื่อพูดถึงชีวิตของ Dr. Don Shirley อัจฉริยะสุดยอดนักเปียโนผิวดำ ที่กำลังออกเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตในมลรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ดินแดนที่ขึ้นชื่อในเรื่องการแบ่งแยกสีผิวเป็นที่สิ่งปกติธรรมดา แสดงออกได้ตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อมใดๆ กฎระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเอื้อให้คนผิวขาว ได้เป็นคน มากกว่าคนผิวดำ
โดย Dr. Don Shirley ได้ร่วมเดินทางไปกับ Tony Vallelonga อดีตบอดี้การ์ดประจำไนท์คลับของเมืองนิวยอร์ก เชื้อสายอิตาลีอเมริกัน ซึ่งก็มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนผิวดำมาตั้งแต่ต้น แต่ดันต้องมาเป็นคนขับรถพา Dr.Don ตระเวนไปเล่นคอนเสิร์ตในแดนไกลเป็นเวลากว่า 2 เดือน
ในช่วงทศวรรษปี 1960 การที่คนผิวขาวจะขับรถให้คนผิวดำนั่งนั้นถือเป็นเรื่องผิดวิสัยเกินกว่าจะเข้าใจได้ การเดินทางที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีนัก ด้วยนิสัยที่ต่างกันสุดขั้วของ Tony และ Dr.Don คนหนึ่งเป็นผู้ชายผิวขาวเชื้อสายอิตาลี หยาบกร้าน เขาพูดและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่แยแสว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร ซึ่งขัดต่อภาพลักษณ์ความเป็นผู้ดีของอีกคนซึ่งเป็นคนผิวดำ แต่แสดงออกอย่างสำรวมมีมารยาท และถือเนื้อถือตัว ทั้งสองต้องออกเดินทางไปยังรัฐทางใต้เพื่อแสดงดนตรีในงานของคนชั้นสูงผิวขาว
แต่การเดินทางที่ดูเหมือนจะง่ายดายของ Tony กลับไม่ง่ายดายเลยสำหรับ Dr.Don เพราะ Tony ค่อยๆรับรู้ถึงความเจ็บปวดและความแปลกแยกที่ Dr.Don ต้องเผชิญและแบกรับเอาไว้ตลอด ทั้งการที่เขาถูกต้อนรับและยกย่องจากคนผิวขาวชั้นสูง ในด้านความเป็นเลิศทางด้านดนตรีและได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้อง แต่เขากลับไม่สามารถเข้าห้องน้ำร่วมกับคนผิวขาวได้ ต้องไปเข้าห้องน้ำนอกตัวบ้านอันทรุดโทรมไร้แสงไฟส่องสว่าง หรือแม้แต่ไม่สามารถรับประทานมื้อเย็นในห้องร่วมกับคนผิวขาวได้ ทั้งๆที่เขาคือดาวเด่นของงานแสดงในค่ำคืนนั้น
กระทั่งแม้กับคนดำด้วยกันเอง เขาก็ถูกมองด้วยสายตาอันแปลกแยกผิดแผกไม่เข้าพวก เพราะเขาแต่งตัวด้วยสูทชุดหรู ดูมีการศึกษา หัวสูงเกินกว่าคนดำในสังคมทั่วๆไปจะเข้าใจได้ เขาจึงกลายเป็น ชายผิวดำที่อยู่สูงเกินกว่าจะเข้าพวก และต่ำเกินกว่าจะเป็นที่ยอมรับของคนผิวขาว ระหว่างสองโลกนี้ไม่มีที่ว่างหลงเหลือสำหรับเขาเลย...
ผมอยู่ในปราสาทโอ่อ่าตัวคนเดียว คนขาวหัวสูงจ้างให้ผมไปเล่นเปียโนให้ฟัง เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกมีวัฒนธรรมมากขึ้น แต่ทันทีที่ผมก้าวลงจากเวที ผมกลับกลายเป็นแค่ไอ้มืดคนหนึ่งในสายตาของพวกเขา ผมโดนเหยียดหยามตัวคนเดียว คนผิวดำก็ไม่ยอมรับผม เพราะผมดันไม่เหมือนพวกเขา ถ้าผมยังดำไม่พอ ยังขาวไม่พอ และยังแมนไม่พออีก งั้นผมเป็นตัวอะไรกัน!
Dr. Don Shirley
แม้เสียงดนตรีของ Dr.Don จะดังกังวานไปทั่ว แต่หัวใจของเขานั้นกลับเงียบงันอ้างว้าง มีเพียง Tony ที่คอยให้กำลังใจว่าเสียงเพลงของ Dr.Don นั้นมีแต่เขาที่สามารถบรรเลงโน็ตดนตรีที่ไพเราะแบบนั้นได้ ส่วน Dr.Don ก็คอยช่วย Tony เขียนจดหมายถึงภรรยา ทั้งสองต่างเติมเต็มช่องว่างซึ่งกันและกัน จน Tony ได้รับรู้ว่า Dr.Don เองก็เคยมีคนรัก และมีพี่ชายอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเขียนจดหมายหาพี่ชายของเขาก่อนเลย
เป็นผมคงไม่รอหรอก โลกนี้น่ะ เต็มไปด้วยคนโดดเดี่ยวเดียวดาย ที่ไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายทักทายก่อน
Tony Vallenlonga
สุดท้ายแล้วเราในฐานะผู้ชมและ Tony ก็ได้ทำความเข้าใจและได้เห็นโลกของ Dr.Don ที่กำลังพิสูจน์อะไรบางอย่างในการเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตแสนเจ็บปวดครั้งนี้ “แค่อัจฉริยะนั้นยังไม่พอ มันต้องอาศัยความกล้าหาญต่างหากถึงจะเปลี่ยนใจคนได้”
Dr.Don Shirley ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และที่ไหนคือที่สำหรับเขา แต่การที่เขาได้พบกับ Tony Vallenlonga ทำให้ต่างฝ่ายต่างได้ออกเดินทางเข้าสู่โลกของกันและกัน ทั้งสองต่างช่วยเหลือกันและกัน เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน มิตรภาพที่ไร้ซึ่งความต่างของสีผิว ชนชั้น หรือหรือแม้แต่เพศ มิตรภาพที่เกิดจากการเดินทาง มิตรภาพที่เกิดจากยอมรับ และมิตรภาพที่เกิดจากความเข้าอกเข้าใจ
หากใครชื่นชอบบทความเช่นนี้ สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆได้ที่ Page : Velvet on Ground ทั้งใน Facebook และ Instagram ได้เลยนะครับ
ขอให้ทุกคนเจอใครสักคนที่เข้าใจ พร้อมจะทำให้ชีวิตสดใสขึ้นมานะครับ 😊
โฆษณา