1 ก.ย. เวลา 04:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

อวี้เจียวหลงระห่ำ จางจื่ออี๋ผยองโลก

ตอนที่อั้งลี่กำลังตามหานักแสดงหญิงที่จะมารับบทอี้เจียวหลงใน Crouching Tiger, Hidden Dragon เขานึกถึงคนที่มีความดื้อ มั่นใจในตนเอง เค้าหน้าน่าค้นหา เขาติดต่อไปที่ซูฉีดาราสาวจากไต้หวันที่โผล่พ้นการเป็นดาราหนังเกรอสาม ขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงแนวหน้าของวงการหนังจีน แต่อั้งลี่ก็ถึงกับไปไม่เป็น นึกไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธเขา เนื่องจากซูฉีเห็นตารางการถ่ายทำที่ยางเหยียดกินเวลาหลายเดือน เธอไม่อยากเสียเวลากับหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาทองที่เธอสามารถทำเงินได้ในช่วงเวลานี้
ขั้นตอนการหานักแสดงต้องดำเนินต่อไป
เมื่อจางอี้โหมวทราบว่าซูฉีปฏิเสธบทอวี้เจียวหลง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเลขหมายไปที่อั้งลี่ทันที
“เรื่องนักแสดงหญิงของคุณล่ะ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” จางอี้โหมวถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
อั้งลี่ถอนหายใจ ก่อนตอบว่า “ยังหาอยู่ครับ…ตัวเลือกยังไม่ถูกใจเลย”
จางอี้โหมวถือโอกาสนี้ แนะนำจางจื่ออี๋ “คุณลองฟังผมหน่อยสิ ผมมีนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งถ่าย The Road Home เสร็จ ผมว่าเธอน่าสนใจนะ คุณให้เธอมาทดสอบหน้ากล้องหน่อยก็ได้”
อั้งลี่สงสัยเล็กน้อย “หน้าใหม่จริง ๆ หรือ ไม่กลัวว่าประสบการณ์จะน้อยไปหรือ”
จางอี้โหมวหัวเราะเบา ๆ “นั่นแหละคุณ บางครั้งของใหม่ ๆ ก็ทำให้เรื่องตื่นเต้นขึ้น คุณลองให้โอกาสเธอดู แล้วคุณอาจจะประหลาดใจทีหลัง”
อั้งลี่เงียบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้ดีว่าจางอี้โหมวเป็นผู้กำกับที่เคี่ยวนักแสดงจนพัฒนาศักยภาพสูงสุด ไม่ต่างกับเขา การที่ผู้กำกับที่ละเอียดอบบนี้จะแนะนำใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่เห็นบ่อยนัก ก่อนจะพูดเสียงจริงจังเอาเถอะ ให้เธอมาออดิชั่นก็ได้”
จางอี้โหมวหัวเราะชอบใจ “เยี่ยม ผมบอกคุณไว้ก่อนเลยนะ ถ้าเธอทำได้ตามที่คุณต้องการ คุณจะได้พบดาวรุ่งที่จะทำให้โลกจำไปอีกนาน”
ก่อนหน้าที่จะไปออดิชั่น จางจื่ออี๋ฝึกซ้อมการแสดงอย่างหนัก โดยเฉพาะการฝึกกังฟู เธอทุ่มเทฝึกฝน อย่างน้อยก็ทำให้อั้งลี่และทีมานเห็นว่าเธอสามารถปั้นได้ ทว่า อั้งลี่และทีมงานก็ไม่ได้เห็นตัวอวี้เจียวหลงในตัวเธอ อั้งลี่ไม่ประทับใจจางจื่ออี๋มากนัก ทีมงานคัดเลือกนักแสดงก็เห็นว่าเธอขาดประสบการณ์ที่จะรับบทที่มีความซับซ้อนสูงเช่นอี้เจียวหลง หนำซ้ำยังต้องประกบกับยอดฝีมืออย่างโจวเหวินฟะและมิเชล โหย่วอีกด้วย เรียกว่าถ้าเป็นมวยก็แบกน้ำหนักคู่ชกเยอะพอตัว
กระทั่งเมื่อไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า อั้งลี่จึงให้โอกาสจางจื่ออี๋ บทบาทนี้ไม่ได้เป็นเพียงบทบาทของหญิงสาวผู้แข็งแกร่งที่มีวิยายยุทธ์สูงเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางอารมณ์ อวี้เจียวหลงต้องแสดงทั้งความดื้อรั้น ความกล้า และความเปราะบางทางใจ
แต่เมื่อหาใครมาแทนไม่ได้ อั้งลี่จึงตัดสินใจทดลองกับนักแสดงสาวหน้าใหม่คนนี้่ ตอนที่ชื่อของจางจื่ออี๋ถูกส่งต่อจากจางอี้โหมวถึงอั้งลี่ เธอยังเป็นเพียง “ดาวรุ่งหน้าใหม่” ที่มีผลงาน The Road Home เท่านั้น และอั้งลี่ไม่ใช่ผู้กำกับที่เชื่อมั่นกับนักแสดง่ายๆ เขาขึ้นชื่อในความละเอียด เรียกร้องจากนักแสดงสูง เขาเคยบอกว่าบทอวี้เจียวหลงในใจเขานั้น คือ
“ผมต้องการนักแสดงที่ไม่เพียงสวย แต่ต้องมีทั้งไฟ ความก้าวร้าว และความเศร้าลึกในใจพร้อมกัน”
คุณสมบัติที่หายาก และไม่ใช่ว่าจะมองเห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรก
บทอวี้เจียวหลงไม่ใช่เพียงบทดราม่าธรรมดา แต่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชัน ต่อสู้ กระโดดเหินเอินอากาศด้วยสลิง และต้องเรียนศิลปะการต่อสู้โบราณ สำหรับจางจื่ออี๋ซึ่งไม่เคยฝึกกังฟูมาก่อน นี่คือฝันร้ายจริง ๆ เธอต้องตื่นเช้ามืดทุกวัน ฝึกกำลังยืดเส้น วิ่ง วาดกระบี่ ต้องเรียน กังฟู และ งิ้วจีน ไปพร้อม ๆ กัน เพราะท่าทางที่อั้งลี่ต้องการคือความ “อ่อนช้อยดุจน้ำ แต่คมกริบดุจดาบ”
ครูฝึกบอกว่าหลายครั้ง จางจื่ออี๋มือพอง เลือดซึมออกมา แต่เธอไม่เคยปริปากบ่น อั้งลี่เองก็เข้มงวดมาก เขาเคยตำหนิอย่างตรงไปตรงมาว่า
“เธอยังอ่อนเกินไป ถ้าเล่นอย่างนี้ คนดูจะไม่เชื่อว่าอวี้เจียวหลงคือผู้ที่กล้าแหวกขนบของโลก”
คำพูดนี้กลายเป็นแรงกดดันให้เธอ กัดฟัน สู้จนถึงที่สุด เบื้องหลังการกำกับของอั้งลี่ อั้งลี่เป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ความละเอียด” บางครั้งเขาอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงเพียงเพื่อให้ได้ “สายตาหนึ่งแวว” ที่ตรงใจ ในฉากที่อวี้เจียวหลงต้องปะทะกับซูเหลียน(มิเชล โหย่ว)ที่มีประสบการณ์สูงมาก จางจื่ออี๋แทบจะเสียความมั่นใจเมื่อเข้าฉากกับมิเชล โหย่ว เพราะเธอรู้สึกว่าทุกการเคลื่อนไหวของตัวเอง “เล็กเกินไป” เมื่อเทียบกับพลังของมิเชล
อั้งลี่จึงเข้าไปกระซิบว่า “เธอไม่ใช่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่คือเสือดาวที่รอจะขย้ำเหยื่อ เธอต้องเชื่อในสายเลือดนักสู้ของตัวละคร” เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เธอกล้า ปลดปล่อย ตัวเองออกมา ผลลัพธ์และการแจ้งเกิดอย่างแท้จริง
เมื่อหนังออกฉายในปี 2000 บทอวี้เจียวหลง กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้ชมทั่วโลกจดจำได้มากที่สุด จางจื่ออี๋ถูกยกย่องว่า “ดาราหญิงหน้าใหม่ผู้ก้าวขึ้นเวทีโลก” บทนี้ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัล BAFTA สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม และยังเป็นใบเบิกทางให้เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับโลกมากมาย นับจากนั้น จางจื่ออี๋ก็ไม่ใช่เพียงนักแสดงหน้าใหม่ แต่กลายเป็น “ไอคอนภาพยนตร์จีน” ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล
ส่วนความสัมพันธ์ของเธอกับอั้งลี่นั้น แม้การถ่ายทำจะโหดและเต็มไปด้วยแรงกดดัน แต่จางจื่ออี๋เคยกล่าวว่า
“ถ้าไม่มีอั้งลี่ ฉันก็คงไม่เป็นจางจื่ออี๋อย่างทุกวันนี้”
สำหรับเธอ อั้งลี่ไม่ใช่เพียงผู้กำกับ แต่เป็น “ครูใหญ่” ที่บังคับให้เธอก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
ดังนั้น บท อวี้เจียวหลง ไม่ใช่เพียง “โอกาสทอง” ของจางจื่ออี๋ แต่คือ บททดสอบชีวิต ที่ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าในโลกภาพยนตร์ การแสดงของจางจื่ออี๋ในบทนี้จึงถูกยกย่องอย่างสูงทั้งในแง่ของการถ่ายทอดอารมณ์และการต่อสู้ที่สมจริง ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับการกำกับที่เข้มงวดและการฝึกฝนท่ากังฟูอย่างเข้มข้นของอั้งลี ทำให้เธอสามารถถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างสมบูรณ์
โฆษณา